เมื่อคนดังเจอดราม่าจากข้อหาหน้าเปลี่ยนจนจำไม่ได้

28 11
หลายครั้งหลายคราที่พวกเราได้พบกับดราม่า'คนดังเดบิวท์หน้าใหม่' ซึ่งเกิดขึ้นจากอาการไม่ปลื้มของบรรดาชาวเน็ทเมื่อได้เห็นลุคที่เปลี่ยนไปชัดเจน  หลายคนฟันธงว่า  เป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนดังเลือกทำหน้าจนจำกันแทบไม่ได้ เพราะลุคเดิมของพวกเค้านั้นดูดีกว่าเป็นไหนๆ  แม้ว่าเรื่องการพัฒนาความสวยงามเพื่อเพิ่มความมั่นใจด้วย Cosmetic procedures เป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมหันมายอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังมีกำแพงอคติที่ยากจะหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาว่าดูปลอม หรือเสพติดการทำหน้า และแน่นอนว่า คำพูดทิ่มแทงดังกล่าวจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้ที่ถูกพิพากษาเพราะลุคที่เปลี่ยนไป     ในช่วงหลังๆ ผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนสื่อดังจึงได้ร่วมกัน call out ชาวเน็ทให้ตระหนักถึงการเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น   แม้ในใจอาจจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไร้ความจำเป็นที่จะต้องเหยียบย่ำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอาย  



กระแสโจมตี Madonna

เมื่อ Madonna เผยใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปบนเวที Grammy Awards เมื่อต้นปีนี้ได้ปลุกเร้าความสนใจจากสังคมออนไลน์จนกลายเป็น viral สื่อหลายเจ้าพาดหัวข่าวไปทำนองเดียวกันว่า 'แฟนๆรู้สึกตกตะลึงกับลุคใหม่ของ Madonna'   แต่ดูเหมือนว่า reaction ของชาวเน็ทนั้นรุนแรงกว่านั้นมาก Twitter เต็มไปด้วยคำพูดเยาะเย้ยอย่างสนุกสนานพ่วงมาพร้อมกับการแสดงความรู้สึกสมเพชเวทนาที่ Madonna เลือกเส้นทางนี้

"ทำตัวให้สมอายุบ้างเถอะ'
'สิ่งที่เธอทำกับตัวเองดูชวนสยองจนน่าสะเทือนใจ ทั้งๆที่เป็นตำนานระดับโลกอยู่แล้วแท้ๆ'
'ทำหน้ามาซะน่ากลัวขนาดนี้ เธอไม่กลัวลูกๆจะขายหน้าผู้คนบ้างเหรอ'
'เธอคงเป็นพวกไร้ความมั่นใจจนไม่สามารถยอมรับความแก่ได้'
"ใครๆก็รู้ว่าเธอใช้ filter ของจริงน่ากลัวจะตาย"

คำวิจารณ์เหล่านี้ไม่เคยห่างหายไปจาก social media ยิ่งไปกว่านั้น บางคนที่เคยประกาศตัวว่า เป็นแฟนตัวยงมาตั้งแต่ยี่สิบสามปีก่อน ก็ออกมาแสดงความรู้สึกแบบอกหักอย่างแรง เพราะเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงของ Madonna เกิดขึ้นเพราะเธอพ่ายแพ้ต่อค่านิยมความงามที่บีบให้ผู้หญิงหลายคนฝืนยื้อความอ่อนเยาว์ไว้ เพราะเกรงว่าตัวเองจะสูญเสียคุณค่าหากปล่อยให้ตัวเองดูแก่ตัวลงไป


แต่แฟนๆของเธอจำนวนไม่น้อยก็ยืนกรานว่า นี่คือตัวเลือกของเธอ คนอื่นไม่ควรมาก้าวก่ายเพียงเพราะรูปลักษณ์ของเธอไม่เหมือนคนวัยหกสิบทั่วไป ไม่จำเป็นต้องแนะนำเธอให้เอาอย่างศิลปินหญิงรุ่นใหญ่คนอื่นๆ หรือหากมีคนรู้สึกอึดอัดใจกับความเปลี่ยนแปลงของเธอมากสักแค่ไหน เธอก็ไม่ได้ติดค้างใครทั้งนั้น

