อนาคตของ NewJeans จะเผชิญกับวิบากกรรมที่ไอดอลรุ่นพี่เคยฝ่าฟันหรือไม่?

12 5
การประกาศแยกทางกับต้นสังกัดของห้าสาว NewJeans อาจจะไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะมีสัญญาณค่อนข้างชัดจากไอดอลชื่อดังมาก่อนหน้านี้ แต่พวกเธอจะเผชิญกับความกดดันหนักหนาเพียงใดในอนาคต? 

กรณีตัวอย่างอิทธิพลของค่ายยักษ์ใหญ่ที่บีบคั้นไอดอลที่ก้าวออกมาต่อต้าน
แจจุงแห่ง JX (เดิมคือ JYJ) ถูกยกให้เป็นตำนานไอดอลที่ครองใจแฟนๆมายาวนาน ทั้งยังติดอยู่ในกลุ่มศิลปิน K-Pop ที่ร่ำรวยที่สุด (สื่อรายงานว่า เขามีทรัพย์สินสูงกว่า G-Dragon และ Rain ) แต่หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า หากแจจุงและเพื่อนร่วมวงไม่ต้องเผชิญอิทธิพลมืดคอยตามขัดขวางไม่ให้สร้างความสำเร็จในเกาหลีใต้ได้อย่างเต็มที่ เขาย่อมสร้างผลงานอันน่าจดจำได้มากมายกว่านี้และก้าวขึ้นแท่นศิลปินชั้นนำแห่งวงการ K-Pop ได้อย่างภาคภูมิ  มันช่างเป็นเรื่องที่เสียดแทงใจแฟนๆเมื่อได้รับรู้ว่า แจจุงไม่ได้ปรากฏตัวในรายการดนตรีที่เกาหลีใต้เลยจนกระทั่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กว่าจะได้กลับมาแสดงในรายการ Inkigayo ก็ผ่านไปนานถึง 16 ปี! แม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสในการแสดงซีรีส์อยู่บ้าง แต่เป็นเวลาหลายปีที่ห่างหายไปจากโพรโมทตัวเองในรายการวาไรตี้หมือนกับเหล่าศิลปินร่วมวงการ

แฟนๆมั่นใจว่า นี่คือการจองเวรไม่ยอมปล่อยวางของอดีตต้นสังกัด ทั้งๆที่บรรดาสถานีโทรทัศน์รู้ซึ้งว่า ความโด่งดังของแจจุงจะเป็นเครื่องมือปั๊มเรตติ้งให้พุ่งทะยาน แต่ด้วย connection ที่ต้องพึ่งพากันกับค่ายยักษ์ใหญ่ ไอดอลที่ถูกหมายหัวจึงถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมรายการดนตรีหรือรายการวาไรตี้ดัง แม้จะไม่ได้มีการยอมรับอย่างตรงไปตรงมา แต่การกระทำได้พิสูจน์ชัดเจนเกินพอ



แม้ว่าผลงานโซโล่ของแจจุงจะไปได้ดีจากการสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นของแฟนๆ แต่หากเขาได้รับโอกาสโพรโมทผลงานอย่างเต็มที่ทางรายการดนตรียอดนิยมเหมือนกับไอดอลคนอื่นๆ  เส้นทางศิลปินของเขาย่อมรุ่งโรจน์กว่านี้หลายเท่า กลับกลายเป็นว่า แจจุงสามารถกอบโกยความสำเร็จในญี่ปุ่นพิสูจน์จากยอดขายและทัวร์คอนเสิร์ตที่มีผู้ชมจองตั๋วเข้ามามากมายกว่าในประเทศบ้านเกิด กว่าเขาจะ comeback แบบไม่ต้องถูกปิดกั้นก็ก้าวสู่วัยปลายสามสิบและก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหม่นั่นคือ การก่อตั้งเอเจนซี่ของเขาเอง  ไม่น่าแปลกใจว่า แฟนๆจะรู้สึกเสียดายวันเวลาที่หายไปและเจ็บปวดแทนไอดอลผู้มากคสามสามารถที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพราะพยายามปลดแอกตัวเองจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม



จุนซูเคยระบายความรู้สึกท้อแท้ที่บีบคั้นต่อหน้าแฟนๆที่เข้ามาชมคอนเสิร์ตของเขาว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังเป็นเซเลบอยู่มั้ย เพราะถึงจะส่งอัลบั้มเพลงออกมา ก็ไม่สามารถโชว์การขับร้องในรายการ TVได้ ทำให้สงสัยว่า เขาควรจะทำงานนี้ต่อไปได้จริงหรือ เพราะถึงจะชนะคดีฟ้องร้องต้นสังกัดเก่า แต่ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะถูกกีดกันจากการแสดงในรายการดนตรีเนิ่นนานขนาดนี้ ถึงขนาดที่มีคนเข้าใจผิดว่า เขาเป็นฝ่ายไม่ต้องการเข้าร่วมรายการ TV เอง แต่ความจริงคือ สถานการณ์ของเขาต้องรับมือนั้นไม่ได้มีตัวเลือกให้ไปร่วมรายการใดได้เลย เขาอยากได้รับโอกาสในการร้องเพลงหน้าจอ TVแต่มันยากลำบากจนถึงกับหมดความมั่นใจ และคอยอิจฉาทุกคนที่ได้ออกรายการ TV

ห่างหายจาก TV ไปถึงสิบปีกว่าจุนซูจะได้รับเชิญให้เปิดบ้านให้รายการ House of Sharing มาเยี่ยมชม แม้ว่างานพวกนี้จะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนบันเทิง แต่มันกลับเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเขา แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอีกนาน จนได้หวนคืนสู่สาไรตี้โชว์ The Return of Supermanในปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากสถานีโทรทัศน์ชื่อดังปลดล็อคแจจุง

แนวคิดแบบ 'ติ่งค่าย' ที่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนมากกว่าศิลปิน K-Pop

บางคนอาจจะรู้สึกข้องใจว่า เหตุใดสังคมจึงปล่อยผ่านเรื่องราวเช่นนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่สร้างความเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ได้มีแต่อดีตสมาชิก TVXQ เท่านั้นที่ต้องฟันฝ่ากับแรงกดดันจากอำนาจที่มองไม่เห็น (แต่ก็สัมผัสได้แบบรู้ๆกัน) ยังมีของกรณี Jessica Jung ที่ก้าวเดินจากต้นสังกัดแบบแบบไม่สวย และต้องต้องเผชิญกบเรื่อง blacklist คล้ายกัน เธอมีงานรายการวาไรตี้และเรียลิตี้กับน้องสาวในช่องเคเบิลประปราย เมื่อร่วมงานกับต้นสังกัดใหม่ก็ยากจะโพรโมทในรายการ TV ได้และเคยตอบคำถามแฟนๆอย่างเศร้าสร้อยว่า เธอปรารถนาจะหวนกลับไปแสดงในรายการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง  เธอเลือกไม่กล่าวหาใครตรงๆ แต่ได้ทิ้งคำพูดละไว้ในฐานที่เข้าใจถึงสาเหตุที่เธอทำเรื่องนี้ไม่ได้

แม้ศิลปินที่มีเรื่องขัดแย้งกับต้นสังกัดจะไม่ได้ก่อเรื่องราวผิดศีลธรรมจรรยา แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้ปรากฏตัวในสื่อโทรทัศน์จนต้องเสาะหาลู่ทางอื่นๆจากนอกประเทศเพื่อก้าวเดินต่อไปในฐานะศิลปินได้ แม้บรรดา K-Netizens จะหยิบยกประเด็นนี้มาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่า ผู้ต้องสงสัยที่อยู่เบื้องหลังการ blacklist กลับลอยตัวจากดราม่าไปได้ ถึงผู้คนในสังคมจะยอมรับว่า นี่คือการใช้อำนาจคุกคามที่ขาดศีลธรรม แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อยับยั้งเรื่องเหล่านี้ จากมุมมองว่า นี่เป็นผลกระทบจากการตัดสินใจต่อสู้กับค่ายเพลงที่ไอดอลต้องเตรียมใจยอมรับไว้อยู่แล้ว

