“ส้ม มารี” (Zom Marie) - “เราไม่ได้หยุดแค่...ฝันที่เป็นจริง แต่เราต้องทำความฝันนั้นให้เป็นมากกว่าความฝัน”
Speak Out 15 2จุดเริ่มต้นของ... Zom Marieเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ไม่ว่าจะฝันเล็ก ฝันน้อย หรือฝันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งบนโลกใบนี้ บางคนได้ทำตามความฝัน ส่วนบางคนทำได้แค่ฝันแล้วเก็บมันไว้ที่ไหนสักแห่ง วันนี้ส้มอยากจะมาเล่าเรื่องของความฝันและการเดินทางของส้มให้ฟัง ☺
ดนตรี เป็นสิ่งที่อยู่กับส้มมาโดยตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มต้นร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจำความได้ก็ชอบร้องเพลงมาอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ แม่ซื้อเครื่องเล่นคาราโอเกะมาไว้ที่บ้าน เวลากลับมาบ้านก็จะตั้งใจทำการบ้านให้เสร็จ เพื่อที่จะได้มีความสุขกับการร้องเพลงไปยาวๆ ในทุกๆ คืนณ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกหรอกว่าการร้องเพลงคือความฝัน รู้แค่ว่าเราชอบร้องเพลง แค่ได้ร้องเราก็มีความสุขแล้ว กว่าจะมารู้ตัวว่าอยากจะร้องเพลงแบบจริงจังก็ตอนประมาณมัธยม ตอนนั้นเป็นแฟนคลับพี่ไอซ์ ศรัณยู จำได้เลยว่าเคยดูพี่เขาร้องเพลงในทีวี แล้วตาพี่เขาเป็นประกายมาก ทำให้ส้มรู้สึกว่า ฉันอยากจะมีความสุขกับการร้องเพลงแบบนี้บ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มหาทางให้ความฝันเป็นจริง
จากเด็กต่างจังหวัด เข้ามาประกวดร้องเพลงในกรุงเทพ ได้เจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งดีใจและเสียใจ จนในที่สุดก็ได้เข้ามาเป็นนักร้องใต้สังกัดแกรมมี่ มีซิงเกิลเป็นของตัวเองเพลงแรก กับเพลงที่ชื่อว่า Wink หลังจากเพลงแรกที่ปล่อยไป ทำให้ผู้คนได้รู้จักส้ม และเริ่มเรียกชื่อกันติดปากว่า
ส้ม วิ้งค์หลายคนอาจจะคิดว่าการมีเพลงเป็นของตัวเอง ได้เป็นนักร้องเต็มตัว คือการได้ทำตามความฝันสำเร็จแล้ว.. จริงๆ ก็ใช่แหละ ส้มได้ทำอย่างที่อยากทำสมใจ แต่ชีวิตคนเรามันไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง หลังจากที่ปล่อยเพลงออกมา ส้มได้มีโอกาสทำงานด้านอื่นๆ ในวงการบันเทิง ได้เล่นละคร เล่นซิทคอม เป็นพิธีกร ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนงานล่าสุดก็คือได้เป็นดีเจที่คลื่น MET107 ด้วย
ด้วยความที่ช่วงหลัง ส้มทำงานหลายอย่าง เลยมีช่วงที่ห่างจากการทำเพลง ประจวบกับยุคนี้เป็นยุคที่การทำเพลงให้ได้กำไรนั้นยากกว่าแต่ก่อน ค่ายเพลงต่างก็ลดการลงทุนทางด้านเพลงลงมา ส้มเองก็เป็นหนึ่งคนที่ห่างหาย และโหยหา เพราะอย่างที่บอก เรารักการร้องเพลง (งานอื่นส้มก็รักนะ แต่มันไม่เหมือนกันเนอะ เพราะเราคงไม่ได้จู่ๆ นึกจะเล่นละครตอนอาบน้ำหรืออะไรใช่มะ?) คือลึกๆ แล้วตัวส้มเองก็ยังอยากจะร้องเพลงอยู่ ส้มเลยลองมองหาทางที่จะยังคงทำสิ่งที่รักได้ แถมยังได้ใกล้ชิดกับแฟนๆ ได้อีกทาง นั่นเลยเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานอดิเรกงานใหม่ นั่นก็คือการเป็น YouTuber
แน่นอนว่าการทำ YouTube ก็ต้องมีทั้งคำชมและคำติ ตอนได้รับ Comment แย่ๆ แรกๆ ก็ไม่ชอบเลยนะ บั่นทอนจิตใจมาก บางคนนี่ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไร เขียนมาซะอ่านแล้วนอยด์มาก แต่มาวันนึงได้มีโอกาสไปงานที่ YouTube Thailand เชิญ Kurt Hugo กับ Sam Tsui มาพูดบนเวที วันนั้นเปลี่ยนความคิดเลย เพราะเค้าบอกว่า ช่วงแรกที่เค้าทำ YouTube แล้วมีแต่คำชม ก็มีแค่ตัวเค้า แม่ และพี่น้องเท่านั้นที่ดูคลิป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีคำด่าหรือ Dislike นั่นแปลว่าผลงานของเราได้ออกไปสู่สายตาผู้อื่นนอกเหนือจากแฟนๆ หรือกลุ่มของเราแล้ว เพราะฉะนั้นก็ให้มองว่าเป็นเรื่องดี แล้วพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป
การเริ่มต้นทำช่อง Youtube ของตัวเอง นอกจากเป็นการได้ทำสิ่งที่รักให้แฟนๆ ได้มาฟังเราร้องเพลง ได้ทำให้ผู้คนรู้จักเรามากขึ้น YouTube ถือว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้ส้มได้ฝึกพัฒนาตัวเองนะ เพราะมันทำให้ส้มได้กลับมามองดูตัวเอง เช่น ตอนนั้นร้องเพลงเป็นยังไง ผ่านเวลาไปเราร้องเปลี่ยนไปนะ การเล่นกีต้าร์เราเริ่มเพิ่มการเล่นโน่นนี่เข้ามา และแถมยังทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นอีกด้วย ทำให้ส้มได้ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ และที่สำคัญ ผลตอบรับที่ดียังเป็นแรงผลักดันให้ส้มได้ทำสิ่งที่รักต่อไปได้อีก
หลังจากทำ YouTube มาสักพัก ตอนนี้แม้จะหมดสัญญากับค่ายใหญ่แล้ว แต่เส้นทางของการเป็นนักร้องของส้มก็ยังคงเดินต่อ แรกๆ ที่หมดสัญญา มีหลายค่ายที่ติดต่อมา แต่ด้วยหลากหลายเหตุผลทำให้ยังไม่ลงตัว แถม ณ ตอนนี้เราอยากลองหาตัวเอง อยากลองทำงานเองดูด้วย ส้มเลยตัดสินใจเดินหน้าทำเพลงของตัวเองในฐานะศิลปินอิสระ แรกๆ ที่ตัดสินใจจะทำงานเอง ตอนแรกก็หวั่นมากนะ คือตอนอยู่ค่ายมีคนวางแผนให้เราหมด แต่พอมาทำเอง ก็ต้องทำเองหมดเลยจริงๆ แต่ข้อดีของการทำเองก็มี คือถึงแม้จะเหนื่อยขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วผลงานที่ออกมามันคือตัวตนของเราจริงๆ มันเป็นเหมือนผลงานที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่านี่แหละคือเรานะ ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งปล่อยเพลงออกมา ชื่อเพลงว่า “เพราะ” ค่ะ แล้วเดี๋ยวต่อไปก็จะปล่อยเพลงออกมาอีกเรื่อยๆ
สิ่งที่อยากจะบอกกับทุกคนในวันนี้ คือเส้นทางความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแน่นอน มันไม่ได้สวยหรู โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่ๆ ในระหว่างทางเราอาจจะมีท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง ต้องเจอกับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจจนแทบอยากจะเลิกทำบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเราได้ทำสิ่งที่เรารักจริงๆ สิ่งที่เราได้ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ “ความสุข” เท่านั้นเอง
ใครที่เคยทิ้งความฝันไว้ในลิ้นชักความทรงจำสักแห่ง อยากให้ลองรื้อมันขึ้นมาปัดฝุ่นดูอีกสักครั้ง อย่ากลัวที่จะฝันอีกครั้ง เพราะความฝัน ไม่มีคำว่าเก่า และไม่มีคำว่าสายเกินไป ☺
ตอนเด็กๆ เราอาจจะมีความฝันมากมาย แต่พอเราโตขึ้นมาความฝันนั้นอาจจะค่อยๆ จางหายไป เพราะความกลัวที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ จนเราลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เราชอบ ฝันอยากจะเป็นมันคืออะไร ส้มเป็นคนนึงที่มีความฝัน และก็ทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้มาร่วมสานฝันของเราให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งกับ SK-II Dream Again ด้วยกันนะคะ
Sponsored by SK-II#changedestiny #dreamagain #dreambigTH