รวมเรื่องฉาวสะเทือนวังของราชวงศ์อังกฤษ

56 8
 scandal ร้อนแรงที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกรียวกราวเป็นข่าว nonstop  ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาถูกtabloid ชื่อดังของอังกฤษพาดหัวใหญ่ว่า "เป็นวิกฤติที่หนักหนาที่สุดในรอบ 85 ปีของอังกฤษ  เมื่อคำนวณดูแล้วก็พบว่า เค้าได้ยกการสละราชสมบัติของพระเจ้า Edward ที่ 8  เพื่อเสกสมรสกับหญิงอเมริกันที่ผ่านการหย่ามาแล้ว    

และการเปรียบเทียบนี้ดูไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เพราะMeghan Markle ดัชเชสที่เสกสมรสเข้ามาร่วมราชวงศ์คนล่าสุดก็เป็นชาวอเมริกัน เคยแต่งงานมาก่อน และประกาศยุติบทบาทเชื้อพระวงศ์ไป


แต่นี่คือดราม่าที่สั่นสะเทือนสถาบันจนคลอนแคลนหนักหนาที่สุดในรอบ 85 ปีจริงหรือ ?   
ดยุคแห่ง Windsor  อดีตกษัตริย์ที่เคยเข้าพบกับ Hitler ผู้นำ Nazi เมือ84ปีก่อน และฝ่ายอังกฤษพยายามปกปิด agenda ในการพบปะครั้งนี้ไว้เต็มที่  แต่นานาชาติได้ร่วมมือกันเปิดเผยหลักฐานที่เรียกว่า Windsor Files  แบบเต็มๆในปี 1957   ณ ขณะนั้น  สมเด็จพระราชินี Elizabeth เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้เพียง 4 ปี  แต็ต้องทรงรับมือกับความฉาวที่สั่นสะเทือนการเมืองการปกครอง เมื่อเมื่อมีการเปิดโปงว่าพรรค Nazi   ได้ยื่นข้อเสนอให้กับอดีตกษัตริย์เพื่อร่วมมือจัดฉากวางแผนเพื่อที่ได้บัลลังก์กลับคืนมา  รวมถึงข้อกล่าวหาอันร้ายแรงว่า   ดยุคแห่งWindsor ปล่อยข้อมูลทางการทหารให้กับทัพเยอรมนี


แม้หลายฝ่ายจะโล่งใจที่เสด็จลุงของราชินีอังกฤษไม่ได้เป็นผู้นั่งบัลลังก์อีกต่อไป และ "ปฎิบัติการลับสุดยอด" ต้องล้มเลิกไปเพราะรัฐบาลอังกฤษรู้ทันและยับยั้งความเสียหายไว้ได้ แต่นี่ก็คือบททดสอบอันหนักหนาสาหัสที่ราชวงศ์อังกฤษต้องเผชิญ จากข้อกล่าวหาว่า แม้แต่ผู้ที่เคยเป็นเจ้าแผ่นดินก็อาจจะมีความคิดทรยศต่อประเทศ!

หลังจากที่สื่ออเมริกันได้เปิดเผยเนื้อหาของการติดต่อสื่อสารระหว่างดยุกแห่งWindsor และพรรคนาซี ชายผู้เคยครองบัลลังก์ได้ยืนยันปฏิเสธว่า นี่เป็นเรื่องโป้ปดใส่ร้ายกัน รวมถึงสำนักพระราชวังที่ออกมาปกป้องว่า ดยุคแห่ง Windsor ไม่ได้เป็นพวกขายชาติ แต่การโต้ข่าวก็ไม่อาจจะตอบคำถามที่ว่า เหตุใดนายกรัฐมนตรี Winston Churchill จึงต้องวิ่งเต้นไม่ให้สื่อต่างชาติแผ่หลักฐานจากไฟล์อื้อฉาว แต่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้นานนัก




เจ้าชายผู้สนิทสนมกับมหาเศรษฐี pedophile และแม่เล้าชั้นสูง


ชีวิตในวันหนุ่มของเจ้า Andrew นั้นฟังดูโลดโผนไม่ต่างจากนัดดาที่ตกเป็นประเด็นข่าวล่าสุด      เพราะเป็นองค์ชายรอง  จึงไร้ความกดดันในการแบกรับหน้าที่รัชทายาท   แต่แม่ว่าชัวิตคู่ของเจ้าชายจะไม่ราบรื่นและต้องแยกทางกับชายา  ข่าวฉาวงโฉในช่วงที่เจ้าชายยังหนุ่มแน่นนั้นก็ไม่ใกล้เคียงกับข่าวของ Jeffrey Epstein  มหาเศรษฐีผู้เคยมีอิทธิพลล้นหลาม แต่ต้องพบกับจุดจบในคุกจากการ "ฆ่าตัวตาย"  ( ซึ่งหลายคนมั่นใจว่า  นี่เป็นการฆาตกรรม เพราะเขากำความลับของคนใหญ่คนโตไว้มากเกินไป)  

ภาพของเจ้าชายที่โอบสาววัยทีนอย่างสนิทสนม และมีสาวคนสนิทอีกคนยิ้มร่าอยู่เบื้องหลัง เธอผู้นั้นคือ Ghislaine Maxwell อดีตคนรักของ Epstein ที่มีข่าวร่ำลือมาเนิ่นนานว่าเป็น "แม่เล้าไฮโซ" ตัวจริง


ตอนนี้เธอถูกคุมขังเพื่อสู้คดีค้ามนุษย์และค้าประเวณีผู้เยาว์

อาชญากรทั้งสองคนเคยสนิทสนมกับเจ้าชาย Andrew มาก่อน





connection ของเชื้อพระวงศ์กับมหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วย luxury   แต่กลับพ่วงเรื่องอาชญากรรมสุดฉาวโฉ่

เจ้าชาย Harry และ Meghan เคยเป็นเป้าความสนใจหลังจากมีการรายงานว่า พวกเค้าต่าสนิทสนมกับคนดังทรงปิทธิพลอย่าง Tyler Perry และ Elton John ( ทั้งสองเคยเสนอให้ครอบครัวนี้มาพำนักในคฤหาสน์เลิศหรูได้คราวละนานๆ) รวมไปถึงการสร้าง connection กับเจ้าแม่สื่ออย่าง Oprah แต่นับตั้งแต่ที่เจ้าหญิง Diana ถูกยกให้เป็นผู้บุกเบิกภาพลักษณ์ความ modern ของราชวงศ์อังกฤษด้วยการสร้างความรู้สึกที่ "เข้าถึง" มากขึ้น เธอผูกมิตรกับดีไซน์เนอร์ ศิลปินดนตรีชื่อดัง นักเต้น นักข่าว แต่เดิมนั้น ที่เจ้าผู้สูงศักดิ์ในยุคก่อนมักจะแยกตัวออกจากสังคม "คนธรรมดา" ทิ้งระยะห่างที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน แต่ในยุคต่อมา เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างเปิดตัวในงานสังคมต่างๆ และสร้างมิตรภาพกับกลุ่มคนทรงอิทธิพลได้อย่างอิสระขึ้น

ภาพของเจ้าชาย Andrew ที่ไปร่วมทริปเรือยอว์ชของ Epstein และ party สนุกสนานกับสาวงามยังไม่เป็นประเด็นอื้อฉาวนัก นอกจากคำติฉินเรื่องการหาประโยชน์จากความเป็นเชื้อพระวงศ์เพื่อข้อเสนอล้ำค่าจากเหล่ามหาเศรษฐี

แต่เมื่อ Epstein ถูกจับกุมด้วยข้อหากระทำผิดทางเพศ ยิ่งไปกว่านั้นคือหลักการการล่วงละเมิดและค้าประเวณีเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ภาพลักษณ์อันดีงามของราชวงศ์อังกฤษก็เข้าสู่ความเสี่ยงที่จะถูกสั่นคลอนจนร้าวลึกเลยทีเดียว 


สัมภาษณ์ชี้แจงข้อกล่าวหาที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง
แรงกดดันจากสังคมทำให้ตัดสินใจใช้พื้นที่สื่อในการเคลียร์ข้อกล่าวหาต่างๆ   แต่การให้สัมภาษณ์ผ่านช่อง BBC นั้นกลับถูกขนานนามว่า " สัมภาษณ์ที่พังเป็นรถชนประสานงา"      กลายเป็นว่า ชื่อเสียงของราชนิกูลที่ถูกยกให้เป็น "โอรสคนโปรด" ของสมเด็จพระราชินียิ่งมัวหมองไปกว่าเดิม   เพราะผู้คนต่างคิดว่า คำชี้แจงต่างๆฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย!



ก่อนอื่นเราต้องพูดถึงVirginia Roberts  อดีตเด็กสาวที่ถูกโอบเอวในภาพออื้อฉาวกันก่อนค่ะ  เธอยืนยันว่า ถูกบีบบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับเจ้าชายในขณะที่มีอายุได้17  ปี  และเล่า  ในระหว่างที่เขาเต้นรำใน party นั้น มีเหงื่อไหลท่วมราวกับสายน้ำสาดกระเซ็นมาที่ตัวเธอจนรู้สึกขยะแขยง แต่ก็ต้องฝืนเอาอกเอาใจเพราะ เป็นคำสั่งของ Jeffrey และ Ghislaine

because that's what Jeffrey and Ghislaine would have expected from me."

  •  เจ้าชายจำไม่ได้ว่าเคยพบกับเด็กสาวในรูป  แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน  หลักฐานก็คืออาการผิดปกติทางร่างกายที่ทำให้เจ้าชายไม่สามารถมีเหงื่อไหลได้ตามปกติ
( ประเด็นไร้เหงื่อนี้กลายมาเป็น joke เกรียวกราวในวงการสื่ออังกฤษรวมถึงวงการ comedy อีกด้วย)

  • เจ้าชายอ้างหลักฐานที่หักล้างคำพูดของ Virginia ว่า   ในวันและเวลาที่เธอระบุว่ามี sex กับเขาในบ้านของ  Ghislaine (แม่เล้าไฮโซ)  นั้นย่อมไม่เป็นความจริง  เพราะเขาจำได้อย่างแม่นยำว่า ในวันนั้นได้พาเจ้าหญิง Beatrice ไปซื้อพิซซ่าและกลับมาที่บ้าน  ไม่ได้ออกไปพบใคร
  • เจ้าชายพยายามชี้ว่า ไม่มีข้อพิสูจน์ออย่างชัดเจนว่าภาพที่เขาโอบเอวเด็กสาวนั้นเป็นของปลอมหรือไม่
  • เจ้าชายยืนยันว่า ไม่ได้สนิทสนมกับ Epstein มากมายนัก พบกันอย่างมากสามครั้งในหนึ่งปี  แต่เคยไปเที่ยวที่เกาะส่วนตัว ,เยี่ยมบ้าน รวมถึงเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวของมหาเศรษฐีผู้อื้อฉาว     และยังยอมรับว่า เคยเชื้อเชิญ Epstein มาร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหญิง Beatrice ที่พระราชวัง Windsor อีกด้วย   แต่ทำลงไปโดยที่ไม่รู้ว่า Epstein   มีหมายจับคดีอาชญากรรมทางเพศแล้ว
  • เจ้าชายระบุสาเหตุที่ไปพำนักที่คฤหาสน์ Epstein หลายวัน  ทั้งๆที่อีกฝ่ายเพิ่งจะพ้นโทษจำคุกว่า ที่ไปก็เพียงต้องการจะตัดความสัมพันธ์และต้องการชี้แจงต่อหน้า    และยอมรับว่า การเดินทางไปพบกับ Epstein ในครั้งนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
  • เจ้าชายไม่รู้สึกว่ามิตรภาพกับEpstein เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง  เพราะได้เรียนรู้เรื่องการค้าและธุรกิจจากมหาเศรษฐีผู้นี้ 




เรื่องมิตรภาพของราชนิกูลอังกฤษกับอาชญากรผู้มีชื่อเสียงนั้นเรียกเสียงโจมตีมาหลายปี แต่ไม่ถึงขั้นระดับ scandal ระดับชาติค่ะ เจ้าชายยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักราชวังที่ออกมาเป็นตัวแทนประกาศปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่การตายของ Epstein ทำให้ผู้คนมีปฏิกิริยาที่รุนแรงมากขึ้น หลายคนเชื่อว่า เจ้าชายได้ใช้อภิสิทธิ์เชื้อพระวงศ์ในการปกปิดการกระทำเสื่อมเสีย และยังไม่ให้ความร่วมมือกับ FBI และเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศที่พยายามหาหลักฐานเอาผิดทั้ง Epstein และ Maxwell


แทนที่การให้สัมภาษณ์จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น  แต่กลับคนในสังคมรุมถล่มจนฉาวหนักกว่าเดิม  รวมทั้งสื่อที่พยายามขุดคุ้ยหาภาพหลักฐานต่างๆ  เหหล่าสปอนเซอร์ที่เคยสนับสนุนงานการกุศลที่เจ้าชายเป็นผู้อุปถัมป์เริ่มถอยห่าง   เพียงไม่นานหลังจากให้สัมภาษณ์กับ BBC  ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า เจ้าชายได้ยุติบทบาทการทำหน้าที่ต่างๆในฐานะเชื้อพระวงศ์และเก็บตัวเงียบเชียบ   แม้แต่ในราชพิธีต่างๆก็ไม่สามารถมาเข้าร่วมได้     ถึงขนาดว่า  ภาพครอบครัวที่ Sarah Ferguson  ผู้เป็นอดีตชายา post ที่ Instagram ก็ยังถูกชาวเน็ทตาม tag  FBI !

ปัญหาในการบริหารเงินของอดีตชายาเจ้าชาย Andrew ได้ตามมาหลอกหลอนให้ทุกอย่างดูย่ำแย่ลงไป เพราะเธอถูกเปิดโปงว่าเคยรับการช่วยเหลือทางการเงินจาก Epstein เมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าเธอจะออกมาแสดงความเสียใจว่า ได้ทำผิดพลาดลงไป และต่อต้านการล่วงละเมิดผู้เยาว์ แต่ก็ทำให้หลายฝ่ายนำเรื่องราวมาเชื่อมโยงกันