Active Ingredients คืออะไร ทำไมควรรู้?
Wave1992 42 10
Active Ingredient หรือ ส่วนผสมที่เป็นตัว Active ของสกินแคร์ เวฟคิดว่าหลายๆท่านเคยได้ยินคำเหล่านี้กันมาแล้ว
Active Ingredient คืออะไร? จริงๆมันก็ คือ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มีการเคลมว่าใช้ เพื่อช่วยรักษาจุดบกพร่องตามจุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยสารดังกล่าวได้รับการทดลอง มีข้อพิสูจน์ที่มีหลักฐานและข้อมูลเก็บบันทึกผ่านงานวิจัยของสถาบันผิวหนังและศูนย์วิจัยเครื่องสำอางค์ด้วยครับ
กลุ่ม Active Ingredient สามารถแบ่งออกเป็น
1) กลุ่มสารป้องกันริ้วรอยแห่งวัย Anti-Aging ได้แก่ Vitamin A, Vitamin C, Vitamin E
2) กลุ่มให้ความชุ่มชื่น ได้แก่ Hyaluronic Acid, Vitamin E
3) กลุ่มลดเม็ดสีผิว จุดด่างดำ ได้แก่ AHA, BHA, Niacinamide
4) กลุ่มการรักษาสิว ได้แก่ Vitamin A, Salicylic Acid, Benzoyl Peroxide
สำหรับบทความนี้เวฟขอพูดถึงสาร Active ที่พบมากที่สุดในกลุ่มสกินแคร์ ได้แก่ Vitamin A, Niacinamide, Vitamin C และ AHA/BHA
Vitamin A (Retinols) ที่เป็นสาร Active นิยมใช้ในสกินแคร์กลุ่ม Anti-Aging และกลุ่มการรักษาสิว มีชื่อเรียกหลากหลาย ได้แก่ Tretinoin, Retin A, Adapalene, Differin และ Retinaldehyde แม้ว่าสารตัวนี้จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในรูขุมขน กระตุ้นการสร้างคอลาเจน แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับผิวที่บอบบาง คือ อาการผิวแห้งลอก ดังนั้นจำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวให้ความชุ่มชื่นควบคู่เสมอ
Niacinamide หรือ Vitamin B3 สารตัวนี้เป็นสารที่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในหลายๆแบรนด์นิยมใช้กัน เป็นสาร Active ที่มีคุณสมบัติช่วยลดความหมองคล้ำ ทำให้รูขุมขนบนผิวหน้ากระชับขึ้น ลดการผลิตน้ำมันและการขยายตัวของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่เรียกว่า Sebum Niacinamide ไม่ได้เป็นสารที่มีความเป็นกรด มีระดับค่า pH 4.5 อยู่ในช่วงที่เป็นกลางเหมาะกับสภาพผิวทุกประเภท ดังนั้นผิวบอบบางจึงใช้ได้ อีกทั้งสาร Active ตัวนี้ยังถูกใช้ร่วมกับสารผสมตัวอื่นๆได้ง่าย จึงเป็นที่นิยมอย่างมากครับ
Vitamin C (L-Absorbic Acid) สาร Active ตัวนี้จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้เพราะ Popular สุดๆ มีส่วนในการช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใส กระตุ้นการสร้างคอลาเจน และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง ทั้งนี้รูปแบบของ Vitamin C มีหลากหลาย เช่น Tetrahexyldocyl Ascorbate, Ascorbyl Glucoside, Magnesium Ascorbyl Phosphate เป็นต้น
AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid ได้จากนมหรือกรดในผลไม้ เป็นกรดอ่อนๆที่ถูกนำมาใช้เพื่อการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เมื่อ AHA เกิดการทำปฎิกิริยาบนผิวหนังชั้นนอก จะทำให้เซลล์ผิวที่ตายหลุดออกได้ง่ายขึ้น สาร AHA จะลงลึกสู่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังและช่วยในการทำความสะอาด ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน อันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว สำหรับกลุ่ม AHA ที่พบเห็นในผลิตภัฑณ์ที่มีขายจะมาในรูปของ Glycolic Acid, Lactic Acid, Tartaric Acid, Mendelic Acid และ Citric Acid รูปแบบที่ต่างกันก็มีผลต่อการทำงานของ AHA เช่น Glycolic Acid จะเป็นรูปของ AHA ที่มีโมเลกุลที่เล็กที่สุด จึงมีความสามารถในการลงลึกสู่ชั้นรูขุมขนได้ดีกว่ารูปแบบ AHA ตัวอื่นๆ ในขณะที่ Lactic Acid จะเป็น AHA ที่อ่อนโยนเหมาะกับผิวบอบบางมากที่สุดครับ
BHA หรือ Beta Hydroxy Acid ใครที่มีปัญหาสิว ผิวผด สิวอุดตัน คงเคยได้ยินสาร Active ตัวนี้แน่นอนครับ BHA ทำหน้าที่คล้ายกับ AHA ในส่วนของการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่มีความสามารถในการลงลึกสู่ต่อมไขมัน หรือ Sebum ได้ดีกว่า ซึ่ง BHA จะทำการขจัดแบคทีเรียที่อยู่ในต่อมไขมันและลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินที่มากเกินไป ทำให้รูขุมขนสะอาด ไม่มีแบคทีเรียและสิ่งสกปรกสะสม จึงส่งผลให้รูขุมขนกระชับ ลดการเกิดสิวอุดตันและสิวลงได้ครับ
หลังจากที่เข้าใจหลักการสำคัญของสาร Active ข้างต้นไปแล้ว เวฟจะขอพูดถึงสาร Active ที่ใช้ร่วมกันแล้วช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพกันและกันครับ เวฟขอยกตัวอย่างตามที่ได้ทำการค้นคว้ามานะครับ
1) Hyaluronic Acid + Vitamin C สารทั้ง 2 หากใช้ร่วมกันจะทำให้การทำงานของสารดีขึ้นเป็นเท่าตัวครับ ได้ทั้งความชุ่มชื่นไปพร้อมๆกับความกระจ่างใส ซึ่งใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องระดับค่า pH ครับ
2) Vitamin A + Niacinamide (B3) สาร 2 ตัวนี้ใช้ร่วมกันเป็นดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่ผิวบอบบางหรือคนที่กำลังเริ่มใช้ Vitamin A เพื่อป้องกันริ้วรอย อย่างที่ทราบกันดีว่า Vitamin A มีผลข้างเคียงเรื่องการทำให้ผิวแห้งลอกได้ การเสริม Niacinamide จะเป็นตัวที่เข้าไปช่วยปลอบประโลมและบรรเทาผลข้างเคียงจากการใช้ Vitamin A ครับ นอกจากนี้ Niacinamide ยังมีส่วนในการช่วยการสร้าง Ceramide ในชั้นผิว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการสร้าง Skin Barrier (เกราะป้องกันผิว) ให้แข็งแรงอีกด้วย
3) Niacinamide (B3) + Vitamin C จากงานวิจัยพบว่าสาร 2 ตัวนี้ใช้ร่วมกันได้ ช่วยทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ดูขาวกระจ่างใส จุดด่างดำลดลง รวมทั้งยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวอีกด้วย
4) Vitamin C + Vitamin E + Ferulic Acid ตามที่เราทราบกันดีว่า Vitamin C มีประโยชน์ต่อผิวมาก แต่ความเสถียรมีน้อย เจออากาศและอุญหภูมิที่ไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมประสิทธิภาพได้ง่าย แต่เมื่อนำเอา Vitamin E และ Ferulic Acid มาผสมเข้าด้วยกัน กลับเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรให้กับ Vitamin C มากขึ้น นอกจากนี้ Vitamin E ก็มีส่วนสำคัญในการลดการระคายเคืองจากกรดที่มีใน Vitamin C ต่อผิวหนังได้ ในขณะที่ Ferulic Acid ก็ช่วยป้องกัน UV ที่ทำลายชั้นผิวหนังได้ดี ดังนั้น 3 ตัวนี้รวมกันจึงเป็น Super Anti Aging ก็ว่าได้
การใช้สกินแคร์ที่มีสาร Active ควรจะทาอย่างไร เวฟมีวิธีง่ายๆ คือ
1) เลือกทาตามประเภทของเนื้อผลิตภัณฑ์ โดยเลือกจากตัวที่เป็นน้ำ (Water Based) เป็นหลักลงก่อน แล้วจึงตามด้วยผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆที่มีความเข้มข้นตามสภาพเนื้อสัมผัส (บางเบา/เหลว→ หนา/ข้น)
2) อีกวิธีการที่สำคัญและอาจจะยากสักนิดก็คือ การดูจากค่า pH
สำหรับค่าความเป็นกรด-ด่าง มีตั้งแต่ 0-14 ซึ่งค่า pH ของผิวนั้นจะอยู่ระหว่าง 4.5-5.5 ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์ใดยิ่งค่า pH ต่ำมากเท่าใด การดูดซึมของสาร Active ก็มีมากเท่านั้น ดังนั้นการทาสาร Active ที่มีความเป็นกรดต่ำๆอย่าง AHA, BHA และ Vitamin C ซึ่งมีค่า pH ระหว่าง 2.5-4.0 จึงควรทาเป็นตัวแรกๆของ Skincare Routine (ขั้นตอนการบำรุงผิว) ในขณะที่ Vitamin A, Hyaluronic Acid หรือกลุ่มน้ำมันสกัดจากพืช เช่น Rosehip Oil ที่มีค่า pH ระหว่าง 4.5-7.0 ซึ่งค่า pH นี้ เป็นระดับค่า pH ที่ไม่ค่อยระคายเคืองผิว จึงให้ทาตามมาทีหลังได้ ซึ่งสรุปง่ายๆ คือ ลงสกินแคร์ที่มีสาร Active ที่ค่า pH ความเป็นกรดต่ำก่อน แล้วตามด้วยตัวที่มีค่า pH สูงกว่าครับ
บทความนี้เวฟได้ทำการศึกษาและเขียนขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาร Active ให้กับเพื่อนๆที่รักการใช้สกินแคร์ครับ จะมองว่าเป็นภาคทฤษฏีก็ว่าได้ เวฟอยากให้เพื่อนๆใช้สกินแคร์กันอย่างมีความรู้ สามารถนำเอาความรู้ตรงนี้ไม่มากก็น้อยไปประยุกต์ใช้กับสกินแคร์ที่มีอยู่หรือตัวที่กำลังมองหาอยู่ในอนาคตได้ครับ หลายๆครั้งที่เวฟจะเห็นคนโพสถามว่า เรียงลำดับใช้ถูกไหม อะไรควรลงก่อนหรือหลัง ใช้แบบนี้ได้ไหม มีสารที่ควรเลี่ยงใช้ไหม เวฟคิดว่าถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจสักนิด การเลือกและการใช้สกินแคร์ก็จะง่ายขึ้น เพิ่มความปลอดภัยให้กับผิวเราด้วยครับ ทุกรีวิวเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้ใช้ ไม่ใช่เป็นตัวแทนผิวหน้าของเราครับ ดังนั้นมีวิจารณญาณ ศึกษาข้อมูลแล้วก็ทำความเข้าใจผิวหน้าของตนครับ เท่านี้การดูแลผิวและการรักษาผิวก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
Active Ingredient คืออะไร? จริงๆมันก็ คือ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มีการเคลมว่าใช้ เพื่อช่วยรักษาจุดบกพร่องตามจุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยสารดังกล่าวได้รับการทดลอง มีข้อพิสูจน์ที่มีหลักฐานและข้อมูลเก็บบันทึกผ่านงานวิจัยของสถาบันผิวหนังและศูนย์วิจัยเครื่องสำอางค์ด้วยครับ
กลุ่ม Active Ingredient สามารถแบ่งออกเป็น
1) กลุ่มสารป้องกันริ้วรอยแห่งวัย Anti-Aging ได้แก่ Vitamin A, Vitamin C, Vitamin E
2) กลุ่มให้ความชุ่มชื่น ได้แก่ Hyaluronic Acid, Vitamin E
3) กลุ่มลดเม็ดสีผิว จุดด่างดำ ได้แก่ AHA, BHA, Niacinamide
4) กลุ่มการรักษาสิว ได้แก่ Vitamin A, Salicylic Acid, Benzoyl Peroxide
สำหรับบทความนี้เวฟขอพูดถึงสาร Active ที่พบมากที่สุดในกลุ่มสกินแคร์ ได้แก่ Vitamin A, Niacinamide, Vitamin C และ AHA/BHA
Vitamin A (Retinols) ที่เป็นสาร Active นิยมใช้ในสกินแคร์กลุ่ม Anti-Aging และกลุ่มการรักษาสิว มีชื่อเรียกหลากหลาย ได้แก่ Tretinoin, Retin A, Adapalene, Differin และ Retinaldehyde แม้ว่าสารตัวนี้จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในรูขุมขน กระตุ้นการสร้างคอลาเจน แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับผิวที่บอบบาง คือ อาการผิวแห้งลอก ดังนั้นจำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวให้ความชุ่มชื่นควบคู่เสมอ
Niacinamide หรือ Vitamin B3 สารตัวนี้เป็นสารที่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในหลายๆแบรนด์นิยมใช้กัน เป็นสาร Active ที่มีคุณสมบัติช่วยลดความหมองคล้ำ ทำให้รูขุมขนบนผิวหน้ากระชับขึ้น ลดการผลิตน้ำมันและการขยายตัวของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่เรียกว่า Sebum Niacinamide ไม่ได้เป็นสารที่มีความเป็นกรด มีระดับค่า pH 4.5 อยู่ในช่วงที่เป็นกลางเหมาะกับสภาพผิวทุกประเภท ดังนั้นผิวบอบบางจึงใช้ได้ อีกทั้งสาร Active ตัวนี้ยังถูกใช้ร่วมกับสารผสมตัวอื่นๆได้ง่าย จึงเป็นที่นิยมอย่างมากครับ
Vitamin C (L-Absorbic Acid) สาร Active ตัวนี้จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้เพราะ Popular สุดๆ มีส่วนในการช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใส กระตุ้นการสร้างคอลาเจน และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง ทั้งนี้รูปแบบของ Vitamin C มีหลากหลาย เช่น Tetrahexyldocyl Ascorbate, Ascorbyl Glucoside, Magnesium Ascorbyl Phosphate เป็นต้น
AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid ได้จากนมหรือกรดในผลไม้ เป็นกรดอ่อนๆที่ถูกนำมาใช้เพื่อการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เมื่อ AHA เกิดการทำปฎิกิริยาบนผิวหนังชั้นนอก จะทำให้เซลล์ผิวที่ตายหลุดออกได้ง่ายขึ้น สาร AHA จะลงลึกสู่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังและช่วยในการทำความสะอาด ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน อันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว สำหรับกลุ่ม AHA ที่พบเห็นในผลิตภัฑณ์ที่มีขายจะมาในรูปของ Glycolic Acid, Lactic Acid, Tartaric Acid, Mendelic Acid และ Citric Acid รูปแบบที่ต่างกันก็มีผลต่อการทำงานของ AHA เช่น Glycolic Acid จะเป็นรูปของ AHA ที่มีโมเลกุลที่เล็กที่สุด จึงมีความสามารถในการลงลึกสู่ชั้นรูขุมขนได้ดีกว่ารูปแบบ AHA ตัวอื่นๆ ในขณะที่ Lactic Acid จะเป็น AHA ที่อ่อนโยนเหมาะกับผิวบอบบางมากที่สุดครับ
BHA หรือ Beta Hydroxy Acid ใครที่มีปัญหาสิว ผิวผด สิวอุดตัน คงเคยได้ยินสาร Active ตัวนี้แน่นอนครับ BHA ทำหน้าที่คล้ายกับ AHA ในส่วนของการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่มีความสามารถในการลงลึกสู่ต่อมไขมัน หรือ Sebum ได้ดีกว่า ซึ่ง BHA จะทำการขจัดแบคทีเรียที่อยู่ในต่อมไขมันและลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินที่มากเกินไป ทำให้รูขุมขนสะอาด ไม่มีแบคทีเรียและสิ่งสกปรกสะสม จึงส่งผลให้รูขุมขนกระชับ ลดการเกิดสิวอุดตันและสิวลงได้ครับ
หลังจากที่เข้าใจหลักการสำคัญของสาร Active ข้างต้นไปแล้ว เวฟจะขอพูดถึงสาร Active ที่ใช้ร่วมกันแล้วช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพกันและกันครับ เวฟขอยกตัวอย่างตามที่ได้ทำการค้นคว้ามานะครับ
1) Hyaluronic Acid + Vitamin C สารทั้ง 2 หากใช้ร่วมกันจะทำให้การทำงานของสารดีขึ้นเป็นเท่าตัวครับ ได้ทั้งความชุ่มชื่นไปพร้อมๆกับความกระจ่างใส ซึ่งใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องระดับค่า pH ครับ
2) Vitamin A + Niacinamide (B3) สาร 2 ตัวนี้ใช้ร่วมกันเป็นดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่ผิวบอบบางหรือคนที่กำลังเริ่มใช้ Vitamin A เพื่อป้องกันริ้วรอย อย่างที่ทราบกันดีว่า Vitamin A มีผลข้างเคียงเรื่องการทำให้ผิวแห้งลอกได้ การเสริม Niacinamide จะเป็นตัวที่เข้าไปช่วยปลอบประโลมและบรรเทาผลข้างเคียงจากการใช้ Vitamin A ครับ นอกจากนี้ Niacinamide ยังมีส่วนในการช่วยการสร้าง Ceramide ในชั้นผิว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการสร้าง Skin Barrier (เกราะป้องกันผิว) ให้แข็งแรงอีกด้วย
3) Niacinamide (B3) + Vitamin C จากงานวิจัยพบว่าสาร 2 ตัวนี้ใช้ร่วมกันได้ ช่วยทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ดูขาวกระจ่างใส จุดด่างดำลดลง รวมทั้งยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวอีกด้วย
4) Vitamin C + Vitamin E + Ferulic Acid ตามที่เราทราบกันดีว่า Vitamin C มีประโยชน์ต่อผิวมาก แต่ความเสถียรมีน้อย เจออากาศและอุญหภูมิที่ไม่เหมาะสมก็จะเสื่อมประสิทธิภาพได้ง่าย แต่เมื่อนำเอา Vitamin E และ Ferulic Acid มาผสมเข้าด้วยกัน กลับเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรให้กับ Vitamin C มากขึ้น นอกจากนี้ Vitamin E ก็มีส่วนสำคัญในการลดการระคายเคืองจากกรดที่มีใน Vitamin C ต่อผิวหนังได้ ในขณะที่ Ferulic Acid ก็ช่วยป้องกัน UV ที่ทำลายชั้นผิวหนังได้ดี ดังนั้น 3 ตัวนี้รวมกันจึงเป็น Super Anti Aging ก็ว่าได้
การใช้สกินแคร์ที่มีสาร Active ควรจะทาอย่างไร เวฟมีวิธีง่ายๆ คือ
1) เลือกทาตามประเภทของเนื้อผลิตภัณฑ์ โดยเลือกจากตัวที่เป็นน้ำ (Water Based) เป็นหลักลงก่อน แล้วจึงตามด้วยผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆที่มีความเข้มข้นตามสภาพเนื้อสัมผัส (บางเบา/เหลว→ หนา/ข้น)
2) อีกวิธีการที่สำคัญและอาจจะยากสักนิดก็คือ การดูจากค่า pH
สำหรับค่าความเป็นกรด-ด่าง มีตั้งแต่ 0-14 ซึ่งค่า pH ของผิวนั้นจะอยู่ระหว่าง 4.5-5.5 ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์ใดยิ่งค่า pH ต่ำมากเท่าใด การดูดซึมของสาร Active ก็มีมากเท่านั้น ดังนั้นการทาสาร Active ที่มีความเป็นกรดต่ำๆอย่าง AHA, BHA และ Vitamin C ซึ่งมีค่า pH ระหว่าง 2.5-4.0 จึงควรทาเป็นตัวแรกๆของ Skincare Routine (ขั้นตอนการบำรุงผิว) ในขณะที่ Vitamin A, Hyaluronic Acid หรือกลุ่มน้ำมันสกัดจากพืช เช่น Rosehip Oil ที่มีค่า pH ระหว่าง 4.5-7.0 ซึ่งค่า pH นี้ เป็นระดับค่า pH ที่ไม่ค่อยระคายเคืองผิว จึงให้ทาตามมาทีหลังได้ ซึ่งสรุปง่ายๆ คือ ลงสกินแคร์ที่มีสาร Active ที่ค่า pH ความเป็นกรดต่ำก่อน แล้วตามด้วยตัวที่มีค่า pH สูงกว่าครับ
บทความนี้เวฟได้ทำการศึกษาและเขียนขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาร Active ให้กับเพื่อนๆที่รักการใช้สกินแคร์ครับ จะมองว่าเป็นภาคทฤษฏีก็ว่าได้ เวฟอยากให้เพื่อนๆใช้สกินแคร์กันอย่างมีความรู้ สามารถนำเอาความรู้ตรงนี้ไม่มากก็น้อยไปประยุกต์ใช้กับสกินแคร์ที่มีอยู่หรือตัวที่กำลังมองหาอยู่ในอนาคตได้ครับ หลายๆครั้งที่เวฟจะเห็นคนโพสถามว่า เรียงลำดับใช้ถูกไหม อะไรควรลงก่อนหรือหลัง ใช้แบบนี้ได้ไหม มีสารที่ควรเลี่ยงใช้ไหม เวฟคิดว่าถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจสักนิด การเลือกและการใช้สกินแคร์ก็จะง่ายขึ้น เพิ่มความปลอดภัยให้กับผิวเราด้วยครับ ทุกรีวิวเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้ใช้ ไม่ใช่เป็นตัวแทนผิวหน้าของเราครับ ดังนั้นมีวิจารณญาณ ศึกษาข้อมูลแล้วก็ทำความเข้าใจผิวหน้าของตนครับ เท่านี้การดูแลผิวและการรักษาผิวก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปครับ
ขอบคุณครับ