รู้เท่าทันวงการ Gossip เพื่อเสพข่าวอย่างมีวิจารณญาณ

21 8
เสพข่าวบันเทิงสุดร้อนกันเช่นไรจึงจะไม่เป็นเหยื่อข่าวลวงและรู้เท่าทันสื่อจอมปั่น   มาติดตามกับเราได้เลยค่ะ


พิจารณากันตั้งแต่ชื่อของสื่อ


ลีลาการนำเสนอgossip ของสื่อแต่ล่ะเจ้าย่อมแตกต่างกัน แม้ว่าจะขึ้นชื่อเป็นแทบลอยด์ที่สร้างรายได้จากข่าวของคนวงการบันเทิงเช่นเดียวกัน แต่ระดับความน่าเชื่อถือหรือ 'ความร้ายกาจ' ไม่เท่ากันแน่นอน

คุณจะได้พบตั้งแต่สื่อที่วนเวียนปั่นข่าวล้อเป้า ในรอบปีอาจจะพาดหัวเรื่องนักร้องสาวชื่อดังตั้งท้องสามรอบก็ไม่เห็นว่าจะท้องที ไม่เท่านั้นยังเติมดราม่าว่าลูกในท้องของคนดังสาวสองคนมาจากพ่อคนเดียวกัน ฟังเหมือนกับพล็อทละคร! เรื่องราวจริงๆอาจจะมีอยู่ 2 ส่วนแต่แพร่ข่าวลือในด้านลบแบบไร้หลักฐานไปเกินสิบส่วน บางคร้งก็จับเอสคำวิจารณ์ของชาวเน็ทมาเป็นแหล่งข่าว อย่าง Nicole Kidman ที่มีรูปร่างผอมบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่หลังจากเจอ troll จิกกัดว่าผอมแห้งจนเห็นกระดูกโผล่เหมือนกำลังเจ็บป่วย National Enquirer ก็ถึงกับฟันธงว่าเธอหนักเพียง 47 kg (จากส่วนสูง 180 ซึ่งนางแบบที่มีรูปร่างเพรียวบางคล้ายกันจะมีน้ำหนักเกิน 55 KG) ในเวลาต่อมาก็ปรากฏภาพเธอลงเล่นน้ำที่ทะเลบ้านเกิด ไม่ได้น้ำหนักลดฮวบฮาบ ร่างกายมีกล้ามเนื้อจากวินัยการดูแลสุขภาพ ยี่สิบกว่าปีก่อนมีรูปร่างเป็นเช่นไร ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมนัก แต่กลับถูกปล่อยข่าวใส่ร้ายในรูปแบบ skinny-shaming



ในขณะที่ People magazine ถูกยกให้เป็นสื่อที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับคนดัง อาจจะไม่ถึงขนาดวางตัวเป็นกลางเต็มที่ แต่ก็มี connection แน่นปึ้กพอที่จะเข้าถึงทีม PR เพื่อข้อมูลเด็ด เห็นได้ชัดเจนคือ เมื่อคนดังต้องการเปิดเผยเรื่องราวสำคัญ เช่น ภาพในงานแต่งงาน ภาพลูกน้อยที่ลืมตาดูโลกได้ไม่นาน หรือให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่สังคมสนใจแบบ exclusive เมื่อไม่นานมานี้ superstar ที่เก็บตัวไม่ออกสื่อมานานหลายปี Britney ก็ได้ถ่ายแบบขึ้นหน้าปกและให้สัมภาษณ์กับ People น่าจะกล่าวได้ว่า นี่คือสื่อที่ผ่านการกรองข่าวมาประมาณหนึ่งและได้รับความไว้วางใจจากคนดังมากกว่าแทบลอยด์ที่เอาแต่เน้น clickbait กระตุ้นยอดขาย


สื่อที่มีภาพลักษณ์ที่คล้ายกันคือ E! และ Entertainment Tonight ที่โฟกัสที่คอนเทนท์ทาง TV และ internet   เห็นแค่พิธีกรที่มีชื่อเสียงก็พอจะมองออกว่า ต้องใช้เส้นสายกว้างขวางในวงการเพื่อหาช้อมูลข่าวเบื้องหลัง     หรือจะเป็นคู่แข่งทรงอิทธิลอย่าง Us Weekly  ที่ดูแนวทางการนำเสนอไม่ต่สงจาก Poeple มากนัก แต่มีจุดเด่นสำคัญคือการใช้ภาพเด็ดจาก paparazzi ความสนใจจากนักเสพ gossip   สื่อเจ้านี้นี่เองที่เผยแพร่ภาพ ทริปครอบครัวยืนยันความสัมพันธ์ของ Angelina Jolie และ Brad Pitt รวมถึงภาพ Kristen Stewart  นอกใจ Robert Pattinson ไปแอบแซ่บกับผู้กำกับหนุ่มใหญ่  

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ แทบลอยด์หลายเจ้าต่างประชันกันแฉภาพเด็ด ยิ่งดูฉาวเท่าไร ค่าตอบแทนที่มอบให้ paparazzi ก็ยิ่งสูง  เมื่อถูกแอบถ่ายเรื่องส่วนตัวมาเปิดโปงจนเสียชื่อ ก็คงไม่แปลกที่บรรดาคนดังจะขยาดกับสื่อช่างแฉ  ไม่ว่าจะเป็น TMZ, Page Six, Daily Mail และ The Sun  ซึ่งสื่อในกลุ่มนี้ไม่ได้เน้นเรื่องภาพแอบถ่ายคนดังเท่านั้น  แต่ปล่อยข่าวเก่งจนถูกฟ้องจนต้องไปเจรจาตกลงชดใช้เงินยอมความและประกาศขออภัยต่อผู้เสียหายมาแล้วหลายครั้ง

ไม่ได้มีแต่สื่อเงินทุนหนาเท่านั้นที่สามารถสั่นสะเทือนโลกออนไลน์ด้วยข่าวบันเทิงรสแซ่บ ยังมีแหล่งข่าวอิสระที่ไม่เปิดเผยตัวอย่าง DEUXMOI* ที่สามารถดึงดูดผู้ติดตามได้นับล้าน และบางครั้งก็เจาะข่าวเด็ดมาได้ก่อนสื่อดังซะอีก ยกตัวอย่างคู่รักอันลือลั่น Kylie & Timmy ที่หลาต่อหลายคนออกอาการไม่เชื่อถือ เห็นเป็น fake news ชวนขำมากกว่า ก็มี DEUXMOI เป็นผู้เปิดประเด็น อย่างไรก็ตาม account นี้ได้ประกาศชัดเจนว่า บางข้อมูลที่ปรากฏอยู่ไม่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายใด และตัวผู้เผยแพร่ข้อมูลเองก็ไม่ได้ออกตัวว่ามันคือเรื่องที่มาจากข้อเท็จจริง

คงไม่น่าแปลกใจที่ข่าวที่สร้างความฮือฮาที่ปรากฏ account นี้คละเคล้ามาด้วยเรื่องเท็จไร้หลักฐาน อย่างเมื่อเดือนก่อนที่ปล่อยข่าวว่า Taylor Swift เข้าพิธีวิวาห์กับอดีตคนรัก Joe Alwyn ราวๆปี 2020 หรือ 2021 ถึงขนาดยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องโกหกเกี่ยวกับ Taylor แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ตัวแทนของ superstar สาวฟาดกลับทันทีว่า เธอไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานใดๆทั้งนั้น และเรียกร้องให้ gossip page แห่งนี้แสดงความรับผิดชอบที่ได้สร้างความเจ็บปวดและความบอบช้ำทางจิตใจ เพียงไม่นานต่อมา DEUXMOI ก็ประกาศกึ่งขอโทษกึ่งประชด

*มีรายงานว่า ผู้ก่อตั้ง gossip page นี้คือสาวสังคม Meggie Kempner และ Melissa Lovallo หรือเปรียบได้ว่าเป็น Gossip Girl ในชีวิตจริงนั่นเอง พวกเค้าได้รับข้อมูลจากคนในแวดวงบันเทิง หรือแม้แต่ internet user ทั่วไป ครั้งหนึ่ง Adele เคยบ่นว่า เธออยากจะลองไปนัดบอดก็ทำไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะมีใครสักคนเห็นแล้วติดต่อไปหา DEUXMOI


คำศัพท์ที่สื่อบันเทิงใช้บ่อย แต่จริงๆแล้วมันหมายถึงอะไร

หลายครั้งหลายหนที่เราได้ยินคำถามว่า ข่าวคราวที่เป็น viral ในขณะนี้เป็นจริงแค่ไหน? เชื่อได้หรือไม่?   จึงต้องขอยึดมั่นกับหลักว่า หากสื่อยังใช้คำว่า   ได้รับข้อมูลมาจาก'คนวงใน' หรือ 'คนใกล้ตัวคนดัง'  มันก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มเรื่องที่ฟังหูไว้หูอยู่ดี  ตราบใดที่มันไม่ใช่ถ้อยแถลงที่เป็นทางการหรือมีหลักฐานยืนยันแน่ชัด   ไม่ว่าใครก็คงพูดได้กันทั้งนั้นว่า  "ได้ยินเขาเล่ามาแบบนี้!"  แล้วจะมีความจริงอยู่สักกี่ส่วน?  ใครล่ะที่จะรู้!

นักประชาสัมพันธ์จาก PR Firm ที่คร่ำหวอดในวงการได้เผยว่า บ่อยครั้ง การอ้างแหล่งข่าววงในของสื่อ ก็หมายถึงข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการและไม่ได้ระบุชื่อจากฝั่งทีมคนดังนั่นเอง อันดับแรกเมื่อเกิดกระแสข่าวลือที่ผู้คนสนอกสนใจ นักข่าวจะต้องยกโทรศัพท์ติดต่อไปยังตัวแทนของคนดัง หากอีกฝ่ายไม่อยากชี้แจงใดๆ ติดต่อให้มือหงิกก็ไม่มีใครตอบรับ แต่ถ้ามี connection ที่ดีต่อกัน ฝ่ายนักประชาสัมพันธ์จะยอมให้ข้อมูลจากการเจรจาอยู่เบื้องหลัง พวกเค้าจะกลายเป็นแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตน ซึ่งทั่ววงการบันเทิงก็ดูจะถนัดกันแบบนี้ โดยเฉพาะข่าวดราม่าแรงที่อาจจะไปกระทบใจใคร หรือเป็นความขัดแย้งระหว่างคู่รักหรือเพื่อนร่วมวงการ เพื่อจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ พวกคนดังจึงเลือกไม่ออกโรงชี้แจงด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีบอกผ่านคนกลาง แน่นอนว่า เนื้อหาข้อมูลจากวงในของใคร ก็ bias ไปทางคนนั้น อาจจะเป็นเรื่องจริง หรือใช้ศิลปะทางการสื่อสารเพื่อคลี่คลายดราม่าด้วยวิธีทาง PR โดยอาจจะมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงปะปนกันก็ได้
อนึ่ง  นักเสพ gossip ควรพึงระลึกว่า  นี่ไม่ใช่วงการโลกสวย  วัฒนธรรม tabloid ย่อมไม่ขาดการปล่อยข่าวเพื่อเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้ง ยิ่งทำให้ผู้คนถกเถียงกันได้มากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างกระแสให้ร้อนแรง  แหล่งข่าวที่พวกเค้าอ้างถึงมีตัวตนจริง หรือมาจากความไม่หวังดี  ถ้าอยากให้ทิศทางข่าวไปทางไหน  เพียงแค่บอกลอยๆไม่มีหลักฐานว่า  ได้ยินจากคนวงในเค้าเล่ามาก็ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

นึกถึงกรณีที่ผ่านไปไม่นาน เมื่อโลกออนไลน์เกิดแฮชแทก #ApologizeToAriana หลังจาก Page Six รายงานว่า ไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ว่า Ariana เป็นมือที่สามทำลายชีวิตครอบครัวของแฟนหนุ่มคนใหม่ Ethan Slater เพราะเขาแยกทางกับภรรยาไปก่อนที่จะเริ่มคบกับเธอ ทำให้่หลายคนประกาศเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ superstar สาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็น homewrecker



แต่ชาวเน็ทบางคนได้ชี้ถึงจุดชวนสะดุดใจว่า ก็สื่อเจ้านี้แหละที่กัด Ariana ไม่ปล่อยมาตั้งแต่แรก พวกเค้าอ้างแหล่งข่าวคนใกล้ตัวภรรยาของ Ethan โจมตีคู่นี้ต่างๆนานา ถึงขนาดติดต่อไปถึงฝ่ายภรรยาแล้วเผยแพร่คำพูดของเธอว่า "เรื่องราวจากฝั่ง Ariana นั้นไม่ได้มาในแนวสนับสนุนมิตรภาพเพื่อนหญิงเอาซะเลย" และ "ครอบครัวของฉันต้องเจอผลกระทบจนเสียหาย"

แต่หลังจาก Ariana ปล่อยผลงานเพลงฮิตมาไม่กี่วัน Page Six กลับเปลี่ยนท่าทีไปแบบคนละขั้ว จากที่รายงานข่าวชี้นำให้สังคมกล่าวหา Ariana มีพฤติกรรมฉกสามีคนอื่น แต่พอจะกลับคำ ก็ทำเหมือนกับว่าไม่ได้เป็นผู้ปล่อยข่าวฉาวโฉ่นี้ซะเอง นอกจากจะทำให้ social medua เดือดจัด ก็ยังมีผู้ทวงถามหาความน่าเชื่อถือจากสื่อเจ้านี้ บ้างก็กล่าวหาว่า ทำข้อตกลงเพื่อผลประโบชน์เพื่อแก้ข่าวให้กับศิลปินสาวชื่อดัง บ้างก็สันนิษฐานว่า อาจจะถูกขู่ฟ้องร้องจึงเปลี่ยนท่าที แต่พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนจริง อันไหนเสี้ยม?

(เรายังไม่เห็นท่าทีตอบรับจาก Page Six แต่พยายามหาบมความที่ชาวเน็ทเอามาแชร์เท่าไร ก็หาไม่เจอ ไม่ทราบว่าสื่อเจ้านี้ตั้งใจลบและแก้ไขข้อความหรืออย่างไร? เห็นแต่เพียง screen capture ที่ชาวเน็ทแชร์กันเท่านั้น เมื่อตามไปยัง link ที่อีกเพจชี้เป้าไว้ ก็ไม่พบข้อความดังกล่าวแล้ว)

ความหมายของมันก็ตรงตัวเป๊ะ การใส่ร้ายป้ายสีเพื่อบั่นทอนเชื่อเสียง ลดคะแนนความนิยมและความน่าเชื่อถือของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเรื่องราวที่พวกเราได้ยินกันมามากจากการติดตามข่าวการเมือง การปล่อยข่าวลือและสร้างข้อกล่าวหาต่างๆนั้นมาจากการวางแผนการอย่างเป็นระบบ ทุกวันนี้ วงการบันเทิงก็มีกลยุทธ์โจมตีคู่กรณีไม่แตกต่างกัน เราจะได้เห็นทั้งสื่อที่หมายหัวคนดังที่ขัดหูขัดตา ใช้อำนาจในการเสนอข่าวเพื่อโจมตีกันอย่างไม่ลดละ และยังมีคู่รักคนดังที่แตกหักกันแบบจบไม่สวย แล้วหันมาปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงกัน โดยเฉพาะคู่ที่มีข้อพิพาทในช่วงหย่าร้าง เพราะหากฉวยโอกาสสร้่งข้อได้เปรียบจากการลดความน่าเชื่อถือจอวอีกฝ่ายได้ มันอาจจะส่งผลดีต่อการเจรจาหาข้อตกลงการหย่า ทั้งยังได้รับความเห็นใจจากมหาชนอีก

แต่หากผู้คนจับทางได้ว่า นี่เป็นการจงใจ discredit กันแบบไม่แฟร์ ผลลัพธ์อาจจะเป็นไปในทางตรงข้ามกับที่หวังไว้ กรณีการหย่าร้างของ Joe Jonas และ Sophie Turner นั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสุดๆ


"เธอชอบ party เขาเป็นพ่อที่ชอบเลี้ยงลูกอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน" ข้อมูลที่สื่อได้รับมาจาก 'แหล่งข่าววงใน' ถึงสาเหตุที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของ Joe และ Sophie ไปไม่รอดนั้นกลายมาเป็นหอกทิ่มแทงฝ่ายชายแทบจะทันที ทั้งชาวเน็ท, นักประชาสัมพันธ์และสื่อบันเทิงต่างฟันธงว่า นี่คือความพยายามใช้ smear campaign เพื่อด้อยค่าเรื่องการทำหน้าที่ภรรยาและแม่ กระแสสังคมที่แห่สนับสนุน Sophie นั้นเรียกได้ว่าล้นหลาม หลายคนยังพยายามหาข้อมูลเพื่อรองรับข้อสันนิษฐานว่า การยัดเยียดภาพลักษณ์คุณแม่สาย party นั้นเป็นมาจากแนวคิดเหยียดเพศหญิง ที่ผ่านมานั้น ยามที่เธอได้เดินทางไปต่างรัฐเพื่อถ่ายทำหนังก็หอบหิ้วลูกๆไปด้วยเสมอ และฝ่ายสามีเองก็ยังเคยพูดออกสื่อว่า ภรรยาเป็นพวกอยู่ติดบ้าน ไม่ชอบออกไปไหนมาไหน ส่วนภาพการสังสรรค์สนุกสนานนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแม่คนแล้วจะต้องตัดขาดไปหมด เธอไม่ใช่สาวซิ่งเสเพล แต่เข้าร่วม party ปิดกล้องกับเพื่อนร่วมงานตามปกติ ในระหว่างการยื่นขอหย่าร้าง เธอกำลังทำงานถ่ายหนังอยู่ต่างประเทศ ฝ่ายพ่อจึงต้องรับหน้าที่ดูแลลูก ซึ่งมันไม่ได้แสดงถึงพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบ แต่สื่อถึงการบทบาทหน้าที่พ่อแม่ที่เท่าเทียมกัน หมดยุคที่ฝ่ายหญิงต้องหมกตัวในบ้านเพื่อเลี้ยงลูกผู้เดียวไปแล้ว

หนักยิ่งกว่านั้น  Joe กลับกลายเจอทัวร์ลงซะหนักซะเอง  ชาวเน็ทตามไปขุดคุ้ยเรื่องราว problematic ในอดีตมาเย้ยหยันกันสนุกปาก  แม้ว่าในที่สุด อดีตสามีภรรยาคนดังจะเจรจาหาข้อยุติได้ลงตัว แต่ภาพลักษณ์ของ Joe ก็มัวหมองลงไปยากจะแก้คืนได้

การปล่อยข่าวเม้ามอยแบบไม่ระบุชื่อถือเป็นเรื่องเย้ายวนต่อมเผือกจนทำให้หลายคนต้องอดหลับอดนอน ในวงการบันเทิงไทยนั้นเน้นอักษรย่อหรือคำใบ้ที่อาจจะทำให้รู้สึกค้างคาใจ แต่สำหรับ blind item จากฝั่ง Hollywood นั้น คำใบ้จะสื่อถึงเป้าหมายค่อนข้างชัด โดยเฉพาะข่าวจากเพจอิสระที่ฟังดูล้วงลึกจนเหลือเชื่อ นอกจากเพจ DEUX MOI ที่ก่อตั้งขึ้นมาในช่วงวิกฤติ COVID ระบาด เว็บไซต์ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง gossip แบบวงในคือ Crazy Days And Nights (หรือเรียกย่อๆว่าCDAN) ที่หลายคนมองว่า เป็นแหล่งแพร่ข่าวฉาวสุด exclusive หลายครั้งหลายคราที่เว็บนี้ตัดหน้าสื่อยักษ์ใหญ่ด้วยข้อมูลก็เด็ดซะจน Enty ผู้ก่อตั้ง CDAN ถูกขนานนามว่า King of the Blind Item เคยเจาะข่าว Harvey Weinstein, Kevin Spacey, และ Matt Lauer หลายปีก่อนจะเกิดความเคลื่อนไหว MeToo หลายครั้งหลายคราที่เว็บนี้ตัดหน้าสื่อยักษ์ใหญ่ด้วยข้อมูลก็เด็ดซะจน Enty ผู้ก่อตั้ง CDAN ถูกขนานนามว่า King of the Blind Item



ทั้งๆที่ไม่ได้ระบุชื่อคนดังชัดเจน แต่ผู้ติดตามกลับโอนเอียงเชื่อถือข่าว blind item มากกว่าพาดหัวข่าวบนแทบลอยด์หรือช่องบันเทิงซะอีก นั่นเป็นเพราะแนวทางของ Enty คือการเปิดโปงด้านมืด Hollywood ที่แตกต่างไปจากสื่อทั่วไป เพราะเขาไม่ต้องการจะสร้างข้อแลกเปลี่ยนใดๆกับคนดัง เรียกว่าแฉแบบไม่เกรงใจ connnection อาจจะดูเกินความคาดหมายของผู้ก่อตั้งเพจเม้ามอยดาราธรรมดาๆ มีรายงานว่า ตัวตนจริงของเขาคือ ทนายที่รับว่าความให้กับคนดัง เขาใช้ประโยชน์จากจุดนี้สร้างเครือข่ายเพื่อข้อมูลลับจากคนในวงการบันเทิง จนสามารถยืนหยัดเผยแพร่ข่าวมายาวเกินทศวรรษ แต่เพราะใช้การนำเสนอแบบไม่ระบุชื่อที่บางคนเข้าใจว่า คนดังที่ถูกพาดพิงฟ้องร้องไม่ได้ แต่ Enty และเพจ blind item อื่นๆก็เคยถูกฟ้องร้องหมิ่นประมาทจนต้องไปเจรจาชดเชยและขออภัยผู้เสียหายมาแล้ว

นั่นหมายความว่า แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งข่าว Blind Item ที่กระชากหน้ากากภัยสังคมและรายงาน gossip ที่มีมูลความจริงมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกสิ่งที่ถูกอ้างถึงนั้นจะเป็นเรื่องจริงแท้ไปหมด เพราะตัวผู้เขียนข่าวเองก็เป็นสื่อกลางที่ได้รับข้อมูลมาอีกต่อ ถึงจะกรองข่าวจากการขอคำยืนยันจากคนวงใน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แหล่งข่าวจะไร้ bias ยิ่งเป็น blind item ที่ตัวผู้อ่านเองยังไม่แน่ใจว่าระบุถึงใครก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนเช่นกัน

โดยเฉพาะการนำเสนอ blind item ทาง TikTok กำลังมาแรงสุดๆ ยิ่งต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้น ยุคนี้ ดูไม่ใช่เรื่องยากเย็นหากจะปล่อยข่าวแบบไร้ที่มาที่ไปจนกลายเป็น viral เมื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนให้เข้ามาวิจารณ์ใหญ่โต สื่อหลายเจ้าจึงพยายามเสาะหาต้นตอของข่าวแต่ก็ไม่พบหลักฐานอ้างอิง จะมีเพียงแต่ TikToker ที่สาธยายเรื่องราวเป็นฉากๆ บางครั้งถ้าเจาะลึกต่อไปก็จะพบหลักฐานมาหักล้างด้วยซ้ำว่า มันเข้าข่ายการมั่วข่าวเรียกยอดเข้าชม อ่านเรื่องราวที่ฟังกันต่อมาอีกทอด  ก็อนุมานกันเองว่า มันน่าจะจริงหรือไม่

อย่างกรณีของ Bella Hadid  ที่เจอ  TikToker อ่านข่าว  blind item  สิบประเด็น โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเล่นยา ลงแดง และเข้ารับบำบัดเพื่อรักษาอาการติดยา เล่นกับใคร ที่ไหน เวลาใด  ลามไปถึงกล่าวหาว่า แม่ของ Bella ใช้เธอแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอเพื่อปิดดีลธุรกิจ  เมื่อไม่สามารถอดทนยิ่งเฉยกับข้อกล่าวหาสุดซีเรียส เธอก็เข้ามาโต้ตอบเรียบๆเด็ดขาดว่า เรื่องที่ร่ายมาทั้งหมดนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นจริง  เมื่อถามถึงที่มาของ blind item  ก็ดูจะปล่อยเบลอ  และจะยิ่งกริบไปกว่านั้นเมื่อคนดังใช้กฎหมายเล่นงาน

ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด การยึดหลัก อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่ออย่างไร้เหตุผล  ที่เป็นส่วนหนึ่งของ 'กาลามสูตร' ก็ยัง work เสมอ  ในโลกที่เต็มไปด้วย  fake news และการใส่ร้ายป้ายสี ก่อนจะส่งข้อมูลและเชื่อโดยทันที  อย่าลืม fact-check  กันนะคะ


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE