ไขข้อข้องใจ ! AHA และ BHA คืออะไร และต่างกันยังไง ?
donut
74
21
วันนี้โดนัทขอมารวบรวมข้อมูลของทั้ง AHA และ BHA ให้อ่านกันนะคะ ?
เพราะมีสาวๆถามมาเยอะมาก ว่าสรุปแล้ว
AHA และ BHA เนี่ย ....
ตัวไหนใช้กับปัญหาผิวแบบไหนดี ?
1. AHA (เอเอชเอ)
.
- ALPHA HYDROXY ACID
- ละลายได้ใน “น้ำ” ?
- พบในธรรมชาติ เช่น มะนาว ส้ม มะขาม หรือ
สารสกัดทางเครื่องสำอาง เช่น
กรดมาลิก จากแอปเปิ้ล
กรดไกลโคลิก จากอ้อย
กรดแลคติก จากนม
- สามารถสลายสะพานเชื่อมระหว่างเซลล์ (Desmosome)
- เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพื่อทำให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียน จุดด่างดำต่างๆจางลง ผิวชุ่มชื้นขึ้น
- ในเครื่องสำอางไม่ควรมีเกิน 10%
- ในคลินิกมีการใช้ % สูงกว่านั้น ซึ่งทั้งความเข้มข้น และความถี่จะถูกควบคุมโดยแพทย์ (ที่สมัยก่อนเรียกว่าการทำ Baby Face)
- ในวัยรุ่นที่มีการผลัดเซลล์ผิวดีตามปกติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้
- ไม่แนะนำให้ใช้ช่วงกลางวัน และ เมื่อใช้แล้ว ต้องทากันแดด
- ถ้ามีอาการระคายเคือง ให้หยุดใช้ทันที
- ไม่เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบ ❌
- เหมาะกับสาวๆที่เริ่มอายุเยอะขึ้น การผลัดเซลล์ผิวแย่ลง จนรู้สึกว่าผิวหยาบ หมองคล้ำ ไม่สดใส มีสิวอุดตัน และความชุ่มชื้นผิวไม่พอ
-ถ้าต้องการบูสต์คอลลาเจนในผิว แนะนำกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid)
ถ้าผิวระคายเคืองง่าย ใช้แบบอ่อนโยนลง
แนะนำกรดแลคติก (Lactic Acid)
2. BHA (บีเอชเอ)
- BETA HYDROXY ACID
- ละลายได้ในน้ำมัน ⭐️
- สารตัวหนึ่งในกลุ่มนี้คือ Salicylic Acid
- สามารถสลาย Keratin มีผลทำให้
ผิวหนังชั้นขี้ไคลผลัดตัวออกไป
- มีฤทธิ์สลายสิ่งอุดตันรูขุมขน (Comedolytic)
- มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bactericidal)
- ใช้ 0.5-5% (ยิ่ง% สูงยิ่งระคายเคืองมาก)
- แนะนำให้ใช้ที่ 2% เพื่อรักษาสิวอักเสบ และอุดตัน
- เมื่อใช้แล้วต้องทากันแดด
- ถ้ามีอาการระคายเคือง ให้หยุดใช้ทันที
- เหมาะกับคนเป็นสิว ???
การใช้เครื่องสำอางที่มี AHA หรือ BHA สามารถปรับความถี่ในการใช้ได้ อาจจะลดความถี่ลง หรือเพิ่มความถี่ได้ “ให้ดูผิวเราเป็นหลักค่ะ”
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังสนใจอยู่นะคะ