[How to] ไม่หิว+ไม่โหยน้ำตาล | โดยไม่ต้องกินยา/อาหารเสริม
Yingaa 63 15หลายคน... พยายามลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพกันมาหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จสักที เพราะอุปสรรคสำคัญที่เรียกว่า "ความหิว" และ "ความโหยน้ำตาล" ขัดขวางอยู่
สิ่งสำคัญนั้น คือ ความรู้ ความเข้าใจ คือ การเข้าใจในธรรมชาติของ "ความหิว" ว่ามันเป็นสัญชาตญาณของร่างกาย เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพื่อเตือนให้เรากินเพื่อความอยู่รอด
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกหิวขึ้นมา ก็ให้ถามตัวเองว่า ความรู้สึกนั้น เป็น "หิวจริง" หรือ "หิวหลอก"
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกหิวขึ้นมา ก็ให้ถามตัวเองว่า ความรู้สึกนั้น เป็น "หิวจริง" หรือ "หิวหลอก"
- หิวจริง คือ หิวเพราะเราอยู่ในสภาวะที่ต้องกินเพื่อเอาพลังงานเข้าสู่ร่างกายจริง ๆ
- ส่วนหิวหลอก คือ ความเคยชินของร่างกายในเวลาที่เราไม่ได้ต้องการพลังงานจริง ๆ
อีกวิธีหนึ่ง คือ การพิจารณาร่างกายตัวเอง
อย่างตอนที่หญิงน้ำหนักพุ่งขึ้นมาถึง 60kg ซึ่งทำลายสถิติของตัวเองจนมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง ทุกทีที่มีความรู้สึกหิวเกิดขึ้น หญิงก็จะหยิบห่วงยางบนหน้าท้องขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่า เธอสะสมมาเพื่อสิ่งนี้นะ พวกเธอถูกเก็บสะสมไว้เพื่อใช้งาน ไม่ได้เก็บไว้ให้พอกตับหรือสะสมในร่างกายเฉย ๆ ออกมาทำงานได้แล้วนะจ้ะลูกจ๋าา
อย่างตอนที่หญิงน้ำหนักพุ่งขึ้นมาถึง 60kg ซึ่งทำลายสถิติของตัวเองจนมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง ทุกทีที่มีความรู้สึกหิวเกิดขึ้น หญิงก็จะหยิบห่วงยางบนหน้าท้องขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่า เธอสะสมมาเพื่อสิ่งนี้นะ พวกเธอถูกเก็บสะสมไว้เพื่อใช้งาน ไม่ได้เก็บไว้ให้พอกตับหรือสะสมในร่างกายเฉย ๆ ออกมาทำงานได้แล้วนะจ้ะลูกจ๋าา
วิธีต่อมา คือ การเปลี่ยนไปกินอาหารที่ดีขึ้น
เช่น เปลี่ยนข้าวขาว เป็นข้าวกล้อง เพราะอาหารที่ดีเป็นมิตรต่อความอิ่ม ส่วนอาหารที่ไม่ดีเป็นมิตรต่อความหิว คือ ในขณะที่ข้าวขาวมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดของเราและอินซูลินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้รู้สึกหิวเร็วและแทบจะไม่เหลือคุณค่าสารอาหารใด ๆ นั้น ข้าวกล้องซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายกลับทำให้น้ำตาลในเลือดและอินซูลินค่อย ๆ สูงขึ้น จนทำให้รู้สึกอิ่มนาน
เช่น เปลี่ยนข้าวขาว เป็นข้าวกล้อง เพราะอาหารที่ดีเป็นมิตรต่อความอิ่ม ส่วนอาหารที่ไม่ดีเป็นมิตรต่อความหิว คือ ในขณะที่ข้าวขาวมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดของเราและอินซูลินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้รู้สึกหิวเร็วและแทบจะไม่เหลือคุณค่าสารอาหารใด ๆ นั้น ข้าวกล้องซึ่งมีคุณประโยชน์มากมายกลับทำให้น้ำตาลในเลือดและอินซูลินค่อย ๆ สูงขึ้น จนทำให้รู้สึกอิ่มนาน
นอกจากนั้น คือ เรื่องของการลดลงที่ไม่เท่ากัน
ข้อนี้มันเป็นเรื่องของความต้องการอาหารของร่างกายที่ไม่เท่ากันค่ะ เช่น โดยค่าเฉลี่ยแล้วร่างกายเราต้องการโปรตีน 0.8g/น้ำหนักตัว1kg ฉะนั้น... ถ้าเราหนัก 60kg ร่างกายเราจะต้องการโปรตีน 48g ในขณะที่ถ้าเราหนัก 50kg ร่างกายต้องการโปรตีนเพียง 40g เท่านั้น! จะเห็นได้ว่าการลดน้ำหนักคล้ายกันกับการออมเงินที่แพทเทิร์นการลดลงหรือเพิ่มไม่ได้เป็นเส้นตรง เมื่อน้ำหนักเราลดลง ความต้องการอาหารของเราก็ลดลงโดยอัตโนมัติด้วย
ข้อนี้มันเป็นเรื่องของความต้องการอาหารของร่างกายที่ไม่เท่ากันค่ะ เช่น โดยค่าเฉลี่ยแล้วร่างกายเราต้องการโปรตีน 0.8g/น้ำหนักตัว1kg ฉะนั้น... ถ้าเราหนัก 60kg ร่างกายเราจะต้องการโปรตีน 48g ในขณะที่ถ้าเราหนัก 50kg ร่างกายต้องการโปรตีนเพียง 40g เท่านั้น! จะเห็นได้ว่าการลดน้ำหนักคล้ายกันกับการออมเงินที่แพทเทิร์นการลดลงหรือเพิ่มไม่ได้เป็นเส้นตรง เมื่อน้ำหนักเราลดลง ความต้องการอาหารของเราก็ลดลงโดยอัตโนมัติด้วย
สุดท้ายเลยคือเรื่อง "โหยน้ำตาล"
- เริ่มต้นจากพยายามปรับลดปริมาณการทานลง ต้องพยายามปรับนะคะ อย่าตัดไปเลยแบบหักดิบอย่างเด็ดขาด
- ค่อย ๆ ลดปริมาณน้ำตาลลง
- และปรับให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในตอนที่ร่างกายยังต้องใช้พลังงาน เช่น มื้อเช้า หรือมื้อเที่ยง
- แล้วเปลี่ยนไปทานน้ำตาลที่ดี เช่น น้ำตาลมะพร้าว
- สุดท้ายความรู้สึกโหยน้ำตาลก็จะลดลงจนหายไปเอง พอเราทำได้เมื่อไหร่ที่ร่างกายกระหายน้ำ เราจะต้องการน้ำเปล่าแทนน้ำหวานเองโดยอัตโนมัติ