Update My Skincare Routine on Mar 2020
Wanviset 87 16เผื่อใครขี้เกียจอ่าน เราทำคลิป VDO ไว้ให้แล้วลองเข้าไปชมกันนะค๊าบ
ป.ล. มือใหม่หัดทำ มีอะไรแนะนำได้น้า
ถึงแม้เพื่อนๆ จะเห็นเราลองเล่นผลิตภัณฑ์หลายตัวอย่างต่อเนื่องแบบ Non-Stop แต่จริงๆ แล้วเราก็จะเป็น Main Skincare ที่เราจะกลับมาใช้อยู่เสมอๆ ในแต่ละช่วง ซึ่งสาเหตุนึงที่เราไม่ค่อยได้ทำ Skincare Routine ออกมาก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มักจะมีความวนเวียน หน้าตาเดิมๆ บางตัวก็จะอยู่ในชีวิตเราประมาณ 3-5 เดือนก็มี
ด้วยความที่เรามานั่งมอง Skincare ที่ใช้ในช่วงนี้จึงคิดได้ว่า...เรามีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปเยอะทีเดียว เลยขอหยิบผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ตอนนี้มาทำเป็น Mini-Review ให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เรามีสภาพผิวผสม-มัน สิวเสี้ยนขึ้นง่ายบริเวณจมูก รูขุมขนกว้างบริเวณจมูก รวมถึงมีรอยแดงจากสิว และมีกระบ้างประปราย เอาเป็นว่าใครที่มีสภาพผิวใกล้ๆ กับเราก็ลองเก็บข้อมูล แล้วเอาไปปรับใช้กันดูเน้อ
ด้วยความที่เรามานั่งมอง Skincare ที่ใช้ในช่วงนี้จึงคิดได้ว่า...เรามีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปเยอะทีเดียว เลยขอหยิบผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ตอนนี้มาทำเป็น Mini-Review ให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เรามีสภาพผิวผสม-มัน สิวเสี้ยนขึ้นง่ายบริเวณจมูก รูขุมขนกว้างบริเวณจมูก รวมถึงมีรอยแดงจากสิว และมีกระบ้างประปราย เอาเป็นว่าใครที่มีสภาพผิวใกล้ๆ กับเราก็ลองเก็บข้อมูล แล้วเอาไปปรับใช้กันดูเน้อ
Makeup Remover & Cleanser
มาเริ่มกันที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มทำความสะอาดกันก่อนเลย โดยเราจะทำความสะอาด 3 Step เฉพาะในวันที่เราแต่งหน้า หรือทากันแดดที่ติดทนหน่อย โดยจะเริ่มด้วย :
- BIODERMA Hydrabio H2O + DECORTE Facial Pure Cotton : ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราผ่านวิกฤตช่วงที่สิวขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถึงแม้จะเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังคงมีอาการแห้ง ลอก จากผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางตัวให้เห็นอยู่ เราจึงหยิบ Cleansing Water ของ BIODERMA สูตร Hydrabio H2O ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้น มาใช้ร่วมกับสำลีจากแบรนด์ DECORTE ที่เป็นสำลีที่ดีที่สุดตั้งแต่เราได้ลองใช้มาเลยหละ ซึ่งพอจับคู่กันเราว่าเค้าช่วยลดการระคายเคืองจากพื้นผิวของสำลีได้ดี อีกทั้งยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งตึงได้อีกต่างหาก
- THREE Balancing Cleansing Oil : เป็นออยล์ที่เราใช้มาต่อเนื่องนี่น่าจะเข้าขวดที่ 5 ได้แล้ว สิ่งที่เราชอบที่สุดคงเป็นกลิ่นของ Essential Oil ที่หอมและให้ความรู้สึกผ่อนคลายแบบสุดๆ แถมยังดึงคราบเมคอัพที่เราใช้ออกหมดไม่เหลือเลยหละ ไม่ว่าจะเป็นกันแดด เมคอัพเบส รองพื้น รวมถึงแป้งฝุ่น ที่สำคัญคือล้างออกง่าย ไม่เหนอะหน้าเหมือนออยล์บางแบรนด์
- LA ROCHE-POSAY EFFACLAR PURIFYING FOAMING GEL : เจลล้างหน้าที่ค่อนข้างอ่อนโยนอีกหนึ่งตัวที่เราแนะนำว่ามนุษย์ผิวผสม-มัน และเป็นสิวควรมีติดบ้านไว้ ด้วยความที่เค้าช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ดี หลังล้างไม่แห้งตึง และไม่ดึงความชุ่มชื้นบนผิวออกไปจนหมด แนะนำให้ไปลองเด้อ!
Exfoliating
Zelens PHA+ Bio Peel Resurfacing Facial Pads : ต้องบอกว่า Peeling Pads เป็นไอเทมที่คนอื่นๆ ใช้กันมานานแล้ว แต่เราเพิ่งก้าวเข้ามาลองเล่นได้ไม่นาน แต่ความพิเศษของ Pads ตัวนี้ คือ การ Combine กันของ AHA+BHA+PHA ในอัตราส่วนที่ Dr.Lens คิดมาแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว ซึ่งจากที่เราลองใช้ในช่วงที่ผ่านมาน้องคนนี้ก็สามารถผลัดเซลล์ผิวได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการะคายเคืองผิว ผิวโดยรวมดูเรียบเนียน และสม่ำเสมอมากขึ้น
Pre-Serum
อันที่จริงเซรั่มทั้ง 2 ขวดนี้ไม่เชิงว่าเป็น Pre-Serum หรอกครับ แต่ด้วยส่วนตัวแล้วเรามองว่าทั้ง 2 ช่วยเรื่อง Skin Barrier(เพิ่มปราการผิว) ได้ดี รวมถึงมีเนื้อสัมผัสที่เบาสบาย เราจึงใช้เป็น Pre-Serum ไปโดยปริยาย โดยทั้ง 2 ไอเทมต่างมีข้อดีที่ไม่เหมือนกันดังนี้ :
- dermArtlogy Ageless Barrier Rejuvenating Serum : เซรั่มขวดนี้เรายกให้เป็น The Best Skin Barrier Serum ของเราในตอนนี้เลย เพราะด้วยเทคโนโลยี MLE (Multi-lamella emulsion) ซึ่งทางผู้ผลิตเคลมว่าสามารถเพิ่มการนำส่งสารเข้าสู่ผิว อีกทั้งสามารถลดและป้องกันผลเสียของสเตียรอยด์ในการทำให้เกิดอาการผิวบางได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอีกหลายตัวที่ช่วยลดการอักเสบ การระคายเคืองของผิว ช่วยเพิ่มปราการผิวได้เป็นอย่างดี เราสังเกตุว่าช่วยที่เราใช้น้องคนนี้อาการอักเสบ ระคายเคืองดูเหมือนจะไม่ลุกลามไปมากขึ้น ในทางกลับกันเหมือนจะดูเบาลงอีกด้วยหละฮะ
- Lancome Adcanced Genifique Serum(สูตรใหม่) : ตั้งแต่เปิดตัวมาเราใช้น้องคนนี้อย่างต่อเนื่อง หมดแล้วก็ซื้อซ้ำมาโดยตลอด ซึ่งเอาจริงๆ ในวันที่เราได้ลองบนหน้าครั้งแรกเราไม่ได้สนใจเรื่องส่วนผสมอะไรเลยนะ แต่ที่พีคที่สุดคือเราดันลองทาแค่ครึ่งหน้าเพื่อจะถ่ายว่าก่อน-หลังทา ผลิตภัณฑ์ซึมเข้าผิวได้ดีไหม แต่ปรากฏว่าหลังผ่านไปราวๆ 5 นาทีใบหน้าด้านที่ทากลับดูอิ่มฟูขึ้น ดูกระชับขึ้นแบบรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จนเรายังแอบประหลายใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หากจะพูดถึงในแง่ของผลลัพธ์ระยะยาวที่เราได้ลองใช้มา 3 ขวด(115ml. 1 ขวด และ 30ml. 2 ขวด) แล้วหละก็เซรั่มขวดนี้ช่วยให้ผิวเราสมดุล และแข็งแรงขึ้นได้ดีมากๆ ทำให้สภาพอากาศที่ย่ำแย่ในช่วงนี้ส่งผลกระทบกับผิวหน้าเราน้อยมากเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ใช้
Booster
เชื่อว่าหลายคนกำลังทำหน้าสงสัยว่า Booster ต่างกับ Serum ยังไง ส่วนตัวแล้วเรามองว่า Booster นั้นมีความเข้มข้นที่มากกว่า และสามารถผสมรวมกับผลิตภัณฑ์บางตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นอย่างเจ้าบูสเตอร์ 2 ตัวนี้
- SKIN ACTIVES ANTIOXIDANT SERUM : เซรั่มขวดนี้ถึงแม้กลิ่นจะไม่ได้น่ารื่นรมเท่าไหร่นัก แต่กลับมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก ด้วยการใส่ Antioxidant Enzyme อย่าง SOD + Catalyst + Redox Enzymes GRX ที่ออกฤทธ์ลดผลเสียจากอนุมูลที่รอดมาทันที แถมยังมี Antioxidant ตัวปกติที่ช่วยกรองและช่วยระยะยาวอย่าง Glutathione + Magnesium Ascorbyl Phosphate + Camellia Sinensis(Green Tea) Epigallocatechin Gallate + Astaxanthin + Lycopene เรียกว่าเป็นการรวมตัวกันของ Antioxidant ที่สุดจัดปลัดบอกจริงๆ แหละฮะ เราจึงให้น้องคนนี้อยู่ในตำแหน่งบูสเตอร์ ที่ช่วยบูสต์ประสิทธิภาพของ Antioxidant รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากรังสี UV ได้ดีมากอีกตัวนึง
- Paula's Choice Peptide Booster : บูสเตอร์ขวดนี้เป็นหนึ่งในบูสเตอร์ที่มี Peptide ถึง 8 ชนิดเรียกว่ามากเป็นลำดับต้นๆ ในท้องตลาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งทางผู้ผลิตสารเค้าเคลมว่า Peptide นั้นช่วยในเรื่อง Anti-Aging ได้ดี แต่ต้องยอมรับว่าส่วนตัวแล้วเรายังไม่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยมากเท่าไหร่นัก เราจึงยังตอบไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แต่หากมองว่าส่วนผสมและงานวิจัยก็ต้องยอมรับว่าที่คือ Anti-Aging Booster ที่ทรงประสิทธิภาพตัวนึงเลยหละฮะ
Serum
และแล้วก็มาถึงกลุ่ม Serum กันบ้าง อันที่จริงเรามีเซรั่มที่เปิดใช้อยู่หลายตัว แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เรามีสิวอักเสบ และอาการระคายเคือง ดังนั้น Serum หลักที่เราใช้ในช่วงนี้จะเป็น....
BIOTHERM LIFE PLANKTON ELIXIR เป็นหลักซึ่งช่วยในเรื่องการลดการอักเสบ ระคายเคืองได้ดี ด้วยสารที่เป็นเอกสิทธิเฉพาะอย่าง LIFE PLANKTON ที่ใส่มาถึง 5% นอกจากนี้ยังมี Vitamin C,Hyaluronic Acid, Adenosine และ Faex Extract ที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้ดี อีกทั้งยังช่วยเรื่องความกระจ่างใสได้อีก เรียกว่าเป็น All in one Serum ที่เราชอบที่สุดตัวนึงเลยหละ
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปร่วมงานกับทาง Sulwhasoo และได้รับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง Sulwhasoo Bloomstay Vitalizing Serum มาลองใช้ ซึ่งจากที่เราได้พลัง Presentation และได้ดูส่วนผสมแล้วนับว่าน่าสนใจที่เดียว โดยเซรั่มขวดนี้จะเล่นในเรื่อง Anti-Pollution, Glycation และ Antioxidant เป็นหลัก แต่ที่เราชอบมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องกลิ่นที่หอมละมุนละไมสุดๆ และยังมีเนื้อสัมผัสที่ดีจนสามารถใช้แทน Moisturizer ไปได้เลยทีเดียว
Ampoules
นี่คือหมวดหมู่ไอเทมที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเราพอสมควร เรียกว่าเราเป็นน้องใหม่แห่งวงการ Ampoules เลยก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เราเลือก 2 ไอเทมนี้มามันต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน เพราะหากเพื่อนๆ มองดีๆ จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มมาเรายังไม่ได้แตะ Vitamin C อย่างเป็นจริงเป็นจังเลยนั่นก็เพราะเราปรับมาใช้ในรูปแบบ ampoules แบบนี้แทน ซึ่งทั้ง 2 ตัวก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน :
- mesoestetic proteoglycans ampoules : นอกจากแอมพลูขวดนี้จะอัดแน่นไปด้วย Vitamin C ในฟอร์ม L-Ascorbic Acid แล้วยังมี Proteoglycans ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวได้ดี อีกทั้งยังใส่ Soy extract ที่ช่วยลดและยับยั้งผลกระทบที่เกิดจากรังสียูวีได้อีกด้วย ซึ่งเรามักจะใช้เค้าในช่วงกลางวัน เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่ทะลุทะลวงยิ่งกว่าสว่านไฟฟ้า
- MARTIDERM Skin Complex +(Black Diamond) : Ampoules ขวดนี้เราจะใช้ในช่วงกลางคืนด้วยเหตุว่าเค้ามีส่วนผสมอย่าง Vitamin C & A ที่ค่อนข้างเข้มข้น ซึ่งง่ายต่อการทำให้ผิวระคายเคืองเมื่อเจอแสงแดด ด้วยความที่แอปพลูขวดนี้ก็ถือว่าเข้มข้นมาก ถ้าบำรุงมาไม่ดีหรือผิวไม่แข็งแรงแล้วหละก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายพอสมควร เราจึงใช้เฉพาะในตอนกลางคืนเพื่อที่จะได้บำรุงแบบจัดหนักจัดเต็ม และหลีกเลี่ยงรังสี UV ไปในตัว และเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในตอนกลางคืนได้ดีทีเดียวฮะ!
Whitening
และแล้วก็มาถึงอีกหนึ่งไอเทมที่เป็นไอเทมยอดฮิตของคนไทยอย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Whitening นั่นคือ ALLIANCE Bio-Taches Serum ซึ่งตัวนี้เราได้รับการป้ายยามาจากเพจ มาดามเกรียนผู้เลอโฉม ด้วยความที่มี
- Vitamin B3 และอนุพันธ์วิตามินซีอย่าง Sodium Ascorbyl Phosphate(SAP) ทำให้เซรั่มขวดนี้จึงเหมาะกับการเป็นไวท์เท็นนิ่งในช่วงที่เรามีปัญหาสิวม๊ากถึงมากที่สุด เพราะสารทั้ง 2 นั้นช่วยในเรื่องลดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ
- แถมยังใส Arbutin และ Sepiwhite ที่ช่วยลดฝ้า และกระแดดตื้นๆ
- นอกจากนี้ยังมี retinol ในเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ใส่มาด้วย เพื่อผลัดผิวแบบอ่อนโยน ไม่รุ่นแรง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ประมาณนึง
Eye Serum
ต้องออกตัวก่อนว่าปกติแล้วเราไม่ซีเรียสกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เลยจริงๆ เรามองว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่ถ้าไม่มีน้ำหอม หรือไม่มีสารที่ก่อการระคายเคืองมากเกินไป เราสามารถหยิบมาทารอบดวงตาได้หมดเลย แต่ด้วยความที่ Institut Esthederm Intensive Hyaluronic Eye Serum หลอดนี้เค้ามี Applicator ติดมาด้วยแบบนี้...
เมื่อเราหยิบออกมาจากตู้เย็นแล้วมานวดที่ใต้ตาเบาๆ พบว่าเค้าช่วยในเรื่องอาการบวมได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอย่าง Hyaluronic Acid และ Caffeine ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยล่องตื้น และอาการคล้ำใต้ตาได้ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Eye Serum ไม่ใช่ Photoshop ที่จะทำให้ริ้วรอยและความคล้ำใต้ตาหายวับไปกับตา เพราะนอกจากจะต้องให้เวลาในการฟื้นฟูผิวแล้ว คุณยังจะต้องปรับไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม รวมถึงหากคุณมีปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคภูมิแพ้ กรรมพันธ์แล้วหละก็ ต่อให้ใช้อภิมหา Eye Serum ก็ไม่ได้แก้ปัญหานั้นได้นะค๊าบ
Moisturizer
เราไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย แต่ LANCOME ABSOLUE SOFT CREAM คือ มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ให้ความรู้สึกดีที่สุดตัวนึงตั้งแต่เราเคยได้ลองมา ด้วยความเบาสบายของ Texture แต่ในขณะเดียวกันกลับมอบความชุ่มชื้นได้ยาวนาน
นอกจากนี้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบซึ่งส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบนะ แต่กลิ่นของ LANCOME ABSOLUE SOFT CREAM นี่มันช่างหอม ผ่อนคลาย ชวนให้นอนหลับฝันดีซะจริงๆ แถมหลังตื่นนอนเรารู้สึกได้ถึงความนุ่ม และความยืดหยุ่นของผิวทุกครั้งที่หยิบน้องคนนี้มาใช้ เรียกว่าเป็นไอเทมที่คุ้มค่าแก่การลงทุนทีเดียวหละ
นอกจากนี้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบซึ่งส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบนะ แต่กลิ่นของ LANCOME ABSOLUE SOFT CREAM นี่มันช่างหอม ผ่อนคลาย ชวนให้นอนหลับฝันดีซะจริงๆ แถมหลังตื่นนอนเรารู้สึกได้ถึงความนุ่ม และความยืดหยุ่นของผิวทุกครั้งที่หยิบน้องคนนี้มาใช้ เรียกว่าเป็นไอเทมที่คุ้มค่าแก่การลงทุนทีเดียวหละ
Oil
ในช่วงปีที่ผ่านมาเราเปิดในลองใช้ Oil มาขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ เรามีออยล์ที่ชอบอยู่หลายขวดด้วยกันไม่ว่าจะเป็น THREE, Clarins หรือ LHAMOUR แต่เหตุผลที่เราหยิบ PANPURI REVIVE ArunaYouth Complex Bakuchiol Age Delay Night Oil มาใช้ในช่วงนี้บ่อยที่สุดก็เพราะเนื้อสัมผัสที่เบาที่สุดจากออยล์ทั้งหมดที่เรามี ซึ่งนอกจากจะซึมไว ไม่เหนอะหนะผิวแล้วยังไม่รบกวนกับผลิตภัณฑ์ก่อนหน้านี้ที่เราลงไปอีกด้วย
ที่สำคัญคือเค้ามีสารที่เราชอบอย่าง Bakuchiol ที่ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพในการชะลอการเกิดริ้วรอย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ใกล้เคียงกับ Retinol แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสการระคายเคืองที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นสารอีกตัวที่น่าสนใจทีเดียว แต่ออยล์ขวดนี้เราจะไม่ได้ใช้ทุกวันเนื่องจากผลิตภัณฑ์บางตัวของเรามี Retinol เป็นส่วนประกอบอยู่แล้วเพื่อลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั่นเองฮะ
Sunscreen
และแล้วก็เดินทางมาถึงไอเทมสุดท้ายกันแล้ว ต้องบอกว่านี่คือไอเทมที่จำเป็นที่สุดอันนึงก็ว่าได้ นั่นคือกันแดด โดยกันแดดที่เรามักจะหยิบมาใช้บ่อยๆ ในวันที่ต้องออกแดดจัดๆ ในช่วงนี้นั่นคือ ultrasun FACE SPF50+ ซึ่งนอกจากจะกันรังสี UVA และ UVB ได้ครบและค่อนข้างเสถียรแล้ว กันแดดขวดนี้ยังมี
- GSP-T : ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงอินฟราเรด และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยปัองกันความเครียดจากอนุมูลอิสระ
- Ectoin : ที่ช่วยปรับระดับความชื้นให้เหมาะสม และลดริ้วรอยจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอาหละก็จบไปแล้วกับการอัพเดท Skincare Routine ของเรา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆ ที่มีสภาพผิว หรือปัญหาผิวคล้ายๆ กันกับเราได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ และอย่างที่เราบอกเสมอว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ Based-on สภาพผิว ไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว
ส่วนคำถามที่ว่า ใช้แล้วจะแพ้ไหม ระคายเคืองหรือไม่ สิวจะขึ้นหรือเปล่านั้น เราไม่สามารถตอบให้ได้จริงๆ เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีสภาพผิว และโอกาสแพ้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง เราแนะนำให้ลองเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนทิ้งไว้ซัก 1 คืน จากนั้นค่อยขยับไปที่ลำคอและใบหน้าตามลำดับนะครับ
ส่วนคำถามที่ว่า ใช้แล้วจะแพ้ไหม ระคายเคืองหรือไม่ สิวจะขึ้นหรือเปล่านั้น เราไม่สามารถตอบให้ได้จริงๆ เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีสภาพผิว และโอกาสแพ้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง เราแนะนำให้ลองเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนทิ้งไว้ซัก 1 คืน จากนั้นค่อยขยับไปที่ลำคอและใบหน้าตามลำดับนะครับ