หนึ่งในสิ่งที่น่าจะแยกวัฒนธรรม fandom ในระดับ global และฝั่งเกาหลีออกจากกันได้ชัดเจน คือความยึดมั่นสนับสนุนค่ายดนตรี สำหรับแฟนเพลงตะวันตก ดูเป็นเรื่องแปลกมากกว่าหากใครสักคนจะประกาศว่า เป็นติ่งค่าย Universal หรือ Sony หรืออวยยศผู้บริหารค่ายว่าเป็นเจ้าของเครดิตในความสำเร็จของศิลปินดัง จากมุมมองว่า นี่คือความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เกิดความขัดแย้งได้เป็นเรื่องปกติ หากเจรจาหาข้อตกลงกันไม่ได้ก็ต้องต่อสู้เพื่อหาบทสรุปในศาล หากพวกศิลปินยังนำเสนอผลงานคุณภาพโดนใจแฟนๆต่อไป เรื่องความขัดแย้งกับต้นสังกัดก็จะไม่กระทบต่อความนิยมหรือต้องถูกบีบคั้นไม่ให้ออกสื่อโทรทัศน์แต่อย่างใด

  • ศิลปินระดับตำนานอย่าง Prince เคยฟ้อง Warner Bros เพื่อเรียกร้องอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานที่เขาต้องการและการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ master tapes ซึ่งเขาเคยประท้วงด้วยการเขียนคำว่า  Slave บนหน้าด้วยเอง 
  • ไม่กี่ปีมานี้ Taylor แยกตัวจาก Big Machine Records  ค่ายเพลงที่ใครๆต่างมองว่าเป็นผู้ปลุกปั้นเธอจนโด่งดังเป็นซุปตาร์ แต่ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายก็พังทลายไปจากเรื่องเจ้าของลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียงที่เป็นตัวต้นฉบับ master เช่นเดียวกัน เธอทั้งเคลื่อนไหวต่อต้านเจ้าของ master คนใหม่และค่ายเก่า และแก้เผ็ดด้วยส่งผลงานบันทึกเสียงแบบใหม่ออกมากอบโกยยอดขาย และได้รับการสนับสนุนจาก FC อย่างถล่มทลาย  

พวกเราคงจินตนาการถึงวันสื่อโทรทัศน์อเมริกันร่วมมือกัน blacklist ศิลปินดังเพราะพวกเค้าเกิดความขัดแย้งกับค่ายเพลงกันไม่ออก แต่ในสังคมเกาหลีใต้ หากศิลปินพยายามฉีกสัญญาเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการควบคุมของนายทุนทรงอิทธิพล จะมีกลุ่มแฟนที่มี loyalty ต่อค่ายอย่างเหนียวแน่นตามโจมตี บางคนเคยติดตามผลงานศิลปินกันอยู่ดีๆ แต่เมื่อแตกหักกับค่ายขึ้นมา ความชื่นชมกลับหดหาย บ้างก็ปรามาสว่า การแยกตัวออกจากค่ายก็ไม่ต่างจากทำลายอาชีพของตัวเอง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับรุ่นพี่ไอดอล Gen 2 ก็ทำให้ชาวเน็ทรู้สึกไม่แน่ใจว่า วง NewJeans ที่สมาชิกยังเป็นเด็กสาวอายุน้อยจะต้องเจอกับวิบากกรรมเดียวกันหรือไม่? เนื่องจากความขัดแย้งร้าวลึกกับ Ador ได้สร้างปฏิกิริยาแตกแยกเป็นสองฝั่งในสังคม ทั้งกลุ่มคนที่สนับสนุน NewJeans ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันลำบากบากเย็น และพร้อมจะติดตามผลงานกันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และกลุ่มที่เชื่อว่าพวกเธอหลงผิดที่คิดลุกขึ้นมาต่อกรกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ทั้งยังปรามาสว่า เส้นทางศิลปินอันรุ่งโรจน์ของพวกเธอกำลังเข้าสู่ทางตัน แม้ว่าจะก้าวสู่ความโด่งดังในระดับปราฏการณ์ เนื่องจากสังคมเกาหลียังคาดหวังให้ไอดอลก้มหน้าก้มตาอดทนต่ออุปสรรค ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสเพียงใด


Alex Reid ศิลปินชาวอเมริกันที่คว้าโอกาสเข้าร่วมเกิร์ลกรุ๊ป BP Rania เมื่อหลายปีก่อน ได้ยืนยันถึงคติไอดอลหรือ Idol Mantra 'Never Complain' ไว้ว่า การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะผู้คนต่างยึดมั่นว่า ไอดอลไม่ควรเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิของตัวเอง เพียงแค่เธอร้องขออาหารหลังจากทำงานอย่างต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงกลับถูกกล่าวหาว่ามีทัศนคติแบบดิว่าจอมบงการ ซึ่งเธอชี้ว่า มันเป็นวิธีการล้างสมองให้ไอดอลจำยอมกับการกดขี่

กลับกลายเป็นว่า ภาพของไอดอลที่ฝืนความเจ็บป่วยขึ้นแสดงบนเวทีถึงขนาดหมดสติหรือเข้าโรงพยาบาลได้เรียกเสียงชื่นชมถึงวินัยความทุ่มเททำงานและความใส่ใจในความรู้สึกของแฟนๆ หรือหากพวกเค้าโอดครวญถึงความขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของต้นสังกัด อาจจะถูกตอกกลับว่า เป็นพวกไม่รู้บุญคุณ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่มอบโอกาสพลิกชีวิตให้กลายเป็นคนดัง




ถึงแม้ว่าแฟนๆจะร่วมกันเรียกร้องให้ต้นสังกัดให้ความสำคัญต่อสวัสดิภาพและให้เกียรติศิลปินมากยิ่งขึ้น แต่มักจะมีชาวเน็ทที่สวนกลับว่า พวก FC คลั่งไคล้ไอดอลจนแตะต้องไม่ได้และดูเรื่องมากน่าหมั่นไส้  ถึงจะรับรู้ว่า ไอดอลหลายคนประสบกับการปฏิบัติอย่างย่ำแย่จริงๆ  แต่ก็มองว่า พวกเค้าไม่ควรประกาศให้โลกได้รับรู้ เพราะเหล่าไอดอลต่างก็ต้องพบเจอเรื่องราวหนักหนาสาหัสกันมาแล้วทั้งวงการ แต่พวกเค้าเหล่านั้นเลือกจะเก็บงำความทุกข์ใจไว้ แล้วเลือกโฟกัสที่การสร้างความสุขให้กับแฟนๆและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับต้นสังกัด

อาจจะเป็นเพราะว่า แฟน K-Pop บางกลุ่มยังยึดกับระบบอุปถัมภ์ที่ไอดอลมีสถานะผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ควรต่อต้านผู้มีอำนาจ แม้กระทั่งเชื่อว่า ความสำเร็จของพวกเค้าเป็นรุปแบบของ 'การติดค้างบุญคุณ' นายทุนที่ปลุกปั้นจนโด่งดังไปหลายประเทศทั่วโลก ทั้งๆที่พวกเราต่างประจักษ์แน่แท้ว่า นี่คือธุรกิจที่มุ่งเน้นผลกำไร ไม่ใช่การลงทุนลงแรงให้หนุ่มสาวผู้มีความฝันก้าวสู่ความสำเร็จด้วยความรักและผูกพันดุจครอบครัว

พัฒนาการของอุตสาหกรรม K-Pop ที่ก้าวไกลไปถึงระดับโลกอาจจะทำให้ NewJeans สร้างจุดเปลี่ยนได้สำเร็จ

K-Pop ได้กลายมาเป็นธุรกิจดนตรีที่มีอิทธิพลต่อแฟนๆมากมายทั่วโลก แน่นอนว่าค่ายดังระดับ Big 4 จะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการผลิตไอดอลเข้ามากอบโกยความนิยมในนานาประเทศและความสำเร็จในระดับนั้นมาพร้อมกับการจับตามองจากสื่อดังในประเทศมหาอำนาจซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสังเกาหลี ยางครั้งสื่อนอกได้วิเคราะห์เจาะลึกถึงเบื้องหลังดำมืดของอุตสาหกรรม K-Pop และวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจนคนเกาหลีเองยังยอมรับว่า อับอายจนหน้าชา สิ่งที่อาจจะเคยถูกปล่อยเบลอ ก็อาจจะมีการปฏิวัติใหม่ เนื่องจากค่ายดนตรีจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น มิเช่นนั้น ภาพลักษณ์ต่อสายตาชาวโลกก็อาจจะตกต่ำลงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะกรณีของ NewJeans ที่ FC ยืนหยัดปกป้องด้วยความเชื่อมั่นว่า พวกเธอพยายามปกป้องตัวเองจากระบบอันฟอนเฟะที่ผู้คนในสังคมต่างรับรู้ แต่ขาดแรงจูงใจที่จะลุกมาสร้างความเปลี่ยนแปลง และนี่คือการตัดสินใจสำคัญที่อาจจะพลิกโฉมวงการก็เป็นได้


ที่สำคัญ HYBE บริษัทแม่ของ Ador ต้นสังกัดที่เกิดข้อพิพาทกับ NewJeans ก็มีเรื่องเอกสารหลุดสุดฉาวระดับวาระแห่งชาติเป็นชนักปักหลังอันใหญ่อยู่แล้ว วิกฤติภาพลักษณ์ในครั้งนั้นยังไม่ได้รับการเยียวยา ปัจจัยแวดล้อมต่างๆบวกกับดราม่ายืดเยื้อภายในทำให้กำไรสุทธิก็ร่วงหล่นลงจนสั่นสะเทือนสถานะค่ายดนตรี K-Pop ชั้นนำ ตามมาด้วยการประกาศยุติสัญญาของ NewJeans ซึ่งส่งผลกระทบหนักถึงขนาดสื่อรายงานว่า มูลค่าทางการตลาดของบริษัทลดฮวบลงไปถึง 423 ล้านดอลลาร์ หาก NewJeans ถูกกีดกันกลั่นแกล้งจนไม่สามารถโพรโมทผลงานในรายการ TV ขึ้นมาจริงๆ ย่อมเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลมืดที่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของค่ายย่ำแย่ลงไปอีก 

ในขณะที่ NewJeans ชี้แจงเกิดผลในการตัดสินใจแยกทางจากต้นสังกัดโดยไม่ทิ้งเยื่อใย แต่การโต้ตอบของ Ador ที่ยืนยันว่า สัญญากับ NewJeans ยังมีผลข้อบังคับใช้และขอให้ยอมรับการเจรจาหาข้อตกลงเพื่อกลับมาร่วมงานกันทำให้ชาวเน็ทมองว่า ศึกครั้งนี้อาจจะยืดเยื้อหาก Ador ตัดสินใจยื่นฟ้องร้องพวกเธอ

แต่จากคำยืนยันของมินจีที่ว่า 'ความกล้าหาญสามารถเปลี่ยนโลกได้' น่าจะทำให้แฟนๆรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า พวกเธอเตรียมพร้อมเต็มที่เพื่อจะก้าวสู่ New Era ที่ไอดอลคลื่นลูกใหม่จะปกป้องตัวเอง ไม่จำนนต่ออิทธิพลของค่ายดนตรีอีกต่อไป


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE