Eminem VS Mariah มหากาพย์ Obsessed ที่หลายคนอาจลืมเลือน
candy 20 7นี่คือมหากาพย์ความขัดแย้งของศิลปินระดับใหญ่ยักษ์แห่งวงการดนตรีที่ยืดเยื้อยาวหลายปี ไม่เพียงแต่จะมีการสาดโคลนเข้าหากัน แต่ยังก่อให้เกิดผลิตผล diss track ที่กลายเป็นตำนาน วันเวลาที่ผ่านพ้นไปนานก็อาจจะทำให้หลายคนเริ่มลืมเลือนเรื่องนี้ไป หรือจะเป็น Gen หม่ที่โตไม่ทันรับรู้เรื่องดราม่า 'นายแร็พเพอร์ตัวร้าย ปะทะ ดิว่าสุดเชิด'
ต้นสายปลายเหตุของศึกนี้จะเป็นเช่นไร มาติดตามกับเรากันเลยค่ะ
ดราม่า Diss Track เดือดจากเพลง Hiss ผลงานดุดันของ Megan Thee Stallion ที่นำไปสู่ศึกแร็พเพอร์หญิงสั่นสะเทือนวงการ hip hop ได้ทำให้แฟนๆแบ่งฝักฝ่ายสนับสนุนศิลปินชวัญใจ แต่ในขณะที่ชาวเน็ทพุ่งความสนใจไปที่ความขัดแย้งของ Megan และ Nicki ก็มีเสียงทักท้วงว่า context ของเพลงนี้ไม่ได้สื่อถึงการโจมตี 'อริ' เพศเดียวกันเท่านั้น แม้จะมีประโยคพาดพิงจน Nicki เดือดจัดจนฟาดกลับทันที แต่ Megan เล็งเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ชายที่เคย diss เธอออกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม kiss and tell (กินในที่ลับ ไขในที่แจ้ง) หรือกล่าวหาเธอเพื่อดึงดูดความสนใจจากสังคม เห็นได้ชัดจากการประกาศศักดาในเพลงว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหน้าไหนที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเธอ ก็ไม่ทำให้เธอหวาดหวั่น กล้าเผชิญหน้าได้ทั้งนั้น หรือที่จริงแล้ว แต่เริ่มต้นเนื้อแร็พประโยคแรกๆ เพลง ผู้ฟังก็น่าจะเดาออกกันแล้ว เพราะ Megan ได้ใช้ reference ระดับตำนานเพื่ออธิบายสถานการณ์ได้ชัดเจน
"ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น Mariah Carey ที่ทำให้เจ้าพวกนี้มาตามคลั่งมากมายอะไรเบอร์นั้น"
ความหมกมุ่นคลั่งไคล้ที่ Megan ได้ยกมาเปรียบเทียบนั้นมาจากมหากาพย์ Obsessed ที่เกิดจากการเปิดศึกของสองศิลปินระดับ superstar Eminem Vs Mariah เมื่อฝ่ายชายออกอาการรับไม่ได้ที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับว่าเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์และแต่งเพลงแร็พโจมตีสักกี่ครั้ง Mimi ก็เชิดใส่แบบสวยๆ ไม่มีหลุดฟอร์ม ผ่านไปหลายปี เธอจึงลุกขึ้นมาสร้างผลงานเพลงตอบโต้โดยจำเป็นต้องเอ่ยชื่อหรือบอกใบ้แนวบุคคลปริศนา (ฺBlind Item) แต่หลายฝ่ายยกให้เป็นหนึ่งในการโต้กลับที่แสบสันที่สุดในประวัติศาสตร์ 'beefing (ขัดแย้ง)'ของศิลปินดนตรีแลยทีเดียว
จุดเริ่มต้นของศึก Obsessed
ความสำเร็จถล่มทลายที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Eminem ในช่วง Y2K ได้กลายเป็นแรงผลักดันให่เขาเอื้อมถึงสถานะแร็พเพอร์ mainstream ที่ร้อนแรงสุดๆ ซึ่งในขณะนั้น ยากนักที่จะได้เห็นศิลปินผิวขาวก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ แทบทุกความเคลื่อนไหวของเขามาพร้อมกับข่าวอื้อฉาวทั้งการระบายปัญหาความสัมพันธ์กับแม่และอดีตภรรยาผ่านเนื้อเพลงแร็พที่รุนแรงจนถึงขั้นถูกฟ้องร้อง การถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธและทำร้ายร่างกายชายที่กำลังจูบภรรยาตัวเอง ไม่ต้องเดาว่า สื่อย่อมกระหาย scandal จากชีวิตส่วนตัวของแร็พเพอร์ที่ขึ้นชื่อว่า กัดดะได้ทั้งวงการไม่เกรงกลัวหน้าไหน เมื่อกลับมาโสดแล้ว ใครกันที่จะคว้าใจเขาไปได้
ในช่วงเวลานั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้ที่จะตกเป็นข่าวพัวพันกับ Eminem จะเป็นดิว่าสาวพลังเสียงทรงพลัง Mariah Carey... ถึงตอนนี้ ก็ยังสร้างความฉงนใจว่า พวกเค้าเคยมีความสัมพันธ์กันจริงหรือ? เพราะไม่ว่าจะ search ยังไงก็ไม่เห็นภาพที่พวกเค้าอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวออกสื่อหรือถูก paparazzi ติดตามถ่ายมาได้
ในช่วงเวลานั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้ที่จะตกเป็นข่าวพัวพันกับ Eminem จะเป็นดิว่าสาวพลังเสียงทรงพลัง Mariah Carey... ถึงตอนนี้ ก็ยังสร้างความฉงนใจว่า พวกเค้าเคยมีความสัมพันธ์กันจริงหรือ? เพราะไม่ว่าจะ search ยังไงก็ไม่เห็นภาพที่พวกเค้าอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวออกสื่อหรือถูก paparazzi ติดตามถ่ายมาได้
ไล่ Timeline ความขัดแย้งยาวนาน
ปี 2001
ปี 2001
- อัลบั้มที่ขายดีระดับ platinum และ scandal ต่างๆทำให้ Eminem ฮ็อทสุดๆ เขาสร้าง surprise ด้วยการขึ้นเวทีแสดงเพลง Stan ร่วมกับ Elton John collaboration ของสองศิลปินที่แตกต่างกันสุดขั้วได้ดึงดูดความสนใจของ Mariah Carey เธอกำลังซุ่มทำอัลบั้ม Charmbracelet จึงติดต่อไปยังแร็พเพอร์หนุ่มเพื่อหารือเรื่อง project ในอนาคต แต่เธอคงไม่คาดคิดว่า แทนที่ไอเดียผนึกกำลังกันจะนำไปสู่เพลงฮิตติดชาร์ทที่เชื่อมสัมพันธภาพของศิลปินระดับท็อป มันกลับกลายเป็น diss tracks ตอบโต้กันไปมา
- Eminem เริ่มพูดถึง Mariah ในเพลง “Superman,” (ท่อน “What you trying be? My new wife? / What, you Mariah?) และ “When the Music Stop,” (ท่อน “What the f–k you take me for, a joke? You smoking crack? ‘Fore I do that, I’d beg Mariah to take me back.”) ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงความรู้สึกในแง่ดีนัก ต่อมา เขาจึง confirm กับนิตยสาร Rolling Stone ว่า เดทกันจริงๆ แต่ไม่อินกับนิสัยของ Mariah ความสัมพันธ์จึงจบลง
- Mariah ให้สัมภาษณ์ในรายการของ Larry King เพื่อชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ลับๆกับแร็พเพอร์รุ่นน้องว่า เธอแค่นัดพบกับเขาบ้าง โทรศัพท์หากันนิดหน่อย น่าจะเห็นหน้าเห็นตากันแค่สี่ครั้ง และเธอไม่ถือว่าการกระทำเรื่องเหล่านี้จะเป็นการเดทกัน หรือจะเป็นสัมภาษณ์ครั้งอื่นๆที่เธอยืนยันชัดเจนว่า จะให้ร่ายชื่อผู้ชายที่เคยคบหากันมา เธอย่อมทำได้ แต่ Eminem ไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน
- เพลง “Clown” ของ Mariah พูดถึงใครบางคนที่ทึกทักไปเองว่าได้คบหาเป็นคนรักของเธอ เพราะคนๆนั้นย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่า แม้แต่แตะเนื้อต้องตัวกันสักนิดก็ยังไม่เคย รวมถึงข่าวลือเรื่องเธอโหยหาเขามากจนต้องบินด้วย private jet เพื่อไปซบอกถึงที่บ้าน เธอก็เคลียร์ว่า การเดินทางด้วยเครื่อง G5 แค่ 25 นาทีไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอแม้แต่น้อย มันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตทั่วไปของเธออยู่แล้ว
2003
2005
- Mariah ยังล้อเลียน Eminem บนเวทีคอนเสิร์ต ด้วยการแสดงหุ่นเชิด(มนุษย์) สวมวิกบลอนด์และใส่เสื้อกีฬาทีม Detroit Pistons ประกอบการขับร้องเพลง Clown (Eminem เติบโตขึ้นมาใน Detroit ก่อนที่จะโด่งดังเป็นพลุแตก ถึงปัจจุบันก็ยังผูกพันกับเมืองนี้) ซึ่งมันไม่ได้ต่างจากการประกาศศักดาอย่างมาดมั่นว่า เธอมีสถานะที่เหนือชั้นกว่าและมองเขาเป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น
2005
- Eminem อ้างว่า เขาครอบครองบันทึกฝากข้อความที่ Mariah โทรมาออดอ้อนด้วยความเว้าวอน และยังเปิดเทปนั้นกลางคอนเสิร์ต แต่ตัวแทนของ Marriah ยืนกรานปฏิเสธว่า เสียงผู้หญิงในเทปไม่ใช่ดิว่าสาวแต่อย่างใด
2006
- Eminem ยังพูดถึง Mariah มาตลอด ทั้งในเพลงแร็พที่กล่าวหาว่า เธอเป็นจอมหลอกลวง และให้สัมภาษณ์ว่า พวกเค้าเดทกันเป็นเวลา 6-7 เดือน แต่นิสัยใจคอแตกต่างกันเกินไป คงเป็นเพราะว่า เธอเป็นดิว่าผู้เลิศเลอ ส่วนเขาค่อนข้างจะติดดินกว่า
- เขายังพูดถึงประสบการณ์ sex กับ Mariah ในเพลง "Jimmy Crack Corn'" อย่างโจ๋งครึ่ม
2009
- จากการเปิดศึกกับ Mariah Eminem ได้พุ่งเป้าหมายไปยัง Nick Cannon สามีของเธอเพิ่มขึ้นไปด้วย เพลงะ “Bagpipes From Baghdad” มีท่อนแร็พระบายความในใจว่า เหตุใดพวกเขาจึงแยกทางกัน และเย้ยเธอเรื่องการเลิกรากับอดีตแฟนหนุ่มละตินสุดฮ็อต แต่กลับสั่งให้ Nick ยกเธอกลับคืนมา ตามมาด้วยการเหยียดหยามพิธีกรหนุ่มว่า ขอให้โชคดีที่ได้มีความรักกับนังคนสำส่อน!
- เมื่อภรรยาถูกดูแคลนอย่างรุนแรง Nick ก็ลุกขึ้นมาโต้กลับด้วยข้อกล่าวหาหนักว่า Eminem เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ และแต่ง diss tarck ฟาดฟันกันอีกหลายปี
เพลง Obsessed
- ดราม่าใส่กันเกือบสิบปี Mariah ตัดสินใจส่ง diss track อันแสนลือลั่นตอบโต้ Eminem อย่างเจ็บแสบ นอกจากเธอจะจ้างผู้กำกับ MV ชื่อดัง ก็ยังทุ่มกับการเปลี่ยนลุคให้ดูเหมือนแร็พเพอร์ผิวขาวที่คอย stalk เธอไปทุกหนทุกแห่ง เนื้อเพลงไม่ได้เอ่ยชื่อ Eminem แม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่า เธอกำลังเย้ยหยันใคร ประโยค "I was like, "Why are you so obsessed with me?" ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Regina George แห่ง Mean Girls ได้สื่อถึงความสวยเริ่ดเชิดหยิ่งอันเป็นแบรนด์ชองเธออย่างแจ่มแจ้ง มันยังเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จจนขึ้นไปสู่อันดับ 7 บนชาร์ท Billboard Hot 100 ขายไปได้เกินสามล้านหน่วยที่ USA เสียงวิจารณ์ก็ดีงามถึงขั้นที่มีคนยกให้เป็นหนึ่งใน diss track ที่ชวนสะใจที่สุด!
- เจอ diss track สุดปังจาก Mariah เข้าไป มีหรือที่ Eninem จะไม่หัวร้อน? เขาส่งเพลง “The Warning” แฉ Mariah อย่างดุเดือด ทั้งบอกว่าเธอเป็นโรคติดสุราและเป็นโรคจิต บรรยายถึงท่าทางการ มี sex ด้วยถ้อยคำหยาบคายติดเรท ขน B word C word มาครบ แน่นอนว่าเขายังกราดไปยัง Nick Cannon รุนแรงไม่แพ้กัน แต่ถึงเสียงตอบรับจากผู้ฟังไม่ได้ร้อนแรงมากหรือถึงขนาดเป็นที่จดจำ เพราะนี่อาจจะเป็นวิธีโจมตีที่ไม่ได้ดูแปลกใหม่นักหรือกระแทกอารมณ์นัก ก่อนหน้านี้เขาก็พยายามประจานเธอมากนักต่อนักแล้ว
2010
ความสำเร็จต่อเนื่องยาวนานข้ามทศวรรษทำให้ทั้ง Mariah และ Eminem ได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานแห่งวงการดนตรี ความขัดแย้งที่ยังสร้างความค้างคาใจให้กับแฟนๆนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออาชีพของทั้งคู่ (หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของ Cancel culture สิ่งที่ตามมาอาจจะแตกต่างไปบ้าง) แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะเคยมีความสัมพันธ์กันจริงๆหรือไม่ พฤติกรรมแบบ Kiss and tell ข้อกล่าวหาเรื่องเหยียดเพศหญิงนั้นทำให้หลายคนยังมอง Eminem ด้วยอคติ ในขณะที่แฟนๆของเขาได้ปกป้องว่า นี่คือเรื่องธรรมดาสุดๆในวัฒนธรรม Hip hop ไม่ว่าคู่อริจะเป็นเพศใด ก็ใช้ดนตรีฟาดฟันใส่กันแบบไร้ลิมิต
- Eminem อาจจะเริ่มเบื่อหน่ายกับสงครามน้ำลายอันยาวนาน เขาประกาศว่าไม่อยากจะพูดถึง Mariah อีกต่อไป เพราะได้พูดความในใจไปหมดแล้ว
- ทิ้่งยาวมาอีกหลายปีจนใครๆต่างก็คิดว่า ทั้งสองฝ่ายจะ move on จากความขัดแย้งได้อย่างสิ้นเชิง แต่ Eminem กลับดึงชื่อ Mariah มาเหยียบย่ำในผลงานเพลงอีกครั้ง เขาแร็พเปรียบเปรยว่า Mariah เฉือนเครื่องเพศ Nick จนหมดเชิงชาย ทั้งๆที่เขาเคยเตือนมาก่อนว่า เธอเป็นพวกโรคจิต
- การแสดงออกที่ดูไม่ปล่อยวางนี้เองที่ทำให้ทั้งสื่อและแฟนๆของ Mariah ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาหมกมุ่นในตัวเธอตรงตามเนื้อหาของเพลง Obsessed จริงๆ
ความสำเร็จต่อเนื่องยาวนานข้ามทศวรรษทำให้ทั้ง Mariah และ Eminem ได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานแห่งวงการดนตรี ความขัดแย้งที่ยังสร้างความค้างคาใจให้กับแฟนๆนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออาชีพของทั้งคู่ (หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของ Cancel culture สิ่งที่ตามมาอาจจะแตกต่างไปบ้าง) แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะเคยมีความสัมพันธ์กันจริงๆหรือไม่ พฤติกรรมแบบ Kiss and tell ข้อกล่าวหาเรื่องเหยียดเพศหญิงนั้นทำให้หลายคนยังมอง Eminem ด้วยอคติ ในขณะที่แฟนๆของเขาได้ปกป้องว่า นี่คือเรื่องธรรมดาสุดๆในวัฒนธรรม Hip hop ไม่ว่าคู่อริจะเป็นเพศใด ก็ใช้ดนตรีฟาดฟันใส่กันแบบไร้ลิมิต
ที่ผ่านมานั้น ยังมีแร็พเพอร์ดังคนอื่นๆที่ใช้วิธีเรียกความสนใจจากสังคมแบบเดียวกัน หรือคงพูดได้ว่า หากใครต้องการพื้นที่ประชาสัมพันธ์ตัวเองและผลงานเพลง เพียงแค่อวดอ้างว่าเคยมีความสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงที่มีชื่อเสียงก็ได้พื้นที่สื่อในชั่วขณะ มันยังเป็นวิธีแก้แค้นเพื่อทำลายชื่อเสียงกัน เมื่อศิลปินรู้สึกไม่ชอบใจใคร ก็เล่นงานอีกฝ่ายด้วยการแฉเรื่องงกิจกรรมบนเตียง ราวกับว่ามันเป็นพฤติกรรมปกติไปแล้ว
ไม่น่าสงสัยว่า หลายคนจึงยกให้ Mariah เป็นไอดอลในการต่อสู้กับ toxic masculinity ในอุตสาหกรรมดนตรี จากการวางตัวฝ่ายคุมเกม ปล่อยให้อีกฝ่ายแสดงพฤติกรรมแบบ verbal abusive เพื่อให้สาธารณชนตัดสินใจได้เองว่า ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายที่ขาดวุฒิภาวะและคุกคามกันไม่จบไม่สิ้น เธอไม่ยอมนิ่งเฉยให้เหยียดหยามกันและวางแผนโต้กลับจนสามารถสร้าง iconic moment สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับสภาวะกดดันที่ถูกประจานเรื่องส่วนตัวต่อหน้าผู้คน เพลง Obsessed อาจจะจุดประกายให้สร้างพลังความเข้มแข็งเพื่อก้าวข้ามความอับอาย
- Future ที่เลิกรากับ Ciara มาหลายปี แต่ก็ใช้เพลงแร็พโจมตีเธอว่า แอบมีอะไรกับเขาทั้งๆที่มีผู้ชายคนใหม่ไปแล้ว และยังแฉว่า ตอนที่ยังคบกัน เธอยังขอให้เขาร่วมสวดมนต์ภาวนาหลังเสร็จกิจ เขายังโจมตีสามีใหม่ของเธอผ่านเพลงแร็พทั้งแบบบอกใบ้ให้เดาและระบุชื่อตรงๆ
- The Game สร้าง headline ด้วยเนื้อแร็พว่า เขาบีบให้ Kim K กลืนกินน้ำรักจนเธอสำลัก ก่อนหน้านี้ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เคยมี sex กับสามพี่น้อง Kardashian มาแล้ว
- DaBaby แร็พประกาศให้โลกรับรู้ว่า เขามีอะไรกับ Megan Thee Stallion ก่อนที่เธอจะถูกยิงที่เท้าเพียงไม่กี่วัน คงไม่ต้องเดาก็รู้ชัดว่า เขาคือหนึ่งในกลุ่มอริที่เธอฟาดฟันหนักหน่วงใน diss track ล่าสุดที่สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ และอธิบายเหตุผลที่เธอยก Mariah Carey มาเป็น reference ในช่วงต้นเพลง
ไม่น่าสงสัยว่า หลายคนจึงยกให้ Mariah เป็นไอดอลในการต่อสู้กับ toxic masculinity ในอุตสาหกรรมดนตรี จากการวางตัวฝ่ายคุมเกม ปล่อยให้อีกฝ่ายแสดงพฤติกรรมแบบ verbal abusive เพื่อให้สาธารณชนตัดสินใจได้เองว่า ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายที่ขาดวุฒิภาวะและคุกคามกันไม่จบไม่สิ้น เธอไม่ยอมนิ่งเฉยให้เหยียดหยามกันและวางแผนโต้กลับจนสามารถสร้าง iconic moment สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับสภาวะกดดันที่ถูกประจานเรื่องส่วนตัวต่อหน้าผู้คน เพลง Obsessed อาจจะจุดประกายให้สร้างพลังความเข้มแข็งเพื่อก้าวข้ามความอับอาย
ผ่านมาอีกหลายปี คล้ายกับว่า ศึกนี้จะสงบลงได้จริงๆ แม้ว่า ปี 2020 Eminem จะส่งเพลง "These Demons" ที่บอกใบ้ถึง Mariah แบบเบาๆ (ด้วยการถามหาคำคล้องจองกับคำว่า Pariah) และในปี 2021 Mariah ได้ลุกมาแต่ง Cosplay ประกอบเพลง Obsessed อีกครั้ง และบอกแฟนๆทาง TikTok ว่า "แค่ขำๆ" แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับจากฝ่ายแร็พเพอร์คู่อริ ใครต่อใครต่างก็เห็นด้วยว่า เรื่องราวผ่านมนานนมขนาดนี้ ก็สมควรที่จะ move on ได้อย่างถาวร ปล่อยให้มันเป็นตำนานแห่ง beef ระดับ superstar ไว้คอยหวนรำลึกก็พอแล้ว