เจาะเรื่องราวของสองหนุ่มคู่จิ้นแห่ง Red, White & Royal Blue
candy 26 14duo ที่ร้อนแรงสุดๆในนาทีต้องยกให้สองหนุ่มคู่จิ้นจาก Red, White & Royal Blue หนัง LGBTQ romance ที่ทำให้แฟนๆใจละลายไปกับลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากับเจ้าชายรูปงามจากอังกฤษ แม้พวกเค้าจะพิสูจน์ความสามารถจากผลงานหนังซีรีส์มาแล้วหลายเรื่อง แต่หลายคนยอมรับว่า เคมีแบบ Boys' Love ที่หลั่งไหลท่วมท้นล้นจอนั้นทำให้ทั้งสองได้รับแสง spotlight ที่เจิดจ้ายิ่งกว่าที่เป็นมา และก้าวสู่สถานะพระเอกดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่างเต็มตัว
เรื่องราวที่น่าสนใจของคู่ขวัญผู้หล่อเหลาจะเป็นเช่นไร มาติดตามกับพวกเราได้เลยค่ะ
คลิกกันทันทีที่ได้พบหน้า
ในชีวิตจริง พวกเค้าเติบโตในครอบครัวที่แตกต่างกัน แม้จะไม่ได้ตรงกับสูตรสำเร็จ romance แบบเจ้าชายผู้สูงศักดิ์จากอังกฤษกับสามัญชนอเมริกันเหมือนกับในหนัง แต่พื้นเพครอบครัวก็ต่างกันมาก Taylor ที่มีเชื้อสายเม็กซิกันเติบโตในครอบครัวขนาดใหญ่ร่วมกับพี่น้องรวมแปดคน เขาคุ้นเคยกับการใช้แรงงานในอู่ซ่อมรถยนต์และบำรุงรักษาของครอบครัว และมีความโดดเด่นทางกีฬาว่ายน้ำจนได้รับทุนเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ตัดสินใจปัดข้อเสนอนั้นไปเพื่อเข้าเรียนใน UCLA
ส่วน Nicholas มาจากครอบครัวนักธุรกิจและนักการเงินเชื้อสายกรีก อาจเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับแฟนๆเมื่อได้พบว่า เมื่อไล่ลำดับเครือญาติของวงศ์ตระกูลขึ้นไป เขาได้สืบสายมาจากเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงในรัสเซียที่เคยรุ่งเรืองก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติรัสเซีย เขาใช้ชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชนในอังกฤษ เข้าเรียนในโรงเรียนประจำที่ขึ้นชื่อว่ามีค่าเทอมแพงที่สุดและฝึกฝนรักบี้จนได้รับการคัดเลือกให้แข่งขันระดับประเทศ
แต่ความแตกต่างนี้ไม่ได้เป็นกำแพงมิตรภาพของพวกเค้าแม้แต่น้อย
Taylor: "ทันทีที่พวกเราได้เริ่มพูดคุยกัน เราก็เข้าถึงกันได้เลย ในตอนที่ได้พบหน้ากัน เราไร้การโชว์อีโก้ใส่กัน เราต่างรู้ดีว่านิยายเรื่องนี้มีความมากมายเท่าใดต่อผู้คน"
Nicholas :"พวกเราเข้าใจซึ่งกันและกันและได้ค้นพบว่า เรามีอารมณ์ขันรูปแบบเดียวกัน ซึ่งมันช่วยให้การแสดงที่มีเคมีเข้ากันเป็นเรื่องง่ายขึ้นมามากครับ"
ผู้กำกับ Matthew Lópezต้องเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหาตัว Alex และ Henry ที่โดนใจอยู่เป็นเดือนและค้นว่า Taylor และ Nicholas มีเคมีที่เข้ากันแบบเป็นธรรมชาติที่สุด ตอนทดสอบหน้ากล้อง พวกเค้าสามารถแสดงแบบด้นสดและตามกันทันเสมอ และนี่คือสิ่งที่เขาตามมา
"ผมรู้ดีว่ามันมีโอกาสที่หนังเรื่องนี้จะล้มเหลว มีสิ่งที่ผมยึดมั่น ซึ่งไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอื้อฉาวตรงไหน นั่นก็คือ ถ้าไม่เจอคู่พระเอกที่ใช่ ก็จะไม่สร้างหนังเรื่องนี้ ผมจะไม่ทำหนังที่มีพระเอกแบบเกือบจะใช่ ต่อมาเมื่อผมได้เจอพวกเค้าผ่าน Zoom ก็เห็นเลยว่า ทั้งสองชื่นชอบกันในทันที รู้ได้เลยว่า สองปีต่อจากนี้ผมจะงานยุ่งขึ้นอีกมาก"
Nicholas :"พวกเราเข้าใจซึ่งกันและกันและได้ค้นพบว่า เรามีอารมณ์ขันรูปแบบเดียวกัน ซึ่งมันช่วยให้การแสดงที่มีเคมีเข้ากันเป็นเรื่องง่ายขึ้นมามากครับ"
ผู้กำกับ Matthew Lópezต้องเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหาตัว Alex และ Henry ที่โดนใจอยู่เป็นเดือนและค้นว่า Taylor และ Nicholas มีเคมีที่เข้ากันแบบเป็นธรรมชาติที่สุด ตอนทดสอบหน้ากล้อง พวกเค้าสามารถแสดงแบบด้นสดและตามกันทันเสมอ และนี่คือสิ่งที่เขาตามมา
"ผมรู้ดีว่ามันมีโอกาสที่หนังเรื่องนี้จะล้มเหลว มีสิ่งที่ผมยึดมั่น ซึ่งไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอื้อฉาวตรงไหน นั่นก็คือ ถ้าไม่เจอคู่พระเอกที่ใช่ ก็จะไม่สร้างหนังเรื่องนี้ ผมจะไม่ทำหนังที่มีพระเอกแบบเกือบจะใช่ ต่อมาเมื่อผมได้เจอพวกเค้าผ่าน Zoom ก็เห็นเลยว่า ทั้งสองชื่นชอบกันในทันที รู้ได้เลยว่า สองปีต่อจากนี้ผมจะงานยุ่งขึ้นอีกมาก"
เมื่อต้องเข้าฉากเข้าด้ายเข้าเข็ม อารมณ์ขันคือสิ่งช่วยให้ไหลลื่นสมจริง
Love Scene สุดร้อนแรงใน Red, White, and Royal Blue กลายเป็น topic ที่ชาวเน็ทกล่าวขวัญ แน่นอนว่า ภาพการแสดงความรักด้วยการสัมผัสร่างกายที่แนบชิดกันของหนุ่มหล่อทั้งสองจะต้องพึ่งพาความเชื่อใจและเคารพกันและกันไม่ต่างจากคู่นักแสดงชาย-หญิง แต่สิ่งที่ช่วยให้ลดความเก้อเกินอึดอัดในการเข้าฉากคือการนำอารมณ์ขันเข้ามาเพื่อความผ่อนคลาย เบื้องหลังความร้อนแรงของพวกเค้าจึงทำแฟนๆเพ้อฝันแบบห้ามใจไม่อยู่มีบรรยากาศแบบเฮฮา
Taylor: "มันเหมือนกับการออกแบบจังหวะท่าทาง พวกเราจะนับจังหวะในหัว เหมือนกับการเต้นรำ จับ 1-2 บีบเคล้น 1-2"
"เรานำอารมณ์ขันมาใช้ทั้งช่วงก่อนเข้าฉากและหลังเข้าฉาก มันได้ทำให้ทุกๆอย่างดูซีเรียสน้อยลงไปและดึงพวกเราออกจากความรู็สึกนึกคิดที่ไม่ยอมรับมัน ,มันเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของผม การค้นหาอารมณ์ขันจากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีความคึกแบบไม่เอาจริงเอาจังเกินไปบ้าง ผมใช้เรื่องนี้มาช่วยและผมว่า Nick ก็เป็นเหมือนกันเลยครับ"
Nicholas เสริมว่า เพราะต้องกอดจูบกันเยอะมากจึงต้องใช้มินต์เพิ่มความสดชื่นก่อนแสดงแบบคลุกวงในเสมอ😍😗
Taylor: "มันเหมือนกับการออกแบบจังหวะท่าทาง พวกเราจะนับจังหวะในหัว เหมือนกับการเต้นรำ จับ 1-2 บีบเคล้น 1-2"
"เรานำอารมณ์ขันมาใช้ทั้งช่วงก่อนเข้าฉากและหลังเข้าฉาก มันได้ทำให้ทุกๆอย่างดูซีเรียสน้อยลงไปและดึงพวกเราออกจากความรู็สึกนึกคิดที่ไม่ยอมรับมัน ,มันเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของผม การค้นหาอารมณ์ขันจากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีความคึกแบบไม่เอาจริงเอาจังเกินไปบ้าง ผมใช้เรื่องนี้มาช่วยและผมว่า Nick ก็เป็นเหมือนกันเลยครับ"
Nicholas เสริมว่า เพราะต้องกอดจูบกันเยอะมากจึงต้องใช้มินต์เพิ่มความสดชื่นก่อนแสดงแบบคลุกวงในเสมอ😍😗
Nicholas: "มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ได้เข้าถึงเนื้อถึงตัวแนบชิดถึงขนาดนั้นกับคนที่เป็นเพื่อนของเรา และพวกเราปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะทำให้ผู้ชมตกหลุมรักสองตัวละครนี้ เพราะความรักของพวกเค้าจะต้องดูสมจริง"
Taylor: ช่วงซ้อม sex scenes เราจะผ่อนคลายอยู่เสมอ แต่ตอนที่แสดงจริงๆ ทันทีที่มีคนตะโกนบอกว่า Cut ไม่ใครก็คนหนึ่งจะพูดจาฮาๆแบบ นี่นายลุกออกไปจากตัวฉันเลยนะ"
Zakhar Perez กับสถานะ Internet Boyfriend เชื้อสายละติน
นับตั้งแต่โด่งดังจาก The Kissing Booth แฟนๆก็ออกอาการปลาบปลื้มกับความหล่อเหลาแบบหนุ่มละตินของ Taylor ไม่ว่าจะเป็นคิ้วตาคมเข้มและขนตางอนยาวเด้งซะจนอยากจะปามาสคาร่าราคาแพงในมือทิ้งไป เขามีส่วนสูง 185 และผิวสีน้ำตาลเรียบเนียนสม่ำเสมอทั้งตัวที่เน้นให้กล้ามแน่นๆดูโดดเด่นยิ่งกว่าเดิม ความหล่อเหลาในระดับนี้ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแฟนๆจำนวนมากมายจะเพ้อใส่ด้วยความว้าวุ่น ใน Instagram ของเขา มีแฟนๆหลั่งไหลเข้าไปชื่นชมกับขนตาและ features อื่นๆที่สมบูรณ์แบบของเขา ที่จริงเรื่องความหล่อนั้นเค้าก็รู้กันแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อรับบท romance ชาย-ชายแล้ว fanbase ยิ่ง strong!
ย้ำ Alex เป็น Bi ไม่ใช่ Gay
ผู้กำกับหนังเคยแสดงความเห้นไปแล้วว่า Red, White & Royal Blue ไม่ใช่หนัง Gay แม้จะเป็นเรื่องความรักของสองหนุ่ม และ เจ้าชาย Henry ผู้สูงศักดิ์นั้นเป็น Gay ก็จริง แต่ฝั่ง Alex ลูกชายประธานาธิบดีนั้นคบหาผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเขาตกหลุมรักเพศเดียวกัน ก็ชี้ชัดง่า เขาเป็น Bisexual ซึ่งคนกลุ่มนี้ย่อมควรค่าจะเป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกัน
เรื่องราวของ Alex ที่เคยผ่านประสบการณ์กับผู้ชายมาเล็กน้อย คล้ายๆกับเป็นความคึกคะนองยามวัยรุ่นและบรรยากาศกับความเมาที่พาอารมณ์ให้เตลิดไป เมื่อเขารู้ตัวว่าคนที่เคยคิดว่าเพื่อนหนุ่มที่พูดคุยถูกคอกันมีแรงดึงดูดใจให้คิดเกินกว่าเพื่อน มันก็ยังเป็นเรื่องที่ชวนสับสน เพราะที่ผ่านมานั้นเขา enjoy กับการใกล้ชิดผู้หญิงมาโดยตลอด แต่เมื่อยอมรับในสิ่งที่เป็นได้อย่างแท้จริงและพยายามต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อรักแท้ ก็เข้าใจได้เลยว่า มัน touch ใจของผู้ชมหลายคน ไม่ว่าจะเพศใด
เรื่องราวของ Alex ที่เคยผ่านประสบการณ์กับผู้ชายมาเล็กน้อย คล้ายๆกับเป็นความคึกคะนองยามวัยรุ่นและบรรยากาศกับความเมาที่พาอารมณ์ให้เตลิดไป เมื่อเขารู้ตัวว่าคนที่เคยคิดว่าเพื่อนหนุ่มที่พูดคุยถูกคอกันมีแรงดึงดูดใจให้คิดเกินกว่าเพื่อน มันก็ยังเป็นเรื่องที่ชวนสับสน เพราะที่ผ่านมานั้นเขา enjoy กับการใกล้ชิดผู้หญิงมาโดยตลอด แต่เมื่อยอมรับในสิ่งที่เป็นได้อย่างแท้จริงและพยายามต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อรักแท้ ก็เข้าใจได้เลยว่า มัน touch ใจของผู้ชมหลายคน ไม่ว่าจะเพศใด
ผู้กำกับอธิบายความรักของ Alex & Henry ว่า
"ใช่ พวกเค้าตกหลุมรักกันและพวกเค้าก็เป็นคู่รักเพศเดียวกัน แต่ดังที่เห็นในนิยายและหนัง ตัว B ในกลุ่มLGBTQ ไม่ใช่ตัวอักษรที่ไร้เสียง"
"สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมองว่านิยายเรื่องนี้ช่างสร้างความมีชีวิตชีวาก็คือ มันได้นำเสนอเรื่องราวของคนที่มีความปรารถนาทั้งผู้ชายและผู้หญิง และเส้นทางที่ Alex ได้เลือก"
"ผมรู้สึกขอบคุณได้นำจุดนี้จากนิยายมาใช้ในหนัง ได้เปิดพื้นที่ให้กับ Alex ในฐานะตัวละครที่เป็น Bi"
"ใช่ พวกเค้าตกหลุมรักกันและพวกเค้าก็เป็นคู่รักเพศเดียวกัน แต่ดังที่เห็นในนิยายและหนัง ตัว B ในกลุ่มLGBTQ ไม่ใช่ตัวอักษรที่ไร้เสียง"
"สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมองว่านิยายเรื่องนี้ช่างสร้างความมีชีวิตชีวาก็คือ มันได้นำเสนอเรื่องราวของคนที่มีความปรารถนาทั้งผู้ชายและผู้หญิง และเส้นทางที่ Alex ได้เลือก"
"ผมรู้สึกขอบคุณได้นำจุดนี้จากนิยายมาใช้ในหนัง ได้เปิดพื้นที่ให้กับ Alex ในฐานะตัวละครที่เป็น Bi"
hot แบบไม่ต้องพยายาม
ภาพลักษณ์หนุ่มอเมริกันที่ดูติดดินเข้าถึงง่ายยังเป็นคะแนนบวกให้แฟนๆคลั่ง Taylor ยิ่งขึ้น เขาเป็นหนุ่มรักน้องหมาที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าตลอดเวลา ตอนที่ได้เห็นเขากระพือขนตาพรึ่บๆใส่ก็ต้องมีใจบางกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาและเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาตินั้นทำให้เขาอยู่ในกลุ่มหนุ่ม hot ที่ดูเหมือนกับไม่ต้องพยายามใดๆก็ทำให้คนรอบข้างใจสั่นไหว
แม้แต่ตอนก้าวออกจากรถเพื่อชม Prada fashion show ในสภาพเปลือยอกแล้วจับ jacket มาใส่แบบชิลๆ ก็ไม่ได้ดูฝืนเพื่อโอ้อวดความหล่อแซ่บชวนให้หมั่นไส้ แค่ถอดเสื้อนั่งรถมาเบาๆ ลงมาให้แฟนๆ อ้าปากค้าง เหมือนกับ service เพียงไม่กี่วินาทีก็อิ่มกันถ้วนหน้า
Nicholas Galitzine หนุ่มหน้าสวยที่ผ่านประสบการณ์แสดงบท queer มาหลายครั้ง
ความหล่อเหลาเหมือนกับนายแบบเชื้อสายยูโรเปี้ยนอาจจะทำให้คุณประหลาดใจเมื่อพบว่า Nicholas ฝึกฝนกีฬาที่ใช้พละกำลังดุดันอย่างรักบี้มาหลายปี เขาเผยว่า เติบโตในโลกที่ยึดมั่นในการแสดงความเป็นชายที่แข็งแกร่ง แต่ตัวจริงของเขาเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์อ่อนไหวมากมาย เมื่อหันมาสนใจกับการแสดงตอนอายุ 18 และแสดงความต้องการอย่างชัดเจนกับครอบครัวที่มีฐานะผู้มีอันจะกิน ก็ทำให้เกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่ที่หวาดหวั่นในเรื่องวงการบันเทิงที่อาจจะนำความเสียหายสู่ลูกชาย
Nicholas ใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อไขว่คว้าหาโอกาสเพื่อจะเป็นนักแสดงมีชื่อเสียง บทเจ้าสายจาก Cinderella อาจจะทำให้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักขึ้นมาบ้าง แต่หนัังรักจาก Netflix Purple Heart ได้ดึงดูดความสนใจจากชาวเน็ทไม่น้อยเลย ในที่สุดประตูโอกาสก็เปิดกว้างเมื่อเขาได้ก้าวมารับบทเจ้าชายอีกครั้ง แม้จะ Henry จะเป็นตัวละครที่ถูกสมมุติขึ้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าชาย Harry และราชวงศ์ Windsor แต่การถ่ายทอดด้านของชายหนุ่มที่ต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงและอดทนใช้ชีวิตที่ไม่ได้เป็นตัวเองนั้นทำให้แฟนๆชื่นชมถึงทักษะการแสดงที่โดดเด่น และเมื่อได้ค้นหาตารางงานในอนาคตของ Nicholas ก้็บว่า เส้นทางนักแสดงมืออาชีพของเขากำลังไปได้สวยมากๆ ทั้งได้แสดงหนัง rom-com คู่กับ Anne Hathaway และรับบทนำในซีรีส์พีเรียดฟอร์มยักษ์คู่กับ Julianne Moore บอกเลยว่าน่าดูทั้งสองเรื่อง
แต่แฟนๆก็เรียกร้องให้มีการสร้าง Red, White & Royal Blue ภาคต่อกันอื้ออึง เพราะยังอินกับความรักของสองหนุ่มน่ารักไม่หาย ที่จริงแล้ว Nicholas เคยรับบทชายรักชายมาก่อน และมีแฟนๆติดตามมาตั้งแต่ตอนนั้น และทำให้มีผู้จุดประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของเขาตามมา
แต่แฟนๆก็เรียกร้องให้มีการสร้าง Red, White & Royal Blue ภาคต่อกันอื้ออึง เพราะยังอินกับความรักของสองหนุ่มน่ารักไม่หาย ที่จริงแล้ว Nicholas เคยรับบทชายรักชายมาก่อน และมีแฟนๆติดตามมาตั้งแต่ตอนนั้น และทำให้มีผู้จุดประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของเขาตามมา
ดังที่หลายคนเคยได้ยินว่า มีชาวเน็ทกลุ่มหนึ่งที่ร่วมต่อต้าน casting นักแสดงที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับบท จากข้อกล่าวหาว่า เป็นการแย่งงานจากนักแสดง LGBTQ ที่เป็นกลุ่มชายขอบและถูกกีดกันไม่ให้ได้รับโอกาสที่พวกเค้าคู่ควร โดยเฉพาะนักแสดง Straight ที่มักจะได้รับเลือกให้รับบทบาท Gay หรือ Trans และคว้ารางวัลทรงเกียรติอย่าง Oscar ไปแล้วหลายคน การเปิดประเด็นไถ่ถามเรื่องนี้กับ Nicholas ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้าง เพราะในขณะที่ฝ่าย Taylor ไม่ได้ระบุอัตลักษณ์ทางเพศอย่างชัดเจน Nicholas ได้เปิดเผยถึงผู้หญิงที่เขาชื่นชอบมาก่อน แม้จะเก็บเรื่องความสัมพันธ์ไว้เป็นส่วนตัว แต่สื่อดัง Variety ก็ยืนยันจากบทสัมภาษณ์ Podcast ว่า เขาชอบเพศตรงข้าม ซึ่งที่ผ่านมานั้นเคยเกิดดราม่าเพราะ Social justice warrior หลายคนรู้สึกไม่พอใจกับการเลือกนักแสดงที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับบทมาแล้วหลายครั้ง (Eddie Redmayne ถูกกดดันให้ออกมาชี้แจงในการรับบท trans จนได้รับรางวัลการแสดง รวมถึง Benedict Cumberbatch นักแสดงที่ถูกต่อต้านหนักคือ James Corden ที่ชาวเน็ทไม่ happy เอามากๆจนเรียกร้องให้ถอดจากบทเลยทีเดียว)
Nicholas ได้อธิบายในประเด็นนี้ว่า
"ผมมองว่านี่เป็นหัวข้อการพูดคุยที่ละเอียดอ่อนมากๆครับ มันเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผมในการทำให้ Matthew ได้ตระหนักว่า ผมรัก Henry ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และผมได้สร้างความเข้าใจในตัวเขาในฐานะตัวละคร ผมต้องการจะถ่ายทอดการแสดงที่ดูจริงใจ พยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการล้อเลียนกัน"
ประเด็น Nicholas ไม่ใช่ Gay แล้วแสดงบท Gay จนโด่งดังนั้น เรายังไม่พบกระแสต่อต้านเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตัวผู้กำกับ Matthew Lopez ที่เปิดเผยตัวตนชัดเจนว่าเป็น Gay คือผู้คัดเลือกเขามาเองกับมือนั่นเอง
"ผมมองว่านี่เป็นหัวข้อการพูดคุยที่ละเอียดอ่อนมากๆครับ มันเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผมในการทำให้ Matthew ได้ตระหนักว่า ผมรัก Henry ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และผมได้สร้างความเข้าใจในตัวเขาในฐานะตัวละคร ผมต้องการจะถ่ายทอดการแสดงที่ดูจริงใจ พยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการล้อเลียนกัน"
ประเด็น Nicholas ไม่ใช่ Gay แล้วแสดงบท Gay จนโด่งดังนั้น เรายังไม่พบกระแสต่อต้านเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตัวผู้กำกับ Matthew Lopez ที่เปิดเผยตัวตนชัดเจนว่าเป็น Gay คือผู้คัดเลือกเขามาเองกับมือนั่นเอง
ถูกจับเปรียบเทียบกับเจ้าชาย Harry
หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า ชื่ออย่างเป็นทางการของเจ้าชาย Harry คือ Henry (ส่วนชื่อ Harry ที่มาจากชื่อเล่นที่นำมาใช้จนแทบจะเหมือนชื่อจริงไปแล้ว) เจ้าชายที่มีตัวตนจริงๆกับเจ้าชายแห่ง Red, White & Royal Blue ไมได้มีชื่อตรงกันเท่านั้น แต่ยังมีคนจับเอาชีวิตของพวกเค้ามาเปรียบเทียบกับ ทั้งสองรับความกดดันจากการการใช้ชีวิตที่อยู่ภายใต้ธรรมเนียมเคร่งครัดและแนวคิดอนุรักษ์นิยมของราชวงศ์ พวกเค้าตกหลุมรักคนอเมริกัน และถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่นอกลู่นอกทางภาพลักษณ์ดีงามของวงศ์ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตัวผู้กำกับยังเชื่อว่า ผู้ประพันธ์นิยายได้ผสมผสานเรื่องราวของเจ้าชายพี่น้องผู้โด่งดังเพื่อสร้าง Henry ขึ้นมาเช่นเดียวกัน
Nicholas ได้แสดงมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า เขาไม่ได้หาข้อมูลเรื่องเจ้าชายคนใดมาเป็นพิเศษเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เจ้าชาย Henry ที่แสดงตัวตนแบบหัวขบถท่ามกลางกลุ่มเชื้อพระวงศ์ที่เคร่งครัดและยึดมั่นกับภาระหน้าที่ทำให้ผู้ชมนำมาเปรียบเทียบกับบทบาทของเขา ซึ่งบทเจ้าชาย Henry ดูจะมีความใกล้เคียงกับเจ้าชาย Harry มากกว่าเจ้าชาย William
"เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับการยึดคติหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับแรก ความรับผิดชอบนี้ถูกผูกติดกับตัวเจ้าชายมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงไม่สามารถยกให้ความรักและการแสดงตัวตนที่แท้จริงมาก่อนหน้าที่ได้"
เห็นได้ชัดว่า เรื่องในชีวิตไม่ได้ลงเอยด้วย happy ending เจ้าชาย Harry ถอนตัวจากราชวงศ์ หลงเหลือไว้ซึ่งความบาดหมางกับพี่ชายและความห่างเหินกับพ่อ กลายเป็นข่าวอื้อฉาวรายวันที่ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือด
Nicholas ได้แสดงมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า เขาไม่ได้หาข้อมูลเรื่องเจ้าชายคนใดมาเป็นพิเศษเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เจ้าชาย Henry ที่แสดงตัวตนแบบหัวขบถท่ามกลางกลุ่มเชื้อพระวงศ์ที่เคร่งครัดและยึดมั่นกับภาระหน้าที่ทำให้ผู้ชมนำมาเปรียบเทียบกับบทบาทของเขา ซึ่งบทเจ้าชาย Henry ดูจะมีความใกล้เคียงกับเจ้าชาย Harry มากกว่าเจ้าชาย William
"เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับการยึดคติหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับแรก ความรับผิดชอบนี้ถูกผูกติดกับตัวเจ้าชายมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงไม่สามารถยกให้ความรักและการแสดงตัวตนที่แท้จริงมาก่อนหน้าที่ได้"
เห็นได้ชัดว่า เรื่องในชีวิตไม่ได้ลงเอยด้วย happy ending เจ้าชาย Harry ถอนตัวจากราชวงศ์ หลงเหลือไว้ซึ่งความบาดหมางกับพี่ชายและความห่างเหินกับพ่อ กลายเป็นข่าวอื้อฉาวรายวันที่ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือด
เจ้าชายแห่งความอับอายที่ถูกเก็บเป็นความลับ
ภาพลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษที่เต็มไปด้วยความเป็นอนุรักษ์นิยมและการวางตัวเพื่อเลี่ยงข้อครหาโดยเก็บงำเรื่องเพศเป็นความลับอาจจะทำให้มีผู้คิดว่า ไม่เคยมีเชื้อพระวงศ์ที่เปิดเผยตัวว่าเป็น LGBTQ มาก่อน แต่ความจริงคือ ลอร์ด Ivar Mountbatten ที่สืบทอดเชื้อสายจากสมเด็จพระราชินี Queen Victoria ก็ได้ประกาศให้โลกรับรู้ตัวตนและแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกราชวงศ์อย่างเป็นทางการ แต่ก็ความเกี่ยวโยงในฐานะญาติของกษัตริย์ Charles ที่ 3 ก็ทำให้สื่อยกให้เขาเป็นเชื้อพระวงศ์คนแรกที่เปิดตัวและใช้ชีวิตแบบ Gay อย่างเปิดเผย
แต่หากถามว่า เราจะได้ยินเรื่องราวแบบเดียวกันจากเชื้อพระวงศ์ระดับสูงหรือไม่? ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่า เกิดขึ้นได้ยาก จากประวัติศาสตร์เนิ่นนานที่ผ่านมา ตัวตน queer ของเชื้อพระวงศ์หลายคนถือเป็น open secret ที่แม้ว่าจะสร้างข้อกังขาอย่างแพร่หลาย แต่ก็เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่อาจจะยอมรับออกมาได้ตรงๆ นั่นเป็นเพราะว่า รักร่วมเพศคือสิ่งผิดกฎหมายที่อังกฤษตราบกระทั่งยุค 60s และถึงจะก้าวเข้าสู่ความโมเดิร์น หลายคนก็ยังอคติกับเรื่องเพศทางเลือก แม้แต่เจ้าหญิง Diana ที่มีเพื่อนสนิทเป็น Gay ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์แรงเช่นกัน
จะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับราชวงศ์อังกฤษในศตวรรษที่ 21 และทำให้พวกเราได้ประจักษ์ถึงเรื่องราวความรักแบบ Red, White & Royal Blue หรือไม่? เวลาเท่านั้นที่บอกได้
แต่หากถามว่า เราจะได้ยินเรื่องราวแบบเดียวกันจากเชื้อพระวงศ์ระดับสูงหรือไม่? ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่า เกิดขึ้นได้ยาก จากประวัติศาสตร์เนิ่นนานที่ผ่านมา ตัวตน queer ของเชื้อพระวงศ์หลายคนถือเป็น open secret ที่แม้ว่าจะสร้างข้อกังขาอย่างแพร่หลาย แต่ก็เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่อาจจะยอมรับออกมาได้ตรงๆ นั่นเป็นเพราะว่า รักร่วมเพศคือสิ่งผิดกฎหมายที่อังกฤษตราบกระทั่งยุค 60s และถึงจะก้าวเข้าสู่ความโมเดิร์น หลายคนก็ยังอคติกับเรื่องเพศทางเลือก แม้แต่เจ้าหญิง Diana ที่มีเพื่อนสนิทเป็น Gay ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์แรงเช่นกัน
จะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับราชวงศ์อังกฤษในศตวรรษที่ 21 และทำให้พวกเราได้ประจักษ์ถึงเรื่องราวความรักแบบ Red, White & Royal Blue หรือไม่? เวลาเท่านั้นที่บอกได้
พลัง shipping คู่นี้แรงมาก ตัวเราเองก็ขอยกมือว่า คลิกต่ออายุ Amazon Prime Video เพื่อไม่ให้ตกกระแส เมื่อเกาะ Instagram และตอนสัมภาษณ์ของทั้งคู่ก็แอบอมยิ้มให้กับความสัมพันธ์แบบ Bromance โดยเฉพาะที่ตอนที่พวกเค้าส่งข้อความหากัน ดูเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันจริงๆ ไม่ใช่โพรโมทแบบ fan service
เคมีดีขนาดนี้ ภาค 2 ต้องมาแล้วล่ะ!