ซาปา - Vietnam | ร้อน ฝน หนาว หน้าไหน ก็น่าเที่ยว
La Kikiz 19 5ถ้าหากใครกำลังมองหาที่เที่ยวใกล้ๆ ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แค่ 3 วัน 2 คืน กับงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท เราว่าเมืองที่เรากำลังจะพาไปตอบโจทย์ในใจทุกคนได้แน่นอน "ซาปา - เวียดนาม"
หลังจากที่พาทุกคนเวิ่นเวอร์อยู่ในฮานอยมาช่วงนึง (ไปก็ไป | Hanoi Classic Chic บุ๋น คาเฟ่ ทะเลสาบ) ตอนนี้ถึงเวลาขึ้นดอยของเวียดนามกันแล้ว นอกจากอากาศดีๆ ที่เป็นชื่อเสียงของซาปาแล้ว วิวยอดเขาฟานซิปานและความสงบที่เหมือนไม่มีอยู่จริงในเมืองนี้เป็นอีกสเน่ห์นึงที่เราอยากให้ทุกคนมาลอง มาค่ะไปเที่ยวพร้อมกัน
ปกติการเดินทางไปซาปาที่หลายคนนิยมกันโดยเฉพาะคนไทยอย่างเราคือเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งรถไฟเวียดนามก็จะมีความดีงามกว่าบ้านเราประมาณนึง เพราะให้เอกชนเป็นคนดูแล แน่นอนว่าราคามันก็จะแพงกว่าการเดินทางแบบอื่นๆ
สำหรับเราชาว Low Cost But High Class ขอเสนอการเดินทางอีกแบบนึง คือ "รถบัส" มีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบนั่งและแบบนอน วิ่งกลางวัน วิ่งข้ามคืน เราใช้รถของบริษัท SAPA Express เวลาดี รถสะอาด แอร์เย็น สต๊าฟใช้งานได้จริงพูดอังกฤษคล่อง ที่สำคัญราคาถูกมากๆ คำว่าโก่งราคา ขายแพงกว่าเจ้าอื่นตัดทิ้งไปเลย เพราะที่นี่เขาจองออนไลน์ได้ถูกกว่าไปเดินหาตั๋วเอง ใครกำลังจะเดินทางก็ไปเลย https://sapaexpress.com ราคารถนอนแบบวิ่งข้ามคืน วันธรรมดา 11 US/Seat , วันหยุด 14 US/Seat
รถมารับตอน 4 ทุ่ม ที่หน้าบริษัท (อยู่ใน Old Quater) แต่เขาจะนัดให้เรามาก่อนประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อเช็คชื่อ ตั๋วไม่มีเลขที่นั่งระบุ เพราะฉะนั้นวางแผนกันดีๆ ว่าใครจะเก็บกระเป๋าใครจะขึ้นไปจองที่ แต่เท่าที่เราเจอคือไม่มีใครแย่งที่กันเลย เขาจะแวะทานข้าวและเข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง หลังจากวิ่งออกมา ชั่วโมงนึง
Tips การเลือกที่นั่งในรถนอนเวียดนาม พยายามอยู่กลางๆ เข้าไว้ ใครเมารถให้เลือกนอนชั้นล่าง ข้างหน้าเสียงแตรและคนขับรถจะดังมาก(แต่บริษัทนี้ไม่เป็นนะ) ข้างหลังรถจะโคลงไปมา
รถมาถึงซาปาประมาณตี 4 เราสามารถนอนในรถต่อได้จนถึง 6 โมงเช้า ตอน 4 เราลองโทรหาโรงแรมที่จองไว้ปรากฎว่าเช็คอินไม่ได้ (ที่ซาปาไม่ให้เราเช็คอินก่อนเวลา นี่ลองมาหลายโรงแรม เพราะเปลี่ยนเกือบทุกคืน) ตอนแรกกังวลมากว่ารถจะจอดไกลเมืองแบบประมาณขนส่งอะไรแบบนี้ แต่รถนี้จอดกลางเมืองเลยคือเดินไปไหนก็สะดวกมาก (แผนที่จุดจอดรถ)
Day 1 Plan : Check in/ Cat Cat Village/ Lao Cai Village (Black Hmong) + Ta Van Village
ที่พักคืนแรกเราจองที่ Sapa Sunflower Hotel ราคา 360 บาท ห้องโอเค เตียงกว้าง วิวที่ระเบียงมองเห็นยอดฟานซิปาน กับหลังคาบ้านเป็นวิวนึงที่มีเสน่ห์เลยล่ะ ใจกลางเมือง เดินขึ้นเนินนิดเดียว มีอาหารเช้าให้ด้วย คุ้มมาก สายประหยัดแนะนำที่นี่เลย
เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมและเช่ามอเตอร์ไซค์เกียร์ธรรมดาราคา $6 และจ่ายค่าน้ำมันอีก 30,000 ดอง พร้อมเริ่มการท่องเที่ยววันนี้แล้ว ถนนที่นี่ดีบ้างแย่บ้างสลับกันไป เสียวบ้างประปรายเพราะเหวมันเยอะ บวกกับได้รถเก่าแรงไม่ค่อยมีบิดคันเร่งกันเมื่อยมือ = = โอ้ยยยบันเทิงมากก แขนเกร็งสุด
จากหมู่บ้านกัทกัท เรากลับมากินมื้อเที่ยงในเมืองและแวะกลับเข้าไปอาบน้ำที่โรงแรม จากนั้นช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านม้งดำและตาฟานกันต่อ
หลังจากบันเทิงกับถนนและโค้งหักศอกในบางจุด เราก็มาถึงหมู่บ้านม้งดำแล้วจ้า ที่นี่เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดและวิถีชีวิตพื้นบ้านแบบชาวเขา ตอนนี้เขากำลังเริ่มทำนา ภาพเลยอาจไม่คุ้นตาใครหลายๆ คน ถึงแม้จะเป็นวิวที่ไม่ได้สวยที่สุดของที่นี่แต่เราก็ยังประทับใจมากๆ อยากให้ทุกคนมา
มาซาปาใครๆ ก็บอกว่าต้องกินปลาแซลม่อนหรือหม้อไฟแซลม่อน แต่เราไม่ชอบกินแซลม่อนเลยเลือกเป็นหม้อไฟไก่ดำเป็นอาหารค่ำ ร้านนี้คนเยอะมาก (Nhà hàng Khám Phá Việt) ขนาด 2-3 คน ราคา 350,000 ดอง กินผักไปได้ไม่ถึงครึ่งก็อิ่มแล้วเขาให้ผักเยอะมากกกกกกก รสชาติอร่อยดี น้ำซุปมีส่วนผสมเหล้าจีนช่วยแก้หนาวได้ดีเลยล่ะ คืนนี้อากาศ 12 องศา เดินเล่นในเมืองเพลินๆ
Day 2 Plan : Check in/ Fansipan Peak/ Sapa lake
เราย้ายที่พักมาที่ Stuning view point hotel ที่พักคืนละ 630 บาท วิวดีมากเพราะเรามาเดินเลือกเองที่นี่ ถ้าห้องว่างเขาจะให้เราดูวิวห้องได้ก่อนเลย
ระเบียงกว้าง วิวดีมาก เตียงนุ่ม มีแผ่นทำความร้อนสำหรับหน้าหนาว มีแอร์สำหรับหน้าร้อนที่กลางวันอาจร้อนเกินไป ราคานี้รวมอาหารเช้า คุ้มมากๆ เป็นอีกที่ที่แนะนำ
วันนี้เราเช่ารถมอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้กันบ้าง ราคา $7 ได้รถไม่เก่าไม่ใหม่ แต่มันไม่ค่อยมีแรงอีกแล้ว เส้นทางขับรถไปฟานซีปัง เขามีทางใหม่ให้ขับไปได้สบายๆ และแน่นอนว่าเราเลือกขับไปทางเก่า เกร็งๆ แขนหน่อยแต่ก็มันส์ดี
ยอดเขา Fansipan เป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดในเวียดนามด้วยความสูง 3,143 เมตร โดยได้ฉายาว่า "หลังคาแห่งอินโดจีน" ด้วยความสูงขนาดนี้ตอนขึ้นมาไม่ว่าจะฤดูไหนขอแนะนำว่าให้เตรียมเครื่องกันหนาวมาดีๆ เพราะขนาดเราไปข้างล่างเกือบ 20 องศาช่วงกลางวัน ขึ้นไปข้างบนเหลือ 10 องศา หนาวและลมแรงมาก
ทางที่ดีคือพกเสื้อกันฝนแบบบางๆ ติดมาด้วย เพราะบางทีหมอกหนามาก เปียกยิ่งกว่าโดนฝน
เคเบิลคาร์พาเราขึ้นไปสู่ยอดเขาราคาอยู่ที่ VND600,000 ($27) แนะนำว่าจ่ายเป็นเงินดองจะคุ้มกว่า ส่วนใครที่อยากเทรคขึ้นไปต้องไปกับไกด์เท่านั้น เพราะตอนนี้รัฐบาลเวียดนามไม่อนุญาตให้ไปเทรคกันเองแล้วนะ
ตอนเย็นเรามาปั่นเรือถีบที่ทะเลสาบซาปา เป็นอีกกิจกรรมนึงที่น่าลองสำหรับคนชิลๆ ไปลองกันได้ สามารถเดินไปได้เลยไม่ไกลจากกลางเมือง วิวพระอาทิตย์ตกสวยมาก
Day 3 Plan : Check out/ Cafe in the Clouds/ Free/ Bus to Hanoi 4.00 PM (ถึงฮานอย 10.00 PM)
เช้านี้เราไม่ได้กินอาหารเช้าที่โรงแรม แต่เลือกที่จะเดินไปร้าน Cafe in the Clouds เป็นร้านที่อยู่ทางไปหมู่บ้านกัทกัท วิวที่นี่ดีมาก อาหารราคาค่อนข้างแพงรสชาติเฉยๆ แต่แลกกับวิวก็ยอม เป็นอีกร้านนึงที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดถ้าหากมาซาปา
กลับไปเช็คเอ้าท์ที่โรงแรม แล้วมานั่งจิบกาแฟที่ร้านนี้รอเวลารถออก กาแฟโอเคและบั๋นหมี่อร่อยมาก
ช่วงที่เราเดินทางไปซาปาคือเดือนมิถุนายน/ อากาศ 10-15 องศา/ ลมเย็นแดดแรง/ เริ่มทำนา
ข้อดี หมอกไม่เยอะเกินไป ถ่ายรูปง่าย โรงแรมราคาถูก คนไม่ค่อยเยอะ สงบ
ข้อเสีย ตอนเที่ยง-บ่าย แดดแรงร้อนมาก , วิวสวยสู้ตอนข้าวตั้งท้องกับตอนเก็บเก็บเกี่ยวไม่ได้
สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ต่อคน)
- ค่ารถไปกลับ $22/ โรงแรม $14/ Cable car $27/ เช่ามอเตอร์ไซค์ + น้ำมัน $9/ อาหารมื้อละประมาณ $5 รวม 3 วัน $50
- รวม 4,270 บาท (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-ฮานอย 2,150 บาท)
ภาพทริปนี้ไม่ค่อยครบครันเท่าไหร่ ต้องขออภัยเพราะตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนเรื่องซาปา แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงเลยขอเอามาโม้ให้ฟังสักหน่อย"เราว่าตอนนี้ที่ซาปานาขั้นบันไดกำลังเขียวและสวยมากๆ"
เจอกันใหม่ทริปหน้าสวัสดีจ้า