Tom Cruise ปรี๊ดแตกกลางกองถ่ายMI7: Bully หรือ Professional?

53 7
ข่าวคราวของงพระเอกระดับโลกที่ระเบิดอารมณ์ใส่ทีมงานบางคนที่ไม่รักษากฎรักษาระยะห่างจากมาตรการป้องกัน Covid ในกองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ได้กลายเป็นหัวข้อข่าวอื้อฉาวสร้างเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง   ความโกรธเกรี้ยวถึงขั้นผรุสสวาทคำหยาบคายถูกแทบลอยด์ดังนำมาขยายความและขุดคุ้นถึงต้นตอปัญหาและสร้างเสียงถกเถียงว่า  นี่คือวิธีจัดการที่สมเหตุสมผล  หรือเป็นการปฏิบัติกับพนักงานตัวเล็กๆที่รุนแรงจนเกินไป ?

เบื้องหลังของดราม่า Tom Cruise  ปรี๊ดจัดกลางกองถ่าย MI 7 จะเป็นเช่นไร  มาติดตามกันค่ะ


นับตั้งแต่ทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ระบาด หลากหลายวงการธุรกิจก็ถึงคราวชะงักงันจนถึงขั้นวิกฤติ ภายใต้วิถีชีวิตที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันไม้ให้โรคระบาดในวงกว้าง ยังมีความพยายามดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมบันเทิงให้อยู่รอด โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ที่ซบเซาจนใจหาย เพราะในบางประเทศ ไม่ต้องเอ่ยถึงการจองตั๋วชมหนังในโรง เพราะผู้คนยังไม่สามารถวางใจเดินทางไปเยี่ยมเยียนครอบครัวซะด้วยซ้ำ

การลงทุนสร้างหนังที่อยู่ในคาบเกี่ยวระยะโรคระบาดจึงเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงมากกว่ายามปกติมากนัก แม้แต่หนังที่ถ่ายทำเสร็จไปก่อนหน้าก็ยังเลื่อนวันฉายในโรงออกไปเพราะเกรงว่าจะไร้คนดู ส่วนที่ยังกำลังถ่ายทำอยู่ ก็อาจจะต้องเจอกับอุปสรรคหนักหน่วง ทั้งถูกปิดกองถ่าย งบประมาณบานปลาย แน่นอนว่า การวางกฎอันเคร่งครัดรัดกุมเพื่อป้องกันการระบาดในกองถ่ายจะมีความสำคัญเพื่อให้การสร้างผลงาน "ไปรอด" และไปลุ้นกันภายหลังว่า สถานการณ์จะคลี่คลายเปิดโอกาสให้หนังกลับมาโกยกำไรมหาศาลเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่


หนัง Mission: Impossible 7 ก็ต้องเผชิญกับความกดดันอันหนักหน่วงเช่นกัน

ใครบางคนในกลุ่มทีมงานได้บันทึกเสียงของพระเอกหนุ่มใหญ่ที่ฟังดูโกรธจัดเมื่อพบว่าทีมงานบางคนละเลยกฎรักษาระยะห่าง และส่งมันให้กับ The Sun   
 - เขาต้องการรักษามาตรฐานในการป้องกันโรคระบาดในขั้นสูงระดับทอง  และประกาศว่า เพราะเคร่งครัดกันเพียงนี้ จึงเป็นแบบอย่างให้กับนักสร้างหนังHollywoodให้กลับมาเดินหน้าถ่ายทำหนังอีกครั้ง



- เขาต้องถกกับสตูดิโอ บริษัทประกัน และโพรดิวเซอร์ทุกคืน และเพราะงานนี้ก็ทำให้เกิดการสร้างอาชีพนับพันตำแหน่ง


- ยื่นคำขาดกับทีมงานว่า หากทำผิดซ้ำอีกครั้ง จะต้องเจอไล่ออก โดยจะไม่รับฟังคำขอโทษใดๆทั้งนั้น และท้าให้ไปเสนอหน้าบอกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมหนังที่ต้องปิดตัวจนสูญเสียบ้าน ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองหรือส่งเสียเรื่องการศึกษาได้

- เขาเคร่งเครียดกับอนาคตของวงการนี้ทุกคืน จึงจะไม่ยอมรับคำขอโทษ ถ้าไม่รับฟังคำสั่งก็ต้องออกไป และเขาจะไม่ยอมให้หนังต้องถูกยกเลิกเป็นอันขาด


- ย้ำเตือนให้ทุกคนมีสติ รู้จักรับผิดชอบและเหตุผล เพราะถ้าหนังเรื่องนี้ต้องปิดการถ่ายทำไป ก็จะคนอีกมากมายที่ต้องสูญงานไปด้วย


- แม้จะมีความห่วงใยให้ทีมงาน แต่ถ้ายังไม่ร่วมด้วยช่วยกันก็ไปต่อไม่ได้ และกำชับให้คนที่เห็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่รักษาระยะห่างส่งชื่อกับคนที่รับผิดชอบดูแล




ฟังดูแล้วการตักเตือนนี้ไม่ได้ไร้เหตุผลแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้เรับหน้าที่นักแสดงนำเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งใน producer ที่ต้องควบคุมดูแลการสร้างหนัง     แต่ก็มีเสียงคัดค้านออกมาว่า การตะเบ็งเสียงและสบถคำหยาบคายออกมาหลายครั้งไม่ใช่ภาพของผู้นำที่มีวุฒิภาวะ แต่เป็นการคุกคามผู้น้อยด้วยอำนาจในมือ แต่ก็มีคนอีกมากที่คิดว่า แม้ Tom Cruise จะระเบิดอารมณ์ใส่ทีมงาน แต่ใจความคำพูดของเขาต่างหากที่สำคัญกว่า คนที่ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎต่างหากที่ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับผิด เพราะพวกเค้าไม่กี่คนอาจจะทำให้คนอีกมากมายต้องซวยตามกันไปหมดหากกองถ่ายถูกสั่งปิดอีกครั้ง





รายงานล่าสุด  ทีมงานขอลาออกไปแล้วห้าคนเพราะบรรยากาศที่กดดันสะสมมานานหลายเดือน  ไม่ใช่แค่เรื่องผิดกฎ social distance คราวนี้เท่านั้น

แหล่งข่าว ได้บอกเล่าเรื่องความขัดแย้งในกองถ่ายทำ Mission Impossible กับ the Sun ไว้ว่า หลังจากที่ Tom Cruise ได้ "ตักเตือน" ทีมงานสองคนที่ยืนอยู่ใกล้กันเกินไปด้วยโทสะร้อนแรง ทีมงานห้าคนได้ตัดสินใจลาออกจากกองถ่ายเมื่อข้อมูลตกไปอยู่ในมือสื่อจนรับรู้กันไปทั่วโลก เพราะในกองถ่ายมีความคุกรุ่นไปด้วยความขัดแย้งมาหลายเดือนแล้ว




"มันเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้าย เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยก็ยิ่งสร้างความโกรธเกรี้ยวเพิ่มขึ้นมาอีก หลายคนจึงลาออก แต่ Tom รับไม่ได้ที่ถ่ายทำกันมามากขนาดนี้ เขาโมโหที่คนอื่นไม่ได้ทุ่มเทอย่างจริงจังเทียบเท่ากับเขา ในที่สุดก็ต้องแบกความกดดันนี้ไว้"

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในกองถ่าย MI : 7 ต้องพบกับวิกฤติเมื่อพบผู้ติดเชื้อ COVID ถึง 12 คน ทำให้ไ่สามารถดำเนินการถ่ายทำให้เสร็จสิ้นตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ เงินทุนบานปลายออกไป 7 หลัก และยังมีรายงานตัวพระเอกผู้โด่งดังก็ยังทุ่มเงินราวๆ 675,000 ดอลลาร์เพื่อเช่าเรือใหญ่ให้เป็นที่พักให้กับทีมงานเพื่อตัดการติดต่อจากความเสี่ยงในการติดเชื้อจากภายนอก



มาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะมองภาพออกแล้วว่า เหตุใด Tom จึงไม่สามารถปล่อยวางให้การถ่ายทำชะลอได้อีก




เมื่อสองปีที่แล้ว  Mission: Impossible – Fallout  ทำราบได้ไปอย่างสวยงามที่ $791.1 ล้าน   รวมไปถึงตัวเลขรายได้จากหกภาคที่สูงถึง $3,570 ล้าน (จากเงินลงทุน $828 ล้าน) ก็นับได้ว่า นี่คือ franchise หนังที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม   ยิ่งสร้างภาคต่อ รายได้ยิ่งพุ่ง     ภาพของ Ethan Hunt ได้กลายมาเป็นบทในตำนานเคียงคู่กับ Tom ไปแล้ว  ในวัยเฉียดๆ 60  เขาเคยบาดเจ็บหนักจากการแสดงฉาก action โดยไม่ใช้ stuntman   แต่อุบัติเหตุที่ผ่านมาอาจจะสร้างความตึงเครียดไม่มากเท่ากับวิกฤติโรคระบาด   เพราะเขาได้ประจักษ์มาก่อนแล้วว่า  หากหนังเรื่องนี้ล้มลงไปผลกระทบจะอยู่ที่มดงานทั้งหลาย  ไม่ใช่แค่นายทุนที่มี option อื่นๆให้รอดพ้นไปได้


Cancel Culture กับชื่อเสียงในด้านลบของ Top Star

ดราม่าชาวเน็ทพยายาม cancel พิธีกรชั้นนำอย่าง  Ellen DeGeneres  ด้วยข้อกล่าวหาสร้างบรรยากาศ"เป็นพิษ" ในสถานที่ทำงาน และไม่ให้เกียรติพนักงานตัวเล็กๆรวมถึงแขกรับเชิญที่ไม่ใช่A Lister   ทำให้มีคนนำมาเปรียบเทียบจับผิด Tom Cruise ว่า หรือเขาก็คอยใช้อารมณ์เพื่อนร่วมงานมาก่อน   เพราะ  Thandie Newton นางเอกที่เคยประชันบทบาทคู่กันใน Mission Impossible  ก็เคยออกมาแฉมาก่อนหน้านี้ว่า พฤติกรรมสุดโต่งของ Tom ทำให้เธอรู้สึก "หวาดกลัว"
นางเอกจากอังกฤษระบุว่า

- เธอกลัวเกรง Tom Cruise มาก เขามีนิสัยที่ชอบบงการ แม้จะพยายามเต็มที่เพื่อทำตัวแสนดี แต่มีออร่าความกดดันจนทำให้อึดอัด

- เขาพยายามทำทุกสิ่งให้ดีเท่าที่สุดเท่าที่มันจะเป็นได้ พวกเค้าเคยมีปัญหากันเรื่องบทพูดของเธอที่ไม่ตรงใจกับสิ่งที่ Tom ต้องการ หลังจากพยายามกันซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาบีบให้เธอซ้อมโดยสลับบทกันให้เธอเล่นแทนเขา ส่วนเขาแสดงเป็นเธอ และเธอเชื่อว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และการแสดงออกของเขาทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวและหมดความมั่นใจ

- การถ่ายทำคืนนั้นย่ำแย่มากจนเธอต้องโทรหา Jonathan Demme (ผู้กำกับThe Silence of the Lambs) และเล่าให้เขาฟังว่า คืนนั้นเป็นเหมือนฝันร้าย ทำให้เธอเชื่อว่าตัวเองเป็นตัวถ่วง แต่ผู้กำกับดังกลับเตือนเธอว่า ทำไมรู้จักลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง เมื่อเธอได้รับคำแนะนำแล้วก็คิดว่า Tom จะโทรมาขอโทษ (หลังจากกดดันเธออย่างหนัก) แต่ที่จริงแล้วเขาโทรมานักเธอเพื่อถ่ายฉากนั้นใหม่ ในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่า เขาอยากจะให้เธอเล่นเป็นนางร้ายสุดขั้ว

- ผู้กำกับไม่ได้มีบทบาทเท่า Tom ด้วยซ้ำ เพราะ John Wu พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง และคนที่มีอำนาจสั่งการดูจะเป็นพระเอกเป็นหลัก

- เขาไม่ได้ทำตัวร้ายกาจ แต่มีความตึงเครียดสูงมากจริงๆ และการเปิดเผยครั้งนี้ทำให้มีคนกังวลแทนเธอว่า การออกมาพูดในแง่ลบต่อพระเอกทรงอิทธิพลใน Hollywood อาจจะมีผลกระทบตามมา

- แต่เธอต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีกำลังใจหลั่งไหลเข้ามาหลังจากที่เธอเปิดปากพูดเรื่องนี้


ด้านของ Tom Cruise ที่Thandie ได้บรรยายนั้น ดูสอดคล้องกับเจ้าของเสียงตะโกนใส่ทีมงานในเทปที่ถูกปล่อยออกมา

แต่การแสดงความกราดเกรี้ยวของเจ้านายที่ไม่ต้องการเห็นความผิดพลาดใดๆที่จะนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวง เป็นการกระทำรุนแรงเกินควรหรือไม่ ?


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกายทำในอังกฤศ ตัวแทนสหภาพแรงงานภาคสื่อสารมวลชนและธุรกิจบันเทิงแห่งสหราชอาณาจักรได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ทีมงานในกองถ่ายหนังก็ได้พบกับความยากลำบากในการทำงานในวงการนี้เช่นกัร พวกเค้าจึงไม่สมควรจะต้องพบกับการล่วงละเมิดด้วยเสียงตะคอกและขู่จะไล่ออกจากนักแสดงผู้ร่ำรวยเงินทอง


ส่วน George Clooney พระเอกหนุ่มใหญ่ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งได้วิจารณ์ว่า เข้าใจสถานการณ์ ต่มันไม่ใช่ style ของเขาที่จะแสดงออกไปเช่นนั้น

" ผมจะไม่ทำให้เป็นเรื่องรุนแรงขนาดนั้น ผมคงไม่ไล่ใครออกครับ ในเมือคุณมีอำนาจอยู่ในมือ และมันก็มีความเสี่ยง ต้องรับผิดชอบทุกๆคนและสิ่งที่เขาพูดก็ถูกต้อง ถ้าการถ่ายทำถูกปิด หลายคนก็จะตกงาน ทุกคนควรเข้าใจในเรื่องนี้และมีความรับผิดชอบ แต่มันไม่ใช่ style ของผมที่จะกดดันทุกคนออกไปแบบนั้น" และอธิบายว่า เขาคงเลือกที่จะเรียกคุยกับคนที่ทำผิดเป็นการส่วนตัว แต่ก็ไม่สามารถให้ความเห็นได้เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก่อนที่จะมีการอัดเสียง



ส่วน Scott Derrickson ผู้กำกับหนัง Doctor Strange ได้ออกความคิดเห็นกลางๆ ว่า จะไม่ออกตัวปกป้อง Tom Cruise ที่ตะคอกใส่ทีมงานอย่างดุดัน เพราะเขาเชื่อว่า มันไม่ใช่สิ่งมีความจำเป็นและยอมรับได้ในการทำงานที่กองถ่าย แต่การตำหนิด้วยถ้อมคำรุนแรงก้จะสมเหตุสมผลขึ้นมาหากมีคนละเลยเรื่องการรักษามาตรฐานเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพ

ยังมีชาว Hollywood แีหลายคนที่แสดงตัวชัดเจนว่า Team Tom และเห็นพ้อวต้องกันว่า คำพูดของเขานั้นโดนใจสุดๆและอยากให้มาตะโกนด่าพวกที่ไม่รักษากฎที่พบเจอในที่สาธารณะซะด้วยซ้ำ








แต่เสียงสนับสนุนเหล่านั้นก็มาพร้อมกับคำวิจารณ์เผ็ดร้อน นอกจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับการตะโกนด่าว่าลูกน้อง ก็ยังมีคนที่ทีอคติต่อลัทธิ Scientology ที่ Tom เป็นสาวกคนสำคัญ โดยเฉพาะ Leah Remini นางเอกอดีตสาวกลัทธินี้ เธอเคยแฉเบื้องหลังของการเข้าร่วมscientology และยังพาดพิง Tom มาแล้วหลายครั้ง

และครั้งนี้ เธอเขียนบทความยืดยาวเพื่อชี้ให้เห็นว่าการปล่อยเทปเสียงออกมาสร้างดราม่าคือวิธีการประชาสัมพันธ์เท่านั้น เพราะการป้องกันตัวจากโรคระบาดนั้นสวนทางกับความเชื่อทางศาสนาของพระเอก Mission Impossible


- scientology เชื่อว่า หากไม่ไปเกี่ยวข้องกับคนที่ถูกเรียกว่า SP (suppressive persons ผู้ต่อต้านลัทธิ) ก็จะไม่ป่วยไข้



- เขาทอดทิ้งลูกสาวแท้ๆ โดยไม่ใช้เวลากับเธอมานานแล้ว เพราะเธอคือ PTS (Potential Trouble Source ผู้ที่แนวโน้มเป็นตัวปัญหา) เพราะมีแม่ที่ตัดขาดกับลัทธิไปแล้ว สาวกผู้เลื่อมใสจะถูกปล่อมเกลาให้เชื่อว่า จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ทำตัวใกล้ชิดกับผู้ที่ไม่มีความเชื่อแบบเดียวกัน ส่วน Tom เป็น Scientologist ระดับสูงและยังมีฐานะและชื่อเสียงจึงสามารถอยู่ใกล้กับ PTS ได้ในช่วงสั้นๆ


- ผู้นำลัทธิเรียก COVID ว่า เกมเหยื่อล่อกระทิงระดับโลก เปรียบเทียบกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ชาวโลกเกิดปฏิกิริยาต่างๆ สาวกจึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับโรคระบาด แต่สามารถใช้ชีวิตปกติและอุทิศตนให้กับกิจกรรมของลัทธิไปดังเดิม


- หากเห็นคนจากลัทธินี้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างการใส่ mask และแสดงความห่วงใยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้เชื่อว่ามันเป็นการแสดงเพื่อpr ตัวเอง


- พฤติกรรมของ Tom ที่ถูกเผยแพร่อออกมาแสดงถึงตัวตนจริงของเขาที่มีความรุนแรง เธอเคยเจอกับตัวเอง แต่ไม่ได้รุนแรงในระดับนี้ และยังเคยรับรู้จากแฟนเก่า พนักงาน และเพื่อนๆของเขา เมื่อสต๊าฟอบขนมโดยใช้ส่วนผสมที่ไม่ตรงตามที่ต้องการ หรือหากผู้ช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่มในแก้วที่มีรอยบิ่น Tom ก็จะระเบิดความโกรธเช่นนี้


-เขาไม่ได้มีจิตใจเอื้ออาทรอยากช่วยเหลือคนอื่น เขาไม่ได้ห่วงใยครอบครัว และทีมงาน เขาไม่เชื่อในคุณค่าของครอบครัว


- เธอเย้ยว่ามันน่าตกใจที่ยังมีคนเชื่อลูกไม้นี้อยู่อีก และเดาว่ามีคนเขียนบทพูดให้เขาปรี๊ดใส่ทีมงาน และมีผู้ช่วยจากลัทธิเป็นผู้อีกเสียงและส่งมาที่สื่อด้วยซ้ำ


- บางคนออกมาตำหนิการกระทำของเขาเพราะรู้ถึงตัวตนจริงๆว่าเป็นการเสแสร้งห่วงใบสต๊าฟที่อาจจะตกงาน


- ดูเหมือนเขาจะเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้กอบกู้ Hollywood ให้กลับมาสร้างหนัง ราวกับว่าตัวเองมีสถานะเหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ลัทธิพร่ำสอนเขา แต่ความเป็นจริงก็คือ กองถ่ายหนังในทุกวันนี้ต่างก็มีข้อปฎิบัติเพื่อป้องกันโรคติดต่ออย่างเคร่งครัดกันทั้งนั้น


- เขาใช้อำนาจล่วงละเมิดทีมงาน ควรมีproducerคนอื่นที่เข้ามาจัดการปัญหาอย่างมืออาชีพและเป็นส่วนตัว แต่ Tom ฉวยโอกาสที่ทีมงานเผลอเรอเพื่อแสดงภาพผู้นำที่ใ่ใจกับปัญหาโรคระบาดอย่างจริงจัง ทั้งๆที่ตัวเขาและลัทธิไม่ได้เชื่อเรื่องโรคระยาด


- ลัทธินี้เชื่อว่า การใช้น้ำเสียงระดับนี้คือเสียงแห่งชัยชนะ การปล่อยเทปออกมาจึงช่วยสร้างชื่อเสียงที่ดีให้เขา หากเป็นผู้หญิงกรีดร้องใส่คนอื่นแบบเดียวกัน เธอคนนั้นคงถูกหาว่าสติหลุดไปแล้ว


- ในกองถ่ายมีมาตรการป้องกันเข้มมาก มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบทีมงานให้ใส่ mask แยกกลุ่มกันเป็น zone ต่างๆโดยสวมwristband เป็นเครื่องหมาย ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมข้าม zone อื่น มีการตรวจหาเชื้อกันประจำ ตรวจอุณหภูมิและแจก mask ทุกครั้งที่เข้ากอง และ Tom Cruise ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลทีมงาน

- เธอจิกกัดอย่างรุนแรงต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นการวางท่าใหญ่โตจากผู้ชายที่มีของลับเล็ก และหวังว่า จะมีคนเข้าไปจัดการเรื่องนี้ เพราะมีคนหยวนๆให้กับการใช้อำนาจบาตรใหญ่มามากพอแล้ว





ท่ามกลางข้อถกเถียงว่านี่คือสิ่งที่ควรยกย่องหรือเป็นพฤติกรรมสุดยี้ ถึงตอนนี้ Superstar หนุ่มใหญ่ยังปิดปากเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น


แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร ?



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE