Review - MISS DIOR EDP(2017)
Na-nacha
37
11
"Miss Dior EAU DE PARFUM(2017)"
น้ำหอมตัวที่จะพูดถึงวันนี้เป็นหนึ่งในไลน์ Miss Dior ที่มีคนนิยมกันมาอย่างยาวนาน
รุ่น EDP ปี 2017 เป็นการปรับสูตรใหม่ โดยช่วงแรก
ปี 2005 จะชื่อ Miss Dior Cherie Eau de Parfum กลิ่นจะเป็นโทน Sweet Fruity ประกอบด้วย Caramel, Popocorn, Patchouli, Starawberry, Pineapple, Mandarin Orange, Rose, Musk
ปี 2007 เป็นการปรับกลิ่นครั้งแรก โดยเป็นกลิ่นโทน Patchouli, Citrus แล้วก็กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนมากเท่าตัวแรก เรียกได้ว่าตัดส่วนประกอบออกมากกว่าครึ่ง Mandarin Orange เป็น Top Notes Jasmine และ Rose เป็น Middle Notes ตามด้วย Patchouli, Musk หลักๆ คือตัดกลิ่นที่หวานๆ ออก แล้วก็ให้กลิ่นที่มีความสดชื่นเพิ่มมากขึ้น
จนกระทั่งปี 2017 ก็ได้ปรับสูตรอีกครั้งนึง
เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น โดยมารอบนี้กลิ่นจะเป็นโทน Citrus, Rose
Top Notes: Lemon, Mandarin Orange, Pink Paper, Blood Orange, Sweet Orange, Calabrian Bergamot
Middle Notes: Grasse Rose, Damask Rose, Jasmine Leaf
Base Notes: Patchouli
ดูส่วนประกอบแล้วรู้สึกเหมือนขนส้มมาทั้งสวนสวนเลย ไหนจะกุหลาบอีก ฮ่าๆๆๆ
เราคิดว่าจุดเด่นของ Miss Dior EDP ไม่ว่าจะปีไหนๆ ก็คือ กลิ่น Base Notes ที่ชัดจนเป็นกลิ่นหลักๆ ของน้ำหอมเลยทีเดียว
แน่นอนว่ารุ่น Miss Dior ขวดต้องมีการผูกโบว์สีเงิน(ซึ่งหมองเร็วมาก)
น้ำหอมขนาด 30, 50, 100 ml ฝากับโบว์จะมีขนาดเท่ากัน
ด้านบนฝาเป็นโลโก้ CD แบบโปร่งใส ทำให้มองทะลุจากด้านในได้
ส่วนขวดเป็นทรงเหลี่ยมตามสไตล์ Miss Dior เลย
นี่คือฝาของ Miss Dior ซ้ายเป็น Blooming Bouquet ขวาเป็น EDP ด้านซ้ายเราซื้อมาประมาณ 4 ปีได้แล้ว โบว์นอกจากจะหมองเร็วตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว นางยังลอกอีกจ้าาา
ลอกไม่พอ ของเราโบว์หลุดจากฝา จนจะเอามาใส่เป็นแหวนแทนละ ด้านขวา EDP ก็ไม่ต่างเท่าไร ฝานางเปลี่ยนสีด้วยจ้าาา จากตอนแรกเป็นขุ่นๆ หลังๆ เปลี่ยนไปตามสีน้ำหอมเลย
นี่เป็นดีเทลก้นขวด อย่างถ้าเทียบ Blooming Bouquet แพทเทิร์นจะเหมือนกัน
แต่ Texture ความโปร่งไม่เหมือนกัน
อ่อ สีของน้ำหอมรุ่นล่าสุดจะเป็นสีชมพู(ตามรูปที่โปรโมท)
แต่เราคิดว่ามันเป็นชมพูที่ออกส้มๆ มากกว่า
ราคา
30 ml 3,000 บาท
50 ml 4,700 บาท
100 ml 6,600 บาท
เราว่าราคาค่อนข้างแรงเลยทีเดียว
เหมาะกับใครบ้าง?
เราว่าตัวนี้ใช้ได้ตั้งแต่ช่วงที่เรียนมหาลัยไปจนถึงวัยทำงานได้เลย เหมาะกับวันที่อากาศดีๆ
อากาศเย็น แบบช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศา หรือวันที่อากาศไม่อบอ้าว
สำหรับเราคือช่วงอายุคนที่ใช้ได้ค่อนข้างกว้าง แต่ช่วงเวลาที่จะใช้ได้ค่อนข้างแคบ
เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่าน้ำหอมตัวนี้ค่อนข้างฉุนประมาณนึง ถ้าฉีดไปทำงานอาจจะ
ไปตีกับกลิ่นคนอื่นจนเวียนหัวได้
เล่าเพิ่ม ประกอบการตัดสินให้จ้าาา
เราซื้อน้ำหอมตัวนี้มาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว จากการดมกลิ่นบนกระดาษเทสใน Sephora แล้วรู้สึกว่ามันหอม สดชื่นดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเอามาใช้คือ ไม่ว่าจะพยายามฉีดยังไง มันก็ฉุนจนเกือบๆ จะเวียนหัว ทั้งกดครึ่งปั้ม ทั้งฉีดใส่อากาศให้ละอองกระจาย คือมันไม่รอดจริงๆ เราพยายามใช้มาตั้งแต่ตนปีจนกลางปี จนหมดความพยายามจะใช้ ยิ่งวันไหนฉีดแล้วเหงื่อออกคือแบบ.. จบ จบสิ้นเลย
จนท้ายที่สุดช่วงอากาศหนาวๆ เดือนธันวานี่เอง เราก็ตัดสินใจใช้มันอีกที
สรุป.. คือ รอด ไม่ฉุน ไม่เวียนหัว แต่ก็ไม่ควรฉีดไปทำงานอยู่ดี เพราะกลิ่นมันค่อนข้างฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ตัวเลย คือนั่งทำงานแล้วได้กลิ่นน้ำหอมตัวเองอะ
สรุป แนะนำ
ห้ามเด็ดขาดคือ ฉีดในวันที่อากาศร้อน อบอ้าว ลมไม่พัด เหงื่อออก
ควรฉีดในวันที่อากาศดีแบบ ดีมากๆ ดีโคตรๆ แบบฉีดไปเดินห้างสวยๆ แบบไม่มีเหงื่อ อารมณ์แบบท้องฟ้าแจ่มใส ลมโชยในช่วงหน้าหนาว คือถ้าเทียบกับฤดูของต่างประเทศคือ ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง ซึ่งอุณภูมิน่าจะพอๆ กับหน้าหนาวเมืองไทย
แล้วก็ไม่แนะนำสำหรับคนที่อยากซื้อน้ำหอมขวดเดียวแล้วใช้ได้เรื่อยๆ ทุกโอกาส
ปล. ถ้าซื้อที่ Sephora ไม่ได้ถุง Dior นะ ในรูปเป็นถุงตอนเราซื้ออีกรุ่น ที่เคาน์เตอร์ในเครือของ The mall