กรณีตัวอย่าง คนดังที่ตกเป็นเหยื่อถูกปล่อยรูปนู้ดประจาน
candy 27 11Jennifer Lawrence 'ต่อสู้ทางกฎหมายจนคนขโมยภาพถูกส่งเข้าคุก'
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดผวาให้กับชาว Hollywood ที่ถูกเรียกว่า 'Cyber Attack' และ 'Celeb Gate' จากน้ำมือแฮคเกอร์ตัวร้ายได้เจาะข้อมูล iCloud account ของผู้คนนับร้อย แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในสังคมออนไลน์นั่นไม่ใช้ข้อมูลของคนทั่วไป แต่เป็นภาพนู้ดที่เคยเป็นสมบัติลับเฉพาะของคนดังระดับ high profile โดยเฉพาะศิลปินนักแสดงสาว การถูฏล่วงละเมิดครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายทางจิตใจจนหลายคนเลือกเก็บตัวหายเงียบจากสังคมไปพักใหญ่ แต่ถึงข่าวคราวอื้อฉาวจะซาลงไปจนหลายคนลืมเลือนไปแล้ว แต่คำพูดที่ว่า Internet is forever ก็ยังตามหลอกหลอนพวกเธอ ทั้งๆที่ขู่ฟ้องร้องเว็บไซต์สื่ออนาจารให้ลบภาพนู้ดเหล่านั้นออกไป แต่ทุกวันนี้มันก็ยังถูกแชร์ในโลกออนไลน์กลายเป็นตราบาปที่ถูกยัดเยียดให้พวกเธอต้องทุกข์ใจมายาวนาน และหวาดหวั่นเมื่อคนในครอบครัวต้องมากระทบกระเทือนใจกับเรื่องนี้ไปด้วย
การล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนดังครั้งนี้มี impact มาก เนื่องจากเหยื่อแต่ล่ะคนเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการบันเทิง นอกจากสื่อจะจับจ้องตั้งคำถามให้พวกเธออะิบายความรู้สึกที่ถูกขโมยภาพมาประจาน สังคมยังกดดัน Apple ให้อธิบายถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อข้อมูลผู้บริโภค
แต่หนึ่งในเหยื่อที่จะไม่ยอมปล่อยให้คนทำใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากทำลายคนอื่นคือ Jennifer Lawrence เธอไม่ได้ส่งทนายไปขู่ฟ้องเว็บไซต์ที่แพร่ภาพลับของเธอเพียงเท่านั้น แต่ประกาศว่า นี่คืออาชญากรรมทางเพศที่เธอจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้จะต้องใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่แฮคเกอร์เกอร์ 4 คนได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 8 เดือน ไปจนถึงปีครึ่ง ซึ่งแม้ว่า อาชญากรเหล่านี้จะเอ่ยแสดงความเสียใจและขอโทษเหยื่อระหว่างการพิจารณาคดีในศาล แต่รอยแผลที่พวกเค้าทิ้งไว้ในใจเหยื่อก็ยากจะลบเลือนหายไป
แต่หนึ่งในเหยื่อที่จะไม่ยอมปล่อยให้คนทำใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากทำลายคนอื่นคือ Jennifer Lawrence เธอไม่ได้ส่งทนายไปขู่ฟ้องเว็บไซต์ที่แพร่ภาพลับของเธอเพียงเท่านั้น แต่ประกาศว่า นี่คืออาชญากรรมทางเพศที่เธอจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้จะต้องใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่แฮคเกอร์เกอร์ 4 คนได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 8 เดือน ไปจนถึงปีครึ่ง ซึ่งแม้ว่า อาชญากรเหล่านี้จะเอ่ยแสดงความเสียใจและขอโทษเหยื่อระหว่างการพิจารณาคดีในศาล แต่รอยแผลที่พวกเค้าทิ้งไว้ในใจเหยื่อก็ยากจะลบเลือนหายไป
ราวๆ 3-4 ปีหลังจากถูกขโมยภาพส่วนตัวมาปล่อยในโลกออนไลน์ J. Law ได้เผยว่า เธอยังทำใจก้าวข้ามมันไปไมไ่ด้
"ช่วงที่ถูกแฮค มันเป็นการล่วงละเมิดกันอย่างร้ายกาจจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ฉันคิดวว่าตัวเองก็ยังต้องพยายามทำใจอยู่"
"ฉันรู้สึกเหมือนกับถูกทั้งโลกรุมโทรม ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่ไม่สามารถเข้าถึงภาพส่วนตัวของฉันได้"
"คุณอาจจะร่วมงานเลี้ยงบาร์บีคิวอยู่ และจู่ๆ ก็มีคนในงานก็เอาภาพเหล่านั้นที่อยู่ในโทรศัพท์มาโชว์"
Jenniferไม่ได้ฟ้องร้อง Apple เพราะเชื่อว่า ถึงพยายามไป แต่มันก็ไม่สามารถนำความสงบสุขและปกป้องร่างกายเปลือยเปล่าของเธอและ Nick ให้กลับมาได้
(Nick ที่เธอกล่าวถึงคือ Nicholas Hoult อดีตแฟนหนุ่มที่เธอแชร์ภาพลับในช่วงที่พวกเค้ายังรักกัน)
หลังจากที่เธอพึ่งพาการสืบสวนจาก FBI จนค้นพบตัวผู้กระทำผิดและฟ้องร้องให้คนเหล่านี้รับโทษจำคุก เธอก็มีรักครั้งใหม่และแต่งงานมีครอบครัวกับหนุ่มนอกวงการ
ถ่ายนู้ดเพื่อแสดง statement ทรงพลัง 'นี่คือสิ่งที่ฉันเลือกเอง'
ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องภาพหลุด Jennifer ตัดสินใจถ่ายแบบขึ้นปก Vatiny Fair การเผยให้ทั้งโลกได้เห็นเรือนร่างด้วยตัวเองคือวิธีโต้ตอบการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
"นี่คือร่างกายของฉัน และมันควรจะเป็นการตัดสินใจจากตัวฉันเอง การที่ฉันถูกประจานโดยไม่มีสิทธิ์เลือกช่างเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เรากำลังใช้ชีวิตในโลกแย่ๆแบบนี้"
เธอระบายว่า ถูกกกดันให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทำผิดซะเอง และพยายามจะเขียนแถลงการณ์เพื่อชี้แจง
"ไม่ว่าจะเขียนออกมายังไงมันก็ทำห้ฉันร่ำไห้หรือไม่ก็โกรธเกรี้ยว ฉันเริ่มต้นด้วยการเขียนคำขออภัย แต่มันไม่ได้มีสิ่งใดที่ฉันควรจะยอกว่า ฉันรู้รู้สึกเสียใจที่ทำมัน ตอนนั้นฉันกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีงามและเต็มไปด้วยความรักเป็นเวลา 4 ปี มันเป็นการคบกันแบบทางไกล หากคนรักหนุ่มของเราไม่ดูสื่อโป๊เปลือย เขาก็ต้องดูภาพของเรา"
"มันไม่ใช่ข่าวอื้อฉาว แต่มันเป็นอาชญากรทางเพศ เป็นการล่วงละเมิดทางเพศที่น่าขยะแขยง กฎหมายจะต้องมีความเปลี่ยนแปลง และพวกเราต้องเปลี่ยนด้วย เว็บไซต์เหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบ เพียงเพระาได้เห็นคนถูกล่วงละเมิดและแสวงหาประโยชน์ทางเพศ คนพวกหนึ่งกลับคิดจะฉกฉวยหากำไรจากเรื่องนี้ มันทำให้ฉันตกตะลึง คิดภาพไม่ออกเลยว่า ใครกันที่จะสามารถทำสิ่งที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ สิ้นคิดและว่างเปล่าขนาดนั้นได้เช่นไร"
"นี่คือร่างกายของฉัน และมันควรจะเป็นการตัดสินใจจากตัวฉันเอง การที่ฉันถูกประจานโดยไม่มีสิทธิ์เลือกช่างเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เรากำลังใช้ชีวิตในโลกแย่ๆแบบนี้"
เธอระบายว่า ถูกกกดันให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทำผิดซะเอง และพยายามจะเขียนแถลงการณ์เพื่อชี้แจง
"ไม่ว่าจะเขียนออกมายังไงมันก็ทำห้ฉันร่ำไห้หรือไม่ก็โกรธเกรี้ยว ฉันเริ่มต้นด้วยการเขียนคำขออภัย แต่มันไม่ได้มีสิ่งใดที่ฉันควรจะยอกว่า ฉันรู้รู้สึกเสียใจที่ทำมัน ตอนนั้นฉันกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีงามและเต็มไปด้วยความรักเป็นเวลา 4 ปี มันเป็นการคบกันแบบทางไกล หากคนรักหนุ่มของเราไม่ดูสื่อโป๊เปลือย เขาก็ต้องดูภาพของเรา"
"มันไม่ใช่ข่าวอื้อฉาว แต่มันเป็นอาชญากรทางเพศ เป็นการล่วงละเมิดทางเพศที่น่าขยะแขยง กฎหมายจะต้องมีความเปลี่ยนแปลง และพวกเราต้องเปลี่ยนด้วย เว็บไซต์เหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบ เพียงเพระาได้เห็นคนถูกล่วงละเมิดและแสวงหาประโยชน์ทางเพศ คนพวกหนึ่งกลับคิดจะฉกฉวยหากำไรจากเรื่องนี้ มันทำให้ฉันตกตะลึง คิดภาพไม่ออกเลยว่า ใครกันที่จะสามารถทำสิ่งที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ สิ้นคิดและว่างเปล่าขนาดนั้นได้เช่นไร"
ในช่วงที่ภาพนู้ดของ J. Law ยังเป็น Talk OF The Town เธอเคยถึงความหวาดหวั่นว่า มันจะกระทบต่ออาชีพนักแสดง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจรับบท spy สาวสุดฮ็อท ใน Red Sparrow ซึ่งมีฉากเปลือยหมดจด เพราะรู้สึกว่า นี่การ empower จากเหตุการณ์ที่ถูกขโมยภาพมาประจาน
"ฉันรู้สึกว่า ฉันถูกพรากบางสิ่งบางอย่างไป และฉันลับมาเพื่อถ่ายทอดศิลปะของตัวเอง"
"ฉันได้อ่านบทและรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับฉากนู้ด แต่ก็ค้นพบว่า การเปิดเผยอย่างยินยอมและการถูกฝ่าฝืนใจนั้นมีความแตกต่างกัน นี่คือร่างกายและศิลปะในรูปแบบของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง และถ้าหากคุณไม่ชอบเห็นหน้าอก ก็ไม่ควรไปชม Red Sparrow"
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างล้มหลาม แต่การออกมาปกป้องตัวเองจากการล่วงละเมิดนี้ได้ได้กระตุ้นคนในสังคมให้ความสำคัญกับการรับฟังผู้ที่ถูกกระทำ และลดอคติจาก victim blaming
แต่ถึงเธอจะได้รับคำชื่นชมเรื่องการต่อสู้จนผู้กระทำผิดถูกลงโทษทัณฑ์ วันเวลาที่ผ่านไปหลายปี J. Law ก็ยอมรับว่า ความบอบช้ำทางจิตใจของเธอยังคงอยู่อย่างถาวร
"ฉันรู้สึกว่า ฉันถูกพรากบางสิ่งบางอย่างไป และฉันลับมาเพื่อถ่ายทอดศิลปะของตัวเอง"
"ฉันได้อ่านบทและรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับฉากนู้ด แต่ก็ค้นพบว่า การเปิดเผยอย่างยินยอมและการถูกฝ่าฝืนใจนั้นมีความแตกต่างกัน นี่คือร่างกายและศิลปะในรูปแบบของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง และถ้าหากคุณไม่ชอบเห็นหน้าอก ก็ไม่ควรไปชม Red Sparrow"
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างล้มหลาม แต่การออกมาปกป้องตัวเองจากการล่วงละเมิดนี้ได้ได้กระตุ้นคนในสังคมให้ความสำคัญกับการรับฟังผู้ที่ถูกกระทำ และลดอคติจาก victim blaming
แต่ถึงเธอจะได้รับคำชื่นชมเรื่องการต่อสู้จนผู้กระทำผิดถูกลงโทษทัณฑ์ วันเวลาที่ผ่านไปหลายปี J. Law ก็ยอมรับว่า ความบอบช้ำทางจิตใจของเธอยังคงอยู่อย่างถาวร
Rihanna ถูกประจานซ้ำเติมหลังจากตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
Rihanna ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้หญิงแถวหน้าในวงการบันเทิงและธุรกิจ จากการสร้างอิทธิพลจากความสำเร็จในอาชีพศิลปินและแบรนด์ Fenty แต่ในเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ เธอก็ต้องพบกับการล่วงละเมิดมาแล้ว ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้น แทบลอยด์บางเจ้ากล่าวหาว่าเธอเป็นฝ่ายปล่อยภาพลับของฝ่ายชายเพื่อเป็นการแก้แค้น หลังจากที่เธอถูก Chris Brown ทำร้ายร่างกายจนกลายเป็นข่าวกระฉ่อนในปี 2009 Star magazine อ้างว่า เธอต้องการสร้างความอับอายกับ Chris ด้วยการแฉภาพเปลือยที่ดูน่าเกลียดของเขา ทั้งๆที่ปรากฏภาพนู้ดที่สร้างความเสียหายให้เธอเช่นเดียวกัน สื่อถึงขนาดฟันธงว่า ภาพติดเรทของ Riri และอดีตคนรักทำให้ Anna Wintour ตัดสินใจยกเลิกการถ่ายแบบที่ได้ทาบถาม Riri มาขึ้นหน้าปก เพราะหวั่นเกรงต่อกระแสด้านลบ (ในเวลาต่อมา Riri ได้ถ่ายแบบ Vogue Italia ฉบับกันยายน)
Riri ยอมรับในภายหลังว่า รูปที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์เป็นของจริง และมันคือเรื่องราวย่ำแย่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต
"ก่อนที่จะมีใครปล่อยภาพออกมา ฉันก็รู้สึกว่าถูกช่วงชิงความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ทำให้ฉันคิดว่า โอ้ ช่างดีซะเหลือเกิน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องชีวิตส่วนตัวฉันไปหมดทุกอย่าง มันน่าอับอายขายหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แม่ได้มาเห็นรุปนี้ มันถูกปล่อยออกมาก่อนวันแม่แค่สองวันค่ะ ฉันจิตตกมาก ฉันส่งดอกไม้ไปให้แม่และพยายามโทรหา แม่ส่งข้อความกลับมาให้ฉันรู้ว่า ในขณะที่ทั้งโลกกำลังต่อต้านฉัน แม่จะอยู่ข้างฉันเสมอ"
"ก่อนที่จะมีใครปล่อยภาพออกมา ฉันก็รู้สึกว่าถูกช่วงชิงความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ทำให้ฉันคิดว่า โอ้ ช่างดีซะเหลือเกิน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องชีวิตส่วนตัวฉันไปหมดทุกอย่าง มันน่าอับอายขายหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แม่ได้มาเห็นรุปนี้ มันถูกปล่อยออกมาก่อนวันแม่แค่สองวันค่ะ ฉันจิตตกมาก ฉันส่งดอกไม้ไปให้แม่และพยายามโทรหา แม่ส่งข้อความกลับมาให้ฉันรู้ว่า ในขณะที่ทั้งโลกกำลังต่อต้านฉัน แม่จะอยู่ข้างฉันเสมอ"
แต่ถึงแม้จะมีแทบลอยด์จะพยายามกล่าวโทษ Rihanna ว่าเป็นคนปล่อยภาพเปลือยส่วนตัว แต่ชาวเน็ทได้ตั้งข้อสงสัยไปที่ Chris Brown เนื่องจากในขณะนั้น พฤติกรรมใช้ความรุนแรงทำให้ภาพลักษณ์ของเขาติดลบและกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้คนมากมาย เขาส่งตัวแทนออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยปล่อยภาพลับของ Rihanna หรือภาพของใครคนอื่น
สองปีต่อมาหลังจากที่ถูกปล่อยภาพประจาน Riri ได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ถึงโมเมนท์ที่ได้ค้นพบเรื่องนี้กลางสนามบินว่า
"ฉันออกมาจากเครื่องบิน และได้รับ 27 ข้อความ เมื่อได้เห็นข้อความจาก Katy (Perry) ปรากฏขึ้นมาว่า ที่รักจ๊ะ เธอ OK รึเปล่า? ฉันก็รู้ทันทีเลยล่ะว่า นี่มันต้องเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ"
เมื่อเธอรับรู้สถานการณ์จากข้อความจากผู้จัดการส่วนตัว เธอแทบจะล้มทั้งยืน
"ฉันทรงตัวแทบไม่อยู่ ฉันพุ่งไปไปที่ห้องน้ำที่แรกที่มองเห็น นั่งบนชักโครกโดยที่ไม่ได้ปิดประตู คนอื่นเข้ามาที่ห้องน้ำก็จ้องมอง ฉันรู้สึกอับอายเหลือเกิน ไม่อยากจะออกไปจากสนามบินซะด้วยซ้ำ"
"ฉันปิดกั้นตัวเองจากทุกคน กับคนในครอบครัวตัวเองและผู้จัดการยังไม่ยอมพูดคุยด้วย ในวันต่อมาเป็นวันแม่ ฉันจึงส่งดอกไม้ไปให้แม่ และรอคอยให้แม่ส่งข้อความกลับ"
เวลาช่วยเยียวยาให้ Riri ก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ เธอยังสามารถมองเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ขัน ตอนที่มีชาวเน็ทส่งลิงค์มาถามเธอว่า คนในภาพเป็นใคร เธอก็ยังตอบออกไปอย่างไม่ถือสาว่า นี่คือตัวเธอในเวอร์ชั่นผอมเพรียว
แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่ปล่อยวางสิ่งที่สร้างความอับอายให้อย่างหนักได้เหมือน Rihanna
สองปีต่อมาหลังจากที่ถูกปล่อยภาพประจาน Riri ได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ถึงโมเมนท์ที่ได้ค้นพบเรื่องนี้กลางสนามบินว่า
"ฉันออกมาจากเครื่องบิน และได้รับ 27 ข้อความ เมื่อได้เห็นข้อความจาก Katy (Perry) ปรากฏขึ้นมาว่า ที่รักจ๊ะ เธอ OK รึเปล่า? ฉันก็รู้ทันทีเลยล่ะว่า นี่มันต้องเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ"
เมื่อเธอรับรู้สถานการณ์จากข้อความจากผู้จัดการส่วนตัว เธอแทบจะล้มทั้งยืน
"ฉันทรงตัวแทบไม่อยู่ ฉันพุ่งไปไปที่ห้องน้ำที่แรกที่มองเห็น นั่งบนชักโครกโดยที่ไม่ได้ปิดประตู คนอื่นเข้ามาที่ห้องน้ำก็จ้องมอง ฉันรู้สึกอับอายเหลือเกิน ไม่อยากจะออกไปจากสนามบินซะด้วยซ้ำ"
"ฉันปิดกั้นตัวเองจากทุกคน กับคนในครอบครัวตัวเองและผู้จัดการยังไม่ยอมพูดคุยด้วย ในวันต่อมาเป็นวันแม่ ฉันจึงส่งดอกไม้ไปให้แม่ และรอคอยให้แม่ส่งข้อความกลับ"
เวลาช่วยเยียวยาให้ Riri ก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ เธอยังสามารถมองเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ขัน ตอนที่มีชาวเน็ทส่งลิงค์มาถามเธอว่า คนในภาพเป็นใคร เธอก็ยังตอบออกไปอย่างไม่ถือสาว่า นี่คือตัวเธอในเวอร์ชั่นผอมเพรียว
แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่ปล่อยวางสิ่งที่สร้างความอับอายให้อย่างหนักได้เหมือน Rihanna
Emma Watson 'สิ่งที่แย่กว่าการถูกปล้นความส่วนตัวคือ การพูดทับถมไร้ความเห็นอกเห็นใจกัน"
นับตั้งแต่โด่งดังจากบทบาทนักแสดงเด็กในหนังแฟนตาซีโลกเวทมนตร์ Emma Watson ต้องเผชิญกับเรื่อง sexualisation ทั้งจากโลกออนไลน์และสื่อมานานหลายปี จากการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม UN เธอชี้ว่า สื่อได้นำเสนอเรื่องของเธอเกี่ยวกับทางเพศมาตั้งแต่อายุ 14 และข้อเท็จจริงที่ชวนปวดใจ เธอกลายเป็นแฟนตาซีของชายกลัดมันในโลกออนไลน์ทั้งๆที่ยังไม่โตเป็นสาว จากภาพเรทเอ็กซ์จากการตัดต่อใบหน้าของ Emma ที่ยังอยู่ในวัยมัธยมกับเรือนร่างของหญิงสาววัยผู้ใหญ่ หรือจะเป็นตอนที่เธอได้เล่าเหตุการณ์ว่า paparzzi นอนราบลงกับพื้นเพื่อจะหามุมถ่ายใต้กระโปรงของเธอในค่ำคืนที่ออกมาจากพาร์ตี้ย์ฉลองวันเกิดครบ 18 ปี และปรากฏภาพที่น่าอายออกสื่อในวันรุ่งขึ้น ซึ่งมันเกิดขึ้นจากความจงใจรอคอยให้เธออายุครบ 18 ปี ซึ่งหากสื่อเผยแพร่ภาพใต้กระโปรงของเธอก่อนที่จะอายุครบ 18 จะเป็นสิ่งที่ละเมิดกฎหมาย
ถูกประจานด้วยภาพใต้กระโปรงดูเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับอยู่แล้ว แต่ Emma ยังต้องเผชิญกับการคุกคาม เมื่อแฮคเกอร์จาก 4chan ประกาศขู่ขึ้น page ว่าจะปล่อยภาพนู้ดของเธอว่า "Emma เธอคือคนต่อไป"
ถูกประจานด้วยภาพใต้กระโปรงดูเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับอยู่แล้ว แต่ Emma ยังต้องเผชิญกับการคุกคาม เมื่อแฮคเกอร์จาก 4chan ประกาศขู่ขึ้น page ว่าจะปล่อยภาพนู้ดของเธอว่า "Emma เธอคือคนต่อไป"
มีชาวเน็ทเข้ามาเช็คใน page ดังกล่าวหลายสิบล้านครั้ง แม้จะมีการยืนยันตามมาว่า นี่คือเรื่องปั่นสร้างกระแส แต่หากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือเพศใดก็คงอกสั่นขวัญแขวน และอาจจะกดดันจนไม่กล้าออกจากบ้าน ซึ่งหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์นี้ขึ้นจากน้ำมือคนใจทรามที่พยายามคุกคาม Emma ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ เพราะหลังจากที่คนดังอย่าง Jennifer Lawrence, Kaley Cuoco, Kirsten Dunst และ Kate Upton กลายเป็นเหยื่อถูกแฮคภาพส่วนตัว Emma ได้ใช้ Twitter พากษ์วิจารณ์คนในสังคมที่พูดซ้ำเติมผู้หญิงที่ถูกขโมยภาพเปลือยมาปล่อยในโลกออนไลน์ ไม่นานต่อมา ก็มี user ใน 4Chan ขู่ว่าเธอจะเป็นรายต่อไป
Emma รอดพ้นจากการถูกปล่อยภาพนู้ดในปี 2014 ไปได้ แต่ผ่านไปอีก 3 ปี ก็มีคำยืนยันว่า เธอตกเป็นเหยื่อจริงๆ ตัวแทนของเธอออกมาชี้แจงว่า มีผู้ขโมยภาพที่ Emma กำลังลองชุดกับสไตลิสต์ และมีการเตรียมดำเนินการทางกฎหมาย นางเอกดังอีกคนที่เจอเล่นงานในช่วงเวลาเดียวกันคือ Amanda Seyfried ซึ่งแม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้ส่คำแถลงการณ์ตอบโต้การกระทำล่วงละเมิด แต่ก็พยายามจำกัดการส่งต่อภ่พด้วยการยื่นคำเตือนไปยังเว็บไซต์ที่แชร์ภาพโดยไม่ได้รับการยินยอมจากพวกเธอ แต่มีรายงานว่า เว็บดังได้หลบเลี่ยงการเอาผิดจากเหยื่อคนดังด้วยการตั้งบริษัทนอกอาณาเขต และหาวิธีปกปิดตัวตนของเจ้าของเว็บที่ไม่ได้ติดตามค้นหากันได้ง่ายๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Amanda ทำให้หลายคนรู้สึกกระทบกระเทือนใจตามไปด้วย เพราะในเวลานั้น เธอกำลังตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มที แต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์ที่จะได้ต้อนรับสมาชิกครอบครัวตัวน้อย เว็บไซต์ดังก็ประจานเธอด้วยภาพส่วนตัวกับอดีตชายคนรัก ถึงแม้ทนายของเธอจะส่ง notice ให้เว็บดังกล่าวลบภาพออกถาวร แต่ก็ยังมีอีกหลายเว็บที่นำเสนอคอนเทนท์ล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว แม้ว่าจะมีทีมกฎหมายที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ยากที่จะปกปิดภาพที่แพร่กระจายออกมาได้
มีผู้เรียกเหตุการณณืครั้งนี้ว่า The Fappening 2.0 หรือภาคต่อจากการแฮคภาพเซเลบในปี 2014 นอกจาก Emma และ Amanda ยังมีผู้ปล่อยภาพของ Kristen Stewart, Lindsey Vonn, Katherine McPhee และ Miley Cyrus ตามมา และมีการประกาศจากสองคนดังในกลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อว่า จะฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่ขโมยภาพส่วนตัวของพวกเธอไป แต่ยังไม่มีรายงานเรื่องการลงโทษจำคุกแฮคเกอร์เหมือนกับผู้ก่อเหตุปี 2014
มีผู้เรียกเหตุการณณืครั้งนี้ว่า The Fappening 2.0 หรือภาคต่อจากการแฮคภาพเซเลบในปี 2014 นอกจาก Emma และ Amanda ยังมีผู้ปล่อยภาพของ Kristen Stewart, Lindsey Vonn, Katherine McPhee และ Miley Cyrus ตามมา และมีการประกาศจากสองคนดังในกลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อว่า จะฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่ขโมยภาพส่วนตัวของพวกเธอไป แต่ยังไม่มีรายงานเรื่องการลงโทษจำคุกแฮคเกอร์เหมือนกับผู้ก่อเหตุปี 2014