คำขอโทษสุดลั่นแห่งปี 2022
candy 38 14สำนักราชวัง Buckingham: ขอโทษที่เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสแสดงวาจาไม่เหมาะสมกับนักเคลื่อนไหวชาวอังกฤษเชื้อสายผิวดำ
มีปัญหาการแย่งแยกทางเชื้อชาติภายในราชวงศ์อังกฤษจริงหรือ? นับตั้งแต่เจ้าชาย Harry และ Meghan Markle ได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยประสบการณ์ว่า มีใครบางคนในราชวงศ์ตั้งคำถามพวกเค้าเรื่องสีผิวของ Archie ซึ่งยังเป็นทารกในครรภ์ นี่ได้กลายมาเป็นคำถามประเด็นสร้างข้อโต้แย้งในสังคม ถึงขั้นนักข่าวได้จี้ถามเจ้าชาย William ระหว่างเยี่ยมเยือนโรงเรียนใน London ว่า "ราชวงศ์อังกฤษเป็นครอบครัวเหยียดผิวหรือไม่?" แม้ว่าเจ้าชายรัชทายาทจะปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าพวกเค้าไม่ได้เป็นพวกเหยียดผิว รวมถึงมีกระแสโจมตี Harry&Meghan ว่าใส่ร้ายป้ายสีราชวงศ์ แต่ racism scandal ครั้งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานมานี้ ก็ทำให้สำนักราชวังต้องออกมาประกาศแสดงความเสียใจ และฝ่ายผู้ที่ถูกข้อกล่าวหาเรื่องเหยียดผิวก็ลาออกจากการการทำหน้าที่ทันควัน และบอกได้เลยว่าว่า บุคคลนั้นไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ขาดความสำคัญ แต่เป็นชนชั้นสูงที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับสมเด็จพระราชินี Elizabeth ผู้ล่วงลับมาหลายทศวรรษ และยังดำเนินหน้าที่สืบต่อมายังรัชสมัยของกษัตริย์ Charles ที่ 3 จนกระทั่งวันปิดฉากอาชีพอย่างมัวหมอง ซึ่งหลายฝ่ายต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า นี่เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้ภาพลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษก้าวสู่วิกฤติ
Ngozi Fulani ผู้บริหาร Sistah Space องค์กรที่ช่วยเหลือผู้หญิงเชื้อสาย African และ Caribbean ที่ถูกล่วละเมิดได้เปิดเผยประสบการณ์น่าตระหนกระหว่างที่เธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมอีเวนท์ United Nations’ 16 Days of Activism against Gender-Based Violence ราชินี Camilla เป็นโต้โผใหญ่จัดงานในพระราชวัง Buckingham
แต่แทนที่จะได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับแขกเหรื่อในงานด้วยความสบายใจ เธอต้องช็อคเมื่อเลดี้ชั้นสูงที่มีชื่อย่อว่า SH ที่ทำหน้าที่ staff ปรี่เข้ามาปัดผมของเธอออกเพื่ออ่านชื่อบนบัตรแขกร่วมงานที่ติดตรงอก เลดี้ผู้นั้นเริ่มตั้งคำถามกับเธอว่า
Lady "คุณมาจากไหน?"
Fulani "จาก Sistah Space ค่ะ"
Lady "ไม่ หมายถึงว่าคุณมาจากประเทศอะไร"
Fulani "พวกเราดำเนินงานที่ Hackney ค่ะ" (เธอมีสำเนียง London แม้จะไม่ใช่สำเนียงในรั้ววัง แต่เป็นการพูดภาษาอังกฤษแบบ native speaker ในประเทศ)
Lady "ไม่สิ คุณมาจากจากส่วนไหนใน Africa?"
(บรรยากาศเริ่มกดดันตั้งแต่ตอนนี้)
Fulani "ฉันไม่รู้ค่ะ พวกเค้าไม่ได้ทิ้งเอกสารระบุเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้"
Lady (ไม่ยอมแพ้) "คุณต้องรู้สิว่าคุณมาจากไหน ฉันเคยใช้เวลาอยู่ฝรั่งเศสอยู่นาน คุณมาจากประเทศอะไรล่ะ?
Fulani" ประเทศนี้ล่ะค่ะ สหราชอาณาจักร"
Lady "ไม่ๆ คุณมีสัญชาติอะไร?"
Fulani "ฉันเกิดที่นี่ ฉันเป็นคน British ค่ะ"
Lady "ไม่สิ คุณมาจากที่ไหนกันแน่ พวกพ้องของคุณน่ะมาจากประเทศอะไร?"
Fulani "พวกพ้องของฉันเหรอคะ? นี่มันอะไรกันคะคุณผู้หญิง?"
Lady (ยังไงก็ไม่หยุดคาดคั้น) "อ๋อนี่คงกำลังจะให้ฉันเล่นเกมทายว่าคุณมาจากประเทศไหนอยู่ล่ะสิ คุณย้ายมาประเทศนี้ครั้งแรกเมื่อไร?"
Fulani "คุณผู้หญิงคะ ฉันเป็นคนอังกฤษค่ะ พ่อแม่ของฉันย้ายมาที่นี่ตั้งแต่ยุค 50s
Lady "ในที่สุดก็ได้รู้ซักที คุณเป็นคน Caribbean นี่เอง"
Fulani "ไม่ใช่ค่ะคุณผู้หญิง ฉันเป็นชาว Britishมีเชื้อสาย African และ Caribbean
Lady "โอ้..แล้วตกลงคุณมาจากไหน?"
Mandu Reid หัวหน้าพรรค Women's Equality Party เป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์นี้ เธอได้บรรยายความรู้สึกว่า เมื่อได้เห็น Fulani ได้รับคำถามรัวๆราวกับกำลังถูกสอบสวนก็ทำให้รู้สึกว่า พวกเค้าไม่ได้เป็นแขกที่ได้รับเชิญแต่เป็นผู้บุกรุกเข้างาน เพราะเป็นคำพูดที่สร้างความขุ่นเคืองใจและไม่เป็นที่ต้อนรับ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้ และสงสัยว่า นี่แสดงถึงการแบ่งแยกทางเชื้อชาติเช่นไร ให้ลองนึกถึงคำพูดเหยียดผิวที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เมื่อมีคนไล่ให้ POC (คนผิวสีทุกเชื้อชาติ ดูไม่ใช่คนขาว) ให้ "กลับประเทศไปซะ" แม้ว่าคนๆนั้นจะเกิดและเติบโตในประเทศดังกล่าวมาตลอดชีวิต หรือถ้าจะให้ชัดเจนขึ้น คำถามว่า คุณมาจากไหน? จะไม่สร้างความกระอักกระอ่วนตามมา หากเลดี้ผู้นั้นหยุดไล่จี้หลังจากอีกฝ่ายตอบชัดว่าเป็นคนอังกฤษ หรือแม้ว่าจะมีคนออกมาปกป้องว่า เลดี้ผู้นี้เป็นผู้สูงอายุวัยเกิน 80 ซึ่งสำหรับคนชราในประเทศตะวันตกที่ยังไม่คุ้นชินกับเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติ ก็อาจจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนขัดข้องใจโดยไม่เจตนา หรือหากเจตนา ก็เป็นเรื่องของคนยุคเก่าที่แสดงพฤติกรรมผิดมารยาทให้เห็นจนหลายคนอาจจะเคยชิน แม้แต่เจ้าชาย Philip ก็เคยถูกล้อเลียนเรื่องนี้มาก่อน
แต่ lady Susan Hussey ไม่ได้เป็นหญิงชราที่ห่างไกลสังคมภายนอก เธอเป็นถึงนางกำนัลคนสนิทของสมเด็จพระราชินี Elizabeth และเป็นแม่ทูนหัวของเจ้าชาย William สามีของเธอมีบรรดาศักดิ์บารอนและเคยดำรงตำแหน่งประธานสื่อยักษ์ใหญ่ BBC ทั้งการอบรมเลี้ยงดูในตระกูลขุนนางละการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับราชวงศ์มายาวนาน ต้องพบกับแขกบ้านแขกเมืองต่างชาติต่างภาษา แต่ Lady สูงวัยกลับไม่ยอมฟังคำพูดของนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมที่ว่าเธอเป็นชาวอังกฤษที่อยู่ในสประเทศนี้มาตั้งแต่เกิด (ไหนจะยังมีเรื่องปัดผมของเธอดูป้ายชื่อโดยไม่ถามความสมัครใจอีก)
ข้อกล่าวหาที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงจนสั่นคลอนชื่อเสียงราชวงศ์ Windsor แม้ว่า lady รายนี้จะไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ก็มาจากตระกูลขุนนางที่สืบทอดมาหลายร้อยปี เธอยังรับหน้าที่นางสนอนางสนองพระโอษฐ์ประจำห้องบรรทมของ กล่าวคือ เป็นหนึ่งในคนวงในที่ใกล้ชิดกับสมเด็จพระราชินี Elizabeth ที่สุด ในสายตาสื่อ เธอไม่ได้เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาแต่เป็นสหายที่สมเด็จพระราชินีไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเธอจะมีอายุถึง 83 ปี และอดีตประมุขแห่งราชวงศ์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว กษัตริย์ Charles ที่ 3 ก็ยังมอบหมายหน้าที่ให้เธอดูแลงานในรั้ววัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉาวขึ้น ก็ย่อมเลี่ยงคำครหาไม่พ้นว่า หรือนี่จะเป็นวิธีปฏิบัติที่ชาววังเค้าทำกันเป็นเรื่องปกติ?
สำนักพระราชวังเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับข้อกล่าวหานี้ ต้องออกมาชี้แจงโดยด่วน
สำหรับข้อถกเถียงว่า พฤติกรรมของ lady Susan Hussey เข้าข่ายแบ่งแยกทางเชื้อชาติหรือไม่ คำอธิบายจากสำนักราชวังน่าจะบ่งชี้ว่ามีเรื่อง จากแถลงการณ์ว่า สมาชิกของสำนักราชวังผู้หนึ่งขออภัยที่ได้แสดงคำพูดที่ไม่สามารถยอมรับได้ต่อ Ngozi Fulani และมันเป็นคำพูดที่ทำให้เสียใจเป็นอย่างยิ่งในภายหลัง (หากไร้มลทินจริงๆ ย่อมไม่ด่วนลาออกตอนกระแสกำลังร้อนแรง และหาทางชี้แจงตัวเอง) และบุคคลผู้นั้นยังปรารถนาจะขออภัยอย่างสุดซึ้งที่ได้สร้างความเจ็บปวดและได้ลาออกจากหน้าที่กิตติมศักดิ์ไปเรียบร้อย
ส่วนท่าทีของเจ้าชาย William ที่ต้องมาถูกเพ่งเล็งเพราะคำพูดของแม่ทูนหัวนั้น ไม่ต้องใช้แถลงการณ์ยืดยาว แต่เป็นการประกาศอย่างหนักแน่นได้ใจความว่า "สังคมของเราไม่มีที่ยืนให้กับการเหยียดผิว คำพูดพวกนั้นไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ และการลาออกจากตำแหน่งอย่างทันทีของบุคคลดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว"
ในขณะที่สื่อได้จับตามองว่า กษัตริย์ Charles จะนำพาราชวงศ์ British ไปสู่ความ modern ได้อย่างเต็มตัวได้อย่างไร เรื่องฉาวนี้ถูกเปรียบว่าเป็นก้าวถอยหลังที่ทำให้ผู้คนเสื่อมศรัทธาที่จะต้องรีบปรับเปลี่ยน ซึ่งในตอนแรกสำนักราชวังส่งแถลงการณ์ออกมาว่า ได้เชิญ Fulani เข้ามาพูดคุยตัวต่อตัว เธอกลับยืนยันว่าไม่ได้รับการติดต่อจากกสำนักพระราชวังแต่อย่างใด แต่ในที่สุดเธอก็ได้รับการติดต่อเพื่อหารือกันในประเด็นการหนทางแก้ไขให้ไปสู่ความก้าวหน้า
James Corden: ขอโทษที่ทำตัวหยาบคายในร้านอาหารดัง
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ James Corden บินลัดฟ้าจากอังกฤษมาสร้างชื่อเสียงที่อเมริกาจนกลายมาเป็นพิธีกร talk show ทรงอิทธิพลที่สามารถดึงดูด superstar ให้มาร่วมรายการ แม้เขาจะมีภาพลักษณ์ของชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ช่างถ่อมตน แต่ก็เกิดข่าวลือว่า ตัวตนจริงๆที่อยู่นอกจอนั้นร้ายกาจผิดคาด ถึงขั้นที่มีคนปล่อยข่าวว่า นิสัยของเขานั้นทำให้ Ellen DeGeneres ผู้ที่เคยถูกกล่าวหาเรื่องความ toxic ดูน่ารักแสนดีไปเลย!
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เล่ากันแบบปากต่อปากนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัด James ยังสร้างมิตรภาพกับคนดังจนซี้ปึ้ก ทั้ง Harry Styles เจ้าชาย Harry และ David Beckham เขาดูไม่เหมือนคนที่มีพฤติกรรมจอมบงการหรือที่เรียกกันว่า diva แต่เสียงซุบซิบนินทาก็ยังไม่จางหายไป จนกระทั่งมีคนออกมาเปิดเผยประสบการณ์ที่จริงที่ทำให้ผู้คนหันมามองเขาในแง่มุมที่แตกต่าง
Keith McNally,เจ้าของภัตตาคาร Balthazar แห่ง New York ใช้ social media แฉพิธีกรดังว่า เขาเป็นลูกค้าที่หยาบคายที่สุดตั้งแต่เปิดร้านมาเป็นเวลา 25 ปี เขาได้รับรายงานตากผู้จัดการร้านว่า James เรียกให้ผู้จัดการไปดูเส้นผมในอาหารจานหลัก และทั้งๆที่ผู้จัดการขอโทษขอโพยเต็มที่ เขาก็สั่งให้นำเครื่องดื่มมาเพิ่มโดยทันที และสำหรับเครื่องดื่มที่พวกเค้าดื่มไปแล้ว ก็อย่าได้คิดเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนที่เขาจะได้ไม่ไปเขียนรีวิวแย่ๆให้กับร้าน
หลายคนอาจจะมองว่าเหตุการณ์นี้อาจจะไม่ได้ฟังดูเหมือนกับ diva เต็มขั้นแต่เป็น
การเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงมีของลูกค้าเมื่อพบว่าร้านอาหารเกิดความผิดพลาด แต่เจ้าของร้านเล่าต่อว่า James กลับมารับประทานอาหารอีกครั้งพร้อมกับภรรยา ภรรยาเขาสั่งออมเล็ทที่ใช้ไข่แดงล้วนเสิร์ฟพร้อมชีสและสลัด แต่เมื่อพบว่า ในออมเล็ทมีไข่ขาวปนมาเล็กน้อย ครัวจึงทำไข่จานใหม่ให้แต่ก็พลาดซ้ำ เพราะเสิร์ฟมันฝรั่งทอดมาเป็นเครื่องเคียง แทนที่จะเป็นสลัด หลังจากที่ครัวทำผิดพลาดซ้ำกันสองครั้ง เขาก็เหลืออดจนตะโกนใส่พนักงานเสิร์ฟหญิงอย่างสติแตกว่า ของแค่นี้ยังทำไม่ได้ เขาน่าเข้าครัวไปทำออมเล็ทซะเอง พนักงานเสิร์ฟกล่าวขอโทษอย่างนอบน้อมและผู้จัดการได้อภินันทนาการแชมเปญให้คู่สามีภรรยาเพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผู้จัดการบันทึกว่า James โอภาปราศรัยกับเขาเป็นอย่างดี แต่ปฏิบัติกับพนักงานเสิร์ฟอย่างย่ำแย่ ทำให้เธอต้องสะเทือนใจ เป็นเหตุผลที่ James ติดอยู่ในรายชื่อลูกค้าที่ถูกห้ามไม่ให้เข้ามารับประทานอาหารที่ร้าน
หลายคนอาจจะมองว่าเหตุการณ์นี้อาจจะไม่ได้ฟังดูเหมือนกับ diva เต็มขั้นแต่เป็น
การเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงมีของลูกค้าเมื่อพบว่าร้านอาหารเกิดความผิดพลาด แต่เจ้าของร้านเล่าต่อว่า James กลับมารับประทานอาหารอีกครั้งพร้อมกับภรรยา ภรรยาเขาสั่งออมเล็ทที่ใช้ไข่แดงล้วนเสิร์ฟพร้อมชีสและสลัด แต่เมื่อพบว่า ในออมเล็ทมีไข่ขาวปนมาเล็กน้อย ครัวจึงทำไข่จานใหม่ให้แต่ก็พลาดซ้ำ เพราะเสิร์ฟมันฝรั่งทอดมาเป็นเครื่องเคียง แทนที่จะเป็นสลัด หลังจากที่ครัวทำผิดพลาดซ้ำกันสองครั้ง เขาก็เหลืออดจนตะโกนใส่พนักงานเสิร์ฟหญิงอย่างสติแตกว่า ของแค่นี้ยังทำไม่ได้ เขาน่าเข้าครัวไปทำออมเล็ทซะเอง พนักงานเสิร์ฟกล่าวขอโทษอย่างนอบน้อมและผู้จัดการได้อภินันทนาการแชมเปญให้คู่สามีภรรยาเพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผู้จัดการบันทึกว่า James โอภาปราศรัยกับเขาเป็นอย่างดี แต่ปฏิบัติกับพนักงานเสิร์ฟอย่างย่ำแย่ ทำให้เธอต้องสะเทือนใจ เป็นเหตุผลที่ James ติดอยู่ในรายชื่อลูกค้าที่ถูกห้ามไม่ให้เข้ามารับประทานอาหารที่ร้าน
หลังจากสื่อตีข่าวนี้จนชาวเน็ทวิจารณ์กันเกรียวกราว หลายคนมองว่า แม้ร้านอาหารดังจะผิดพลาดจนสร้างความรำคาญใจไปบ้าง แต่ลูกค้าก็น่าจะให้เกียรติผู้ให้บริการ ไม่ใช่ระเบิดอารมณ์ใส่โดยไม่สนใจคำขอโทษ โดยเฉพาะพนักงานเสิร์ฟที่ไม่ได้เป็นผู้ทำอาหารมาผิดๆ แต่ต้องเป็นฝ่ายรับหน้าถูกตำหนิอย่างแรง แต่สองวันต่อมา James ก็ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่กังวลกับกระแสโจมตีนัก เขามองว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร และรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับประเด็นนี้นัก เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องแบบชี้หมูราขี้หมาแห้ง มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านอาหารเป็นหมื่นๆแห่ง คนมักมีปัญหาเรื่องการสั่งอาหารจานไข่เสมอ
แต่ในสัปดาห์ต่อมา เขาก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ และใช้พื้นที่ในรายการของตัวเองประกาศขอโทษต่อพนักงานใน Balthazar และหากเจ้าของร้านยินยอมให้เขากลับไป เขาก็จะขอโทษกับอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัว เขายอมรับว่า พูดจาแรงใส่พนักงาน มาคิดได้ว่าตัวเองผิดตรงไหนก็ตอนที่พ่อของเขาได้เตือนสติว่า หากพลาดไปแล้วก็ต้องออกมาชี้แจงและแสดงความรับผิดชอบ แต่เมื่อเห็นว่าครัวไข่ขาวที่ภรรยาของเขามีอาการแพ้ปนมาในจานออมเล็ท และยังทำอาหารผิดซ้ำๆ เขาจึงประชดประชันออกไปด้วยอารมณ์โมโห และมันเป็นคำพูดที่เขาคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน จึงเข้าใจดีว่าอาชีพพนักงานเสิร์ฟมีความยากลำบากเช่นไร
พิธีกร Carpool Karaoke ติดต่อไปยังเจ้าของ Balthazar เพื่อขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพวกเค้าได้เคลียร์ใจกันแล้ว เจ้าของร้านจึงประกาศยกเลิกการห้าม Jamesเข้าร้าน เพราะเขาเชื่อมั่นการให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง แต่ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ยินว่า James ได้ให้สัมภาษณ์กับ NY Times ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในกรณีดราม่าถูกร้าน Balthazar แบน เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก เขายืนยันว่า แม้จะไม่ได้เป็นอยู่ในเหตุการณ์ แต่พนักงานในร้านหลายคนก็เป็นพยานได้ อย่างน้อยเขาก็ควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทำผิดจริง และหากกล้ามาขอโทษพนักงานทั้งสองที่ถูกเหวี่ยงใส่ เขาจะยอมให้รับประทานอาหารในร้านฟรีๆยาวถึงสิบปีซะด้วย
แต่ในสัปดาห์ต่อมา เขาก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ และใช้พื้นที่ในรายการของตัวเองประกาศขอโทษต่อพนักงานใน Balthazar และหากเจ้าของร้านยินยอมให้เขากลับไป เขาก็จะขอโทษกับอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัว เขายอมรับว่า พูดจาแรงใส่พนักงาน มาคิดได้ว่าตัวเองผิดตรงไหนก็ตอนที่พ่อของเขาได้เตือนสติว่า หากพลาดไปแล้วก็ต้องออกมาชี้แจงและแสดงความรับผิดชอบ แต่เมื่อเห็นว่าครัวไข่ขาวที่ภรรยาของเขามีอาการแพ้ปนมาในจานออมเล็ท และยังทำอาหารผิดซ้ำๆ เขาจึงประชดประชันออกไปด้วยอารมณ์โมโห และมันเป็นคำพูดที่เขาคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน จึงเข้าใจดีว่าอาชีพพนักงานเสิร์ฟมีความยากลำบากเช่นไร
พิธีกร Carpool Karaoke ติดต่อไปยังเจ้าของ Balthazar เพื่อขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพวกเค้าได้เคลียร์ใจกันแล้ว เจ้าของร้านจึงประกาศยกเลิกการห้าม Jamesเข้าร้าน เพราะเขาเชื่อมั่นการให้โอกาสเป็นครั้งที่สอง แต่ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ยินว่า James ได้ให้สัมภาษณ์กับ NY Times ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในกรณีดราม่าถูกร้าน Balthazar แบน เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก เขายืนยันว่า แม้จะไม่ได้เป็นอยู่ในเหตุการณ์ แต่พนักงานในร้านหลายคนก็เป็นพยานได้ อย่างน้อยเขาก็ควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทำผิดจริง และหากกล้ามาขอโทษพนักงานทั้งสองที่ถูกเหวี่ยงใส่ เขาจะยอมให้รับประทานอาหารในร้านฟรีๆยาวถึงสิบปีซะด้วย
ถึงแม้จะสงบศึกกับเจ้าของร้านอาหารชื่อดังแห่ง New York ไปได้ แต่ชื่อเสียงเรื่องตัวตนร้ายๆของ James ไม่ได้จางหายไป เพราะไม่ได้มีแต่กระทู้บน Reddit บอกเล่าประสบการณ์แย่ๆที่ได้เจอกับเขา ศิลปินร่วมชาติอย่าง Mel B ก็ได้ออกมาโจมตีว่า เขาเป็นคนดังนิสัยยอดแย่ที่สุดที่เธอเคยเจอ หรือRob Brydonเพื่อนร่วมงานจากซีรีส์ Gavin & Stacey ที่ตักเตือนเขาตรงๆให้เลิกนิสัยไม่เป็นผู้ใหญ่และหยาบคาย ด้วยความเหลิงไปกับความสำเร็จของซีรีส์ ทั้งยังมีเรื่อง ploblematic ที่ทำให้ชาวเน็ทโจมตีอีกหลายครั้ง กระแสยี้แรงถึงขนาดว่า เมื่อเขาได้รับการทาบทามมาทำหน้าที่พิธีกรในรายการรวมตัวเฉพาะกิจของทีมนักแสดงซีรีส์ Friends ชาว Twitter หลายคนก็รุมจิกกัดว่า เขาไม่สมควรจะมาอยู่ตรงนั้นและทำลายโมเมนท์ที่แฟนๆซีรีส์โหยหาจนดูกร่อยไปหมด ภาพลักษณ์ Mr. Nice Guy ใน Carpool Karaoke ถูกแทนที่ด้วยคำกล่าวหาว่าจอมปลอมและนิสัยแย่ สื่อหลายเจ้าก็ขุดคุ้ยนำเอาเรื่องฉาวในอดีตมาแชร์รัวๆ
Adam Levine: ขอโทษที่ล้ำเส้นเฟลิร์ตใส่ผู้หญิงอื่น
แฟนๆของ Adam Levine อาจพบกับความรู้สึกสุดเฟล เมื่อสาวสวยหลายรายออกมาแฉวีรกรรม superstar หนุ่มผู้มีภาพลักษณ์ family manว่า เขาส่งข้อความเฟลิร์ตใส่พวกเธอราวกับว่าเขาไม่ได้แคร์ความรู้สึกของลูกเมียแม้แต่น้อย แต่คอยเสาะหาความเพลิดเพลินใจด้วยการชื่นชมความสวยของผู้หญิงบน social media โดยไม่ฉุกคิดว่าสาวๆวัยยี่สิบเหล่านั้นจะเก็บภาพบทสนทนาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำยั่วเย้าไว้เป็นหลักฐาน (หรือถ้าหากคำพูดของนางแบบ Insta ที่ออกมาเปิดประเด็นคนแรกเป็นความจริง เขาไม่ได้แค่แชทจีบผู้หญิง แต่ยังนัดพบเพื่อมีความสัมพันธ์ทางกายกันอีกด้วย)
ในที่สุดพฤติกรรมย่ำแย่ก็ถูกเปิดโปงจนสร้างเสียงวิจารณ์ดุเดือดในโลกออนไลน์ หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า ที่แท้แล้ว ชื่อเสียงของเพลย์บอยกลับใจที่หันมารักเดียวใจเดียวกับภรรยาก็เป็นเพียงภาพมายาที่ชาวเน็ทคิดกันไปเอง!
ไม่เพียงมุกขอใช้ชื่อกิ๊กมาตั้งชื่อลูกที่อยู่ในครรภ์ภรรยาจะทำชาวเน็ทก่นด่าเสียงขรมว่าช่างทำไปได้ หนำซ้ำยังมีผู้หญิงคนอื่นโชว์หลักฐานว่า Adam ช่างย่ามใจกับการส่งข้อความจีบพวกเธอ ไม่ได้ระมัดระวังทำแบบหลบๆซ่อนๆ ก็ทำให้มีคนปักใจว่า นี่คือพฤติกรรมแบบติดนิสัยในรูปแบบ serial cheater ที่ไม่ใช่ว่าจะหักดิบเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ สังคมกดดันถึงขนาดนี้ Adam จึงเลือกแก้ไขสถานการณ์ด้วยการประกาศขอโทษภรรยาและครอบครัว เขายืนยันว่า 'ไม่เคยนอกใจ' เพียงแต่ล้ำเส้นการวางตัวที่เหมาะสมจากการพูดจาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตัวเอง และให้คำมั่นว่า เขาจะไม่มีทางจะทำผิดพลาดจนพาตัวเองให้เข้าสู่ความสุ่มเสี่ยงที่ทำร้ายครอบครัวซ้ำอีกครั้ง และจะร่วมใจกันฝ่าฟันเรื่องนี้ไปให้ได้
สื่อรายงานว่า แม้ scandal ครั้งนี้จะสั่นคลอนความเชื่อใจของ Behati ที่มีต่อ Adam และอาจจะทำให้พวกเค้าต้องพบกับวิกฤติชีวิตคู่ ทั้งยังมีเสียงยุจากชาวเน็ทให้เธอยื่นหย่ากับสามีจอมเจ้าชู้เซ็งแซ่ไปหมด แต่ดูเหมือนว่า พวกเค้าได้พยายามปรับความเข้าใจและก้าวข้ามปัญหานี้ไปด้วยกัน เธอจะคลอดลูกคนที่สามในเร็วๆนี้ แต่พวกเราก็น่าจะมั่นใจได้ว่า คู่สามีภรรยาคนดังจะไม่ตั้งชื่อสมาชิกใหม่ของครอบครัวว่า Summer เหมือนกับสาวสวยที่ออกมาเปิดตัวว่าเป็นกิ๊กของ Adam!
แหล่งข่าววงในได้ให้ข่าวกับ Us Weekly ว่า
"Adam รู้สึกย่ำแย่ที่ทำให้ Behati ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือพยายามทำจนแน่ใจว่าได้ปรับปรุงตัวและไม่ทำพลาดซ้ำ เขารักเธอเหลือล้นและรู้สึกซาบซึ้งใจและโชคดีที่เธอยังอยู่เคียงข้างและให้โอกาสให้เขาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง"
แม้ความสัมพันธ์ของ Adam และภรรยาคนสวยจะยังดูแนบแน่นจนเป็นสัญญาณว่าพวกเค้าได้ move on จากเรื่องฉาวระดับโลกไปแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันกลายเป็นมลทินติดตัวที่จะสร้างความอับอสยขายหน้าให้ Adam ไปอีกนาน จากที่เคยเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยภาพลักษณ์ rock star เสน่ห์แรง แต่มุกจีบสาวผ่านข้อความแชทของเขากลับถูกจับมาล้อเลียนว่าเฉิ่มเชยเหมือนกับเด็กหนุ่มไม่ประสาจนกลายเป็น viral เดิมที่ถูกยกให้เป็น hottie ก็ถูกแทนที่ด้วยฉายา cringey ซะอย่างนั้น
Will Smith: ขอโทษที่ใช้ความรุนแรงกลางงาน Oscar
มั่นใจได้เลยว่า เหตุการณ์พระเอก A List ตบพิธีกรกลางเวที Oscar ได้กลายเป็นตำนาน scandal แห่งวงการ Hollywood ไปอีกเนิ่นนาน ผู้คนเฝ้าถกเถียงกันว่า ใครเป็นฝ่ายทำความผิดจนต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ แม้แต่คนในวงการบันเทิงเองก็ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายว่าเข้าข้างคนตบหรือคนถูกตบ
- Chris Rock ที่พูดจาจาบจ้วงภรรยาของ Will Smith สมควรจะถูกสั่งสอนให้หลาบจำ ตบแค่นั้นไม่สาสมการใช้วาจาเป็นอาวุธสร้างแผลใจให้คนอื่นซะด้วยซ้ำ หลายคนคงทนไม่ได้หากต้องอดทนเห็นภรรยาต้องเจ็บปวดฝ่ายเดียว
- Will Smith ที่ขาดสติใช้ความรุนแรงจนกลายเป็นตัวอย่างไม่ดีของคนรุ่นใหม่ เงื้อมือตบครั้งเดียวทำให้ชื่อเสียงที่สร้างสมมาต้องมัวหมอง แม้จะคว้ารางวัลอันทรงเกียรติสำหรับอาชีพนักแสดง แต่การกระทำจากความวู่วามได้เบี่ยงเบนความสนใจจากรางวัล Oscar ไปจนหมด
แม้ Will จะแสดงทีท่าว่าเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป และแสดงคำขอโทษมาแล้วหลายครั้ง แต่อีกหลายเดือนต่อมา เขาได้ตัดสินใจใช้ social media เป็นสื่อกลางเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขารู้สึกผิดสุดหัวใจ เขาพยายามอธิบายเหตุการณ์และขอโทษราวๆหกนาที
- ในโมเมนท์นั้นเขาหน้ามืดตามัว เห็นทุกอย่างเลือนรางไปหมด
- เขาพยายามติดต่อChris เพื่อขอโทษโดยตรง แต่อีกฝ่ายไม่พร้อมจะพูดคุยด้วย
- เขายืนยันว่า พฤติกรรมของตัวเองไม่สมควรเป็นที่ยอมรับ และขอโทษ Chris เขาพร้อมเสมอที่จะพูดคุยปรับความเข้าใจกัน
- ไม่เพียงแต่จะทำร้าย Chris เขายังสร้างความกระทบกระเทือนใจให้กับครอบครัวของ Chris อีกด้วย ทั้งๆที่เขาสนิทสนมกับ Tony น้องชายของ Chris แต่จากนี้มิตรภาพของพวกเค้าก็ดูยากจะเยียวยาให้กลับมาเหมือนเดิม
- เขายืนยันว่า Jada ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาทำลงไป มันเป็นการคิดตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง และเขาได้ใช้โอกาสนี้ขอโทษภรรยาและลูกๆที่ต้องมารับผลกระทบจากเรื่องนี้
- เขายังขอโทษต่อนักแสดงศิลปินทุกคนที่ได้เข้าชิงรางวัล เพราะแทนที่พวกเค้าจะได้เปล่งประกายจากความสำเร็จ กลับถูกแย่งซีนและงานกร่อยไปกันหมด
- เขารู้ดีว่า แค่พูดคำว่าเสียใจก็ไม่เพียงพอ เขาเจ็บปวดใจที่ต้องมาเห็นว่า เขาสร้างความผิดหวังให้กับผู้อื่น และรู้สึกสำนึกผิดอย่างเหลือคณา
- เขาสัญญาว่าจะทุ่มเทเต็มที่เพื่อนำความรักมาสู่โลกนี้ และทำให้ผู้คนเปิดใจยอมรับมิตรภาพจากเขาอีกครั้ง
การโพรโมทงานครั้งแรกหลังตบสนั่น Oscar
แม้ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยออกมาปกป้องการกระทำของ Will Smith แต่ผลกระทบที่ตามมาไม่ต่างจากการถูกสังคมพิพากษาว่าเป็นผู้ร้าย project ต่างๆของเขา ไม่ว่าจะเป็น Netflix , Walt Disney และ Apple TV+ ถูกชะลอไว้เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากกระแสโจมตีดุเดือด ถึงขั้นที่มีคนเรียกร้องให้บอร์ดบริหาร Oscar ริบรางวัลกลับคืน แต่ล่าสุด ครอบครัว Smith ได้หวนคืนสู่สปอทไลท์เพื่อแสดงพลังสมัครสมานในงานฉายหนัง Emancipation รอบปฐมทัศน์ แต่ผลงานแสดงบททาสผิวดำผู้หลบหนีการทารุณในไร่ Louisiana ที่สร้างมาจากบุคคลจริงในประวัติศาสตร์จะทำให้ผู้ชมและชาว Hollywood เปิดใจต้อนรับพระเอกชั้นนำผู้นี้อย่างเต็มที่หรือไม่?
การโพรโมทผลงานเรื่องนี้ทำให้ Will ได้เปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ในการให้สัมภาษณ์กับ Trevor Noah เขาได้บรรยายว่ามันเป็นค่ำคืนสุดสะพรึง เขากำลังกำลังเผชิญกับเรื่องซับซ้อนบางอย่างที่คนภายนอกไม่รู้ แม้ว่าจะไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวมาใช้แก้ตัวในสิ่งที่ทำลงไป แต่เขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง และได้มาเรียนรู้ว่าพวกเราควรจะทำตัวดีต่อกัน เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เมื่อได้ลงมือทำร้ายคนอื่นก็เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง
"เรื่องราวมันประดังประเดมาหลายอย่าง เป็นเรื่องของเด็กชายที่เติบโตขึ้นมาเห็นพ่อทุบตีแม่ อารมณ์ทั้งหลายก่อตัวขึ้นมาในวินาทีนั้น ผมได้กลายเป็นคนที่ผมไม่ต้องการจะเป็น"
เมื่อพิธีกรรายการแสดงความคิดเห็นว่าถึง Will จะทำผิดพลาดไป แต่ก็เชื่อว่า นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา ผู้ชมในห้องส่งก็ส่งเสียงเชียร์อย่างเห็นด้วยเต็มที่ ปฏิกิริยานั้นทำให้ Will ต้องหลั่งนำตา
"ผมปรารถนาจะเป็นเหมือนกับ Superman มาโดยตลอด ผมอยากจะถลาบินเข้าไปช่วยผู้หญิงจากเหตุร้าย แต่ผมก็ต้องปรับปรุงตัวให้อ่อนน้อมยิ่งขึ้นเพราะเรียนรู้แล้วว่า ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง ผมยังมีโอกาสที่ก้าวออกไปสนับสนุนช่วยเหลือโลก ซึ่งมันเป็นวิธีเติมเต็มจิตใจของผมและหวังเหลือเกินว่าจะได้ช่วยเหลือคนอื่นๆด้วย"
"เรื่องราวมันประดังประเดมาหลายอย่าง เป็นเรื่องของเด็กชายที่เติบโตขึ้นมาเห็นพ่อทุบตีแม่ อารมณ์ทั้งหลายก่อตัวขึ้นมาในวินาทีนั้น ผมได้กลายเป็นคนที่ผมไม่ต้องการจะเป็น"
เมื่อพิธีกรรายการแสดงความคิดเห็นว่าถึง Will จะทำผิดพลาดไป แต่ก็เชื่อว่า นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา ผู้ชมในห้องส่งก็ส่งเสียงเชียร์อย่างเห็นด้วยเต็มที่ ปฏิกิริยานั้นทำให้ Will ต้องหลั่งนำตา
"ผมปรารถนาจะเป็นเหมือนกับ Superman มาโดยตลอด ผมอยากจะถลาบินเข้าไปช่วยผู้หญิงจากเหตุร้าย แต่ผมก็ต้องปรับปรุงตัวให้อ่อนน้อมยิ่งขึ้นเพราะเรียนรู้แล้วว่า ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง ผมยังมีโอกาสที่ก้าวออกไปสนับสนุนช่วยเหลือโลก ซึ่งมันเป็นวิธีเติมเต็มจิตใจของผมและหวังเหลือเกินว่าจะได้ช่วยเหลือคนอื่นๆด้วย"