"หยุดคิดแทนไม่ได้เลยว่า กระแสต่อต้านนี้จะทำให้เธอรู้สึกเจ็บแค่ไหน เธอเลือกจะฉีด filler และทำศัลยกรรม ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใครสักหน่อย ฉันรักเธอเพราะผลงานและการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจมานาน"

"มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะสร้างความรู้สึกสบายใจให้กับคนอื่น เธอได้พิสูจน์จุดยืนนี้มาหลายทศวรรษแล้ว เรามีอิสระในการเลือกใช้ชีวิต จะดูเป็นเช่นไรยามแก่ตัวก็ขึ้นอยู่กับที่เราต้องการ"

"เธอกล้าจะฉีกกรอบ ไม่เคยรอให้คนอื่นมาเห็นดีเห็นงามกับเธอมาแต่ไหนแต่ไร รูปร่างหน้าตาของเธอไม่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และความสามารถที่ทำให้เธอเป็นตำนาน"





จริงหรือที่แรงต่อต้าน Madonna เกิดจากแนวคิดเหยียดสตรีและเหยียดความสูงวัย ?

Vogue อังกฤษ ยืนยันว่า Madonna คือตกเป็นเป้าโจมตีจากแนวคิดเหยียดเพศและเหยียดความสูงวัย ส่วนนักข่าวจากสื่อหลายเจ้าก็ฟันธงว่า สำหรับโลกที่โหดร้ายต่อผู้หญิงสูงวัย ไม่ว่าจะเผยให้เห็นลุคที่ดูโรยราไปตามวัย หรือพยายามชะลอความแก่ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ถูกด้อยค่าอยู่ดี

Keira Knightley นางเอกชาวอังกฤษชื่อดังได้ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ดราม่าที่เกิดขึ้นกับราชินีแห่งวงการ pop ว่า

"จากกรณีที่เกิดขึ้นกับ Madonna ก็มีคนบอกกับเราว่า สิ่งที่เธอเป็นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร แต่สำหรับผู้หญิงคนอื่น ก็เจอกับการตอกย้ำว่า ตัวเธอเมื่อยี่สิบปีก่อนน่ะดูสวยกว่านี้นะ เพื่อจะให้สอดคล้องกับแนวคิดเชิงวัฒนธรรมแล้ว เมื่อเริ่มแก่ตัว ผู้หญิงอย่างเราๆควรจะดูอย่างไรกันดีล่ะ?

"ในกลุ่มพื่อนสาวของฉัน บ่อยครั้งที่ทิศทางของบทสนทนาจะมาในแนวประมาณว่า โอ้ คุณพระคุณเจ้า! ตีนกาฉันขึ้นมาเส้นหนึ่ง ตายแล้ว! ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน เราได้รับการปลูกฝังว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแย่ ถูกกล่อมจนเชื่อว่าผมหงอกไม่เป็นที่ปรารถนา'

 
นอกจากจะเจอชาวเน็ทโจมตี สื่อแทบลอยด์ก็ปั่นแรงไม่แพ้กัน เมื่อใดก็ตามที่เธอปรากฏตัวในที่สาธารณะ แทบลอยด์ดังไม่พลาดที่จะขยี้ว่า นี่คือลุคแบบไร้ filter ของ Madonna ถึงขั้นที่ซูมผิวพรรณที่มือเพื่อจะสื่อว่า เธอแก่ชราแค่ไหน เมื่อไม่นานมานี้ที่เธอประสบกับปัญหาความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงจนถูกส่งตัวเข้ารักษาใน ICU ก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่า เพราะเธอทำศัลยกรรมจนเกิดติดเชื้ออย่างไม่คาดฝัน แม้เธอจะส่งข้อความยืนยันว่า ตอนนี้อาการดีขึ้นและอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงพอเพื่อกลับมาเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตตามแผนการเดิม แต่เมื่อเธอโพสต์ภาพใหม่เพื่ออัพเดทว่า เริ่มทุเลาจากอาการเจ็บป่วย ก็ยังมีคอมเมนท์ล้อเลียนเรื่องหน้าตาของเธอผุดขึ้นมาอยู่ดี

นักข่าวจาก New York Post ได้ออกโรงเตักตือนให้ชาวเน็ทลดละการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการศัลยกรรม แฟชั่นที่ไม่เหมาะกับวัย และการใช้ filter หนักมือทาง social media เพราะควรจะแสดงความเห็นอกเห็นใจที่  Madonna ผ่านวิกฤติทางสุขภาพมา  แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือเว็บแม่ของ PageSix  สื่อกอสสิปที่จับเอาเรื่องรูปลักษณ์ของ Madonna มาขยี้แบบไม่หยุดหย่อน  

 

Internet อื้ออึง ' Liam Payne ช็อคแฟนด้วยหน้าใหม่'

เส้นทางสู่ความสำเร็จของ  One Direction วงไอดอลหนุ่มอังกฤษที่ได้สร้างความคลั่งไคล้ให้กับแฟนเกิร์ลทั่วโลกก็น่าจะการันตีได้ว่า  พวกเค้ามีรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจมากเพียงใด  ในปัจจุบันที่สมาชิกแต่ล่ะคนได้แยกย้ายทำทำงาน solo และเติบโตจนเป็นหนุ่มฉกรรจ์วัยสามสิบ(หรือเฉียดๆ)  ถึงจะไม่ใช่หนุ่มใสวัยทีนอีกต่อไป นอกจากจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พวกเค้าก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากช่วงที่สร้างปรากฏการณ์ในช่วง 2010s มากนัก  ที่ผ่านมา เราจึงไม่ได้ยินคำครหาเรื่อง'หน้าใหม่' ของหนุ่มๆสักเท่าไร

จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนที่ Liam Payne ได้เข้าร่วมอีเวนท์พรมแดง reaction จากชาวเน็ทก็เต็มไปด้วยคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับอดีตไอดอลคนนี้?
สองปีก่อนนั้น เจ้าตัวเคยเล่าถึงที่มาของลุคที่เปลี่ยนแปลงไว้ว่า ช่วงหนึ่งเคยใช้ชีวิตที่ไม่ healthy เอาแต่ดื่มเหล้าเมายาจนหน้าบวมไปหมด   เมื่อเขาหันกลับมาดูแลตัวเอง หน้าก็ตอบลง

"ตอนนั้นหน้าผมใหญ่กว่านี้สิบเท่า"

แต่เมื่อประเด็นเรื่องใบหน้าของ Liam สร้างความค้างคาใจให้กับชาวเน็ท เขาไม่ได้ออกมาให้ความเห็นใดๆ

แต่สื่อแทบลอยด์ได้ติดต่อแพทย์จากคลีนิคศัลยกรรมความงามเพื่อวิเคราะห์ jawline ของ Liam และชี้ว่า ดูไม่เหมือนความเหลี่ยมที่เกิดขึ้นจากการลดน้ำหนัก เขาน่าจะเลือกใช้วิธีใดเพื่อปรับรูป jawline ให้เหลี่ยมชัด ทำให้หลายคนเชื่อตามคำสันนิษฐานในเรื่องการผ่าตัดเอาไขมันกระพุ้งแก้มออก ฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ เสริมคาง รวมถึงชาวเน็ทได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ว่า เพียง 2 เดือนก่อนจะมีเกิด viral เรื่อง jawline เขาก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากเดิมแต่อย่างใดแม้ Liam อาจไม่ได้มี babyfat บริเวณแก้มเหมือนกับช่วงยังเป็นวัยรุ่น แต่เขาก็เคยน้ำหนักลดลงมาก่อน แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามี jawline เหลี่ยมคมชัดจน shape หน้าเปลี่ยนชัดเจน

มีผู้วิเคราะห์ว่า Liam อาจจะใฝ่ฝันถึงรูปลักษณ์หนุ่มทรงเสน่ห์อย่าง Brad Pitt หรือ Timothée Chalamet ซึ่งมี jawline คมกริบบาดใจสาวๆ มันคือ feature ของหนุ่ม sexy ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และพบเห็นได้ตาม runway ที่คลาคล่ำไปด้วยนายแบบหน้าเป๊ะสันกรามชัด

แต่คงเดากันออกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ปลาบปลื้มไปกับลุคนี้ ชาวเน็ทบางคนเรียกร้องให้ Liam เปลี่ยนแปลงหน้าที่หล่อเหลาของตัวเอง  รวมถึงผู้ที่โจมตีว่า ลุคนี้ทำให้แก่ลงไปหลายปีจนรู้สึกเสียดายแทน  แต่  นิตยสาร  Glamour ก็เป็นหนึ่งในสื่อที่ออกมาปกป้อง Liam ว่า  ไม่ได้มีแต่ผู้หญิงที่ปรารถนาถึงความงามในอุดมคติ   ผู้ชายก็พยายามไขว่คว้ารูปลักษณ์สุดเป๊ะเช่นกัน  ในเมื่อชาวเน็ทหลายคนเห็นดีเห็นงามกับ Cosmetic Procedures  ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้หญิง ก็ควรทำความเข้าใจว่า เรื่องของมาตรฐานความงามนั้นสร้างแรงกดดันให้กับคนหลายเพศวัย  และไม่ใช่ธุระกงการของเราที่จะไปกำหนดว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่  และ Liam ก็ไม่ได้ติดค้างในการให้คำชี้แจงกับใครทั้งนั้น  


Simon Cowell ถูกจิกแรงเรื่องหน้าเปลี่ยน  แม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ไม่ปล่อย

นอกจากจะปั้น pop idol ชืื่อดังจนประสบความสำเร็จมาแล้วหลายคน  Simon Cowell ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องริมฝีปากคมกริบที่เชือดเฉือนผู้เข้าแข่งขัน talent show  ที่เขานั่งทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือก   เขายังมีลุคที่เป็นเอกลักษณ์จากผิวสีแทน ผมสั้น และแฟชั่นเสื้อยืดเข้ารูปกับ jeans   ไม่ว่าจะกี่ปีก็ดูไม่เปลี่ยนจากเดิมมากนัก    แต่ในช่วงปีหลังๆ  ชื่อของ Simon ก็ปรากฏบนสื่อกอสสิปหลายครั้งหลายหน  ใช่ว่าเขาก่อเรื่องอื้อฉาวรัวๆ    แต่มักถูกโจมตีว่า เพื่อจะยื้อความหนุ่มไว้ให้นานที่สุด  เขาก็เข้าคลีนิคจัดโบท็อกซ์-ฟิลเลอร์แบบหนักมือจนจำกันไม่ได้
ความสำเร็จในวงการในฐานะ  talent show creator  และผู้บริหารสื่อและความบันเทิงทรงอิทธิพลนั้นก็คงบ่งบอกได้ชัดเจนว่า   Simon สามารถเข้าถึงตัวช่วยเพื่อปรับรูปโฉมให้สดใสอ่อนวัยสไตล์ชาว Hollywood   แต่อาจจะทำมาหนักมือ  ทำให้ถูกเม้าแรงในรายการ  TV ว่า โบหนักจนหน้ากล้ามเนื้อหน้าแข็งมากแทบไม่ขยับ   แม้แต่ลูกชายก็ออกอาการผวาเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของพ่อ  เมื่อเขาได้มองภาพเปรียบเทียบ before after  ก็ถึงกับจำตัวเองไม่ได้  เขาจึงประกาศว่า  จะสลายสารที่ฉีดใส่หน้าออกไป  แต่ไม่นานหลังจากนั้น ก็เผยโฉมหน้าใหม่ที่ดึงดูด trolls เข้ามาถล่ม
รายการ Britain's got talent ขึ้นชื่อเรื่องพิธีกรและกรรมการจิกกัดกันเจ็บๆ   ประชดด้วยตลกร้ายจนอาจจะหน้าชา   ในซีซันล่าสุด คู่หูพิธีกร Ant & De ก็ประกาศแนะนำ'หน้าใหม่' ผู้มาทำหน้าที่กรรมการว่า  หน้าใหม่ตัวจริง ย่อมเป็น Simon Cowell   (เพราะหลังๆมานี้หน้าเปลี่ยนทุกซีซัน) สร้างความขบขันให้กับผู้ชม  แม้แต่คนถูกจิกเองก็ยังขำไปด้วย   Simon วัย 63 เผยว่า เขาฉีดนู่นนี่และทำทรีทเมนท์ต่างๆ แต่ไม่ได้ผ่าตัดดึงหน้าตามที่หลายคนเข้าใจ   เป็นเพราะเขา ไม่ได้ google ชื่อตัวเองจึงไม่รู้กระแสสังคม  มารู้ว่าคนอื่นคิดเช่นไรกับลุคที่เปลี่ยนไปก็ตอนได้ยินคอมเมนท์ของคนร่วมรายการ TV    ดูเหมือนว่า ถ้อยคำในแง่ลบจะส่งผลไม่มากนักต่อ Simon เพราะเขาก็เคยนำเรื่องหน้าใหม่ของตัวเองมาเล่นมุกสร้างเสียงฮาในรายการ BGT โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมาจิกกัด 

แต่คำโจมตีจากชาวเน็ทก็เจ็บแสบถึงขนาดเปรียบเทียบว่าหน้าของเขาเหมือนผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีกหรือดูเหมือนหุ่นขี้ผึ้งจาก Madame Tussauds มากกว่าคนที่มีชีวิต Limmy ดาวตลกจาก BBC ก็เล่นแรงว่า หน้าของ Simon ดูหลอมละลายเหมือนคนที่ถูกลนไฟจนตาย หรือจะเป็น Domino Pizza ที่ทวีทเจ็บๆบรรยายภาพของเขาว่า 'นี่คือสภาพ Simon หลังจากที่คุณเอาเขาออกมาจากช่อง freezer หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเซเลบคนอื่น อาจจะมีแฟนๆออกมา call out ไปแล้วว่าว่า นี่คือพฤติกรรม bully ที่เห็นความตลกจากการเหยียบย่ำคนอื่น

หรือเป็นได้ได้ว่า เพราะ Simon มีภาพลักษณ์ของกรรมการปากจัดไม่เกรงใจใคร ในสายตาของคนอื่น จึงถือว่าการโจมตีเขาแบบจัดหนักไม่ใช่เรื่องเลวร้าย?  และมีสื่อที่ออกตัวปกป้องเขาไม่มากนัก

เบื้องหลังใบหน้าที่ไม่เหมือนเดิมของ Zac Effron

Zac Efron ได้รับการยกย่องว่า มีใบหน้าที่งดงามราวกับรูปปั้น  เขามีนัยน์ตาเจิดจ้าชวนฝัน ขนตางอนเด้งตัดกับคิ้วที่คมเข้มที่ดู masculine   แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ก่อน  ก็เกิดเสียงโจษจันทั่วโลกออนไลน์ว่าเขาเลือกใช้บริการจากแพทย์ศัลยกรรมในต่างประเทศจนโครงหน้าเปลี่ยนแปลงชัดเจน  โดยเฉพาะบริเวณสันกรามที่ดูบวมขึ้น   ทำให้ชาวเน็ทโจมตีว่า นี่เป็นผลมาจากการศัลยกรรมที่ผิดพลาด! หลายคนออกอาการรับไม่ได้ เพราะยึดมั่นเขาเป็นหนุ่มหล่อในดวงใจมานาน และยังชี้ว่า นี่คือการทำลายอาชีพในวงการบันเทิงที่ให้ความสำคัญกับหน้าตา


แต่คำเฉลยถึงที่มาของลุคที่เปลี่ยนแปลงนี้ น่าจะทำให้ชาวเน็ทหันมาเห็นใจ Zac ไม่น้อย...


ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แต่เราไม่อาจรู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นที่เบื้องหลังชีวิตของคนดัง

ประเด็น'หน้าใหม่ของ Zac Efron' ดึงดูดความสนใจมากถึงขั้นที่สื่อตั้งชื่อให้ว่าเป็น 'Jaw-gate'  จากข้อสันนิษฐานที่ผุดขึ้นทั่ว social media ว่า  เขาน่าจะฉีด filler  botox หรือผ่าตัดเสริมกรามให้ใหญ่แน่นเพราะปรารถนาใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมจัดเต็ม  จากความเชื่อว่า นี่คือรูปโฉมหล่อเหลาในอุดมคติที่ผู้คนฝันใฝ่  แต่เขาเลือกนิ่งเงียบไม่อธิบายอยู่พักใหญ่  เมื่อคิดว่าถึงเวลาสมควร  Zac จึงเปิดใจว่า  เขาประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม ใบหน้ากระแทกของแข็งจนกรามหัก แม้ว่าเขาจะเข้ารับการกายภาพบำบัดจนอาการดีขึ้น  แต่สิ่งที่ตามมาจากกระบวนการเยียวยารักษาคือ กล้ามเนื้อบริเวณมุมขากรรไกรมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจนรูปหน้าเปลี่ยน



ในขณะที่ผู้คนโจมตีว่าเขาทำหน้ามาซะหมดหล่อ แต่ที่จริงมันมาจากอุบัติเหตุที่ทำให้เขาเข้าใกล้ความตายแบบหวุดหวิด    อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้เขาสลบไปทันที  ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่ากระดูกที่คางหลุดห้อยลงมา  อาการบาดเจ็บนั้นหนักจนต้องกินอาหารเหลวเป็นเดือน เมื่อรักษาตัวจนออกมาปรากฏโฉมให้คนภายนอก ก็ถูกซ้ำเติมจาก troll  ว่าทำหน้าจนไม่หล่อเร้าใจเหมือนเดิม เมื่อลองคิดว่า หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ก็อาจจะต้องสะเทือนใจหนักจนยากจะรับมือ  

เจอ  meme  ล้อเลียนหนัก
ส่วนตัว Zac นั้นได้หลีกเลี่ยงผลกระทบจากดราม่าด้วยการไม่เข้าไปอ่านคอมเมนท์ในโลกออนไลน์  ที่จริงแล้วเขาได้รู้เรื่องข่าวลือเรื่องศัลยกรรมมาจากแม่ เพราะว่าไม่ได้ติดตามกอสสิป  ซึ่งเขาได้แสดงจุดยืนที่ช่วยสร้างเสริมความหนักแน่นให้กับตัวเองว่า   หากเอาแต่ให้ความสำคัญว่าคนอื่นๆวิจารณ์ว่าเขาไปทำอะไรมาบ้างนั้น  เขาคงไม่อาจจะทำอาชีพนักแสดงมาถึงตอนนี้ได้ เขาจึงไม่ให้ค่ากับข่าวพวกนี้


 Blac Chyna  ถูกกล่าวหาว่าพยายามแข่งกับพี่น้อง KarJenner จนกระทั่งพลิกชีวิตด้วยการศัลยกรรมแบบ reverse

หลายปีที่ผ่านมา   Blac Chyna ถูกยกให้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับครอบครัว KarJenner  จากความเกี่ยวพันยุ่งเหยิงถึงขนาดเข้าไปใกล้ชิดเกือบจะเป็นสะใภ้ของบ้านนี้  และยังให้กำเนิดสายเลือด Kardashian แต่ก็มีแตกหักจนฟ้องร้องกันใหญ่โตมาก่อน   ชาวเน็ทหลายคนจึงมองเธอเป็นนักฉวยโอกาสที่พยายามเกาะความดังครอบครัวทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง  ถึงขนาดมีผู้กล่าวหาว่า เธอทำศัลยกรรมทั้งตัวเพราะหิวแสงอยากโด่งดังเหมือนกับคู่อริ  ซึ่งเธอก็ยอมรับตรงไปตรงมาว่า ผ่านการทำศัลยกรรมหลายครั้ง ทั้งดูดไขมัน เสริมก้น เสริมอก ฉีดฟิลเลอร์ปากและปั้นสันกรามให้คม และอีกหลายอย่าง

แต่หลังจากที่เรียนรู้ว่า การตัดสินใจทำศัลยกรรมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยังอายุน้อย เพราะต้องการใช้รูปร่างหน้าตาปูทางสู่การสร้างรายได้ แต่ไม่เล็งเห็นถึงผลเสียทางสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้น และทำให้ถูกผูกติดกับภาพลักษณ์ในแง่ลบ   เธอก็ปรารถนาจะได้ตัวตนเดิมกลับมา  เส้นทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบ makeunder ได้สร้างกระแสในทิศทางที่ดี  เพราะมีเซเลบเพียงไม่มากที่เปิดเผยการศัลยกรรมแบบ reverse เพื่อจะกลับไปเข้าใกล้ลุคที่เป็นธรรมชาติ  เธอเข้ารับการสลายฟิลเลอร์ที่ใบหน้า  ทั้งโหนกแก้มที่ดูเป็นก้อน สันกราม ปาก ผ่าตัดลดขนาดหน้าอก ผ่าตัดเอาซิลิโคนที่ก้นออก    หลังจากที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เธอก็แสดงความปลาบปลื้มเต็มที่  เพราะก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่ดูแปลกไปทำให้เธอจิตตกมาตลอด คิดว่าตัวเองมีตัวเองเหมือนกับหน้ากาก Jigsaw จากหนัง Saw และรู้สึกดีใจที่รูปหน้าตัวเองไม่เหลี่ยมมุมพุ่งเหมือนกับมุมกล่องอีก
แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า เธอไม่อาจจะเอาซิลิโคนที่ฉีดใส่ก้นตอนอายุ 19 ออกไปได้หมด (เธอเผยว่าเสริมก้นเถื่อน ไม่ใช่ฝีมือศัลยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพแต่อย่างใด) แต่เธอก็เผยว่า  ซิลิโคนที่ถูกกำจัดออกไปนั้นมีปริมาณ 1,250 CC  ทำให้น้ำหนักลดลงไปหลังจากผ่าตัดชัดเจน และเธอยังพยายามออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อเพื่อกระชับรูปร่างหลังผ่าตัด   จากเดิมที่ถูกด้อยค่าว่าเป็นพวก wannabe ที่ศัลยกรรมจนรูปร่างหน้าผิดส่วน  และยังหาแสงด้วยการประชันขันแข่งกับพี่น้อง KarJenner แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียง      เมื่อเธอตัดสินใจรับการผ่าตัดและสลายฟิลเลอร์เปลี่ยนชีวิต feedback จากชาวเน็ทก็เต็มไปด้วยเสียงชื่นชม  และได้รับเชิญจากสื่อให้ไปสัมภาษณ์หลายรายการ  แม้จะมีเสียงติติงว่าลุคเธอยังดูปลอมอยู่บ้าง ก็มีคนมาออกตัวปกป้อง   Instagram ของเธอมีบรรยากาศที่แตกต่างไปด้วยการ empower ให้แฟนๆหันมารักตัวเอง    
 เธอเชื่อว่า เมื่อได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ก็มีอนาคตที่สดใสกำลังรออยู่

"เมื่อได้อยู่ในวงการมานาน ก็ทำให้สูญเสียตัวตนไปได้ ฉันอยากจะหวนกลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง เพื่อเป็นแม่และเป็นมิตรที่ดีกว่าเดิม และเป็นผู้ที่เจ้าถึงจิตวิญญาณ มีความรอบรู้ด้านธุรกิจมากขึ้น และเผยให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของฉันเป็นเช่นไร ไม่ใช่การสวมบทบาทอื่นอย่างที่เคยทำมา ฉันสามารถพัฒนาสิ่งที่อยู่ภายใน สามารถอยู่ตามลำพัง ออกกำลัง พยายามงดเหล้า และเรียนรู้ไบเบิล นี่เป็นกิจกรรมที่ฉันทำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และมันช่วยให้ฉันได้ค้บพบตัวตนของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเพียงแค่ต้องการมีความสุขและหาความสงบให้กับตัวเอง"



candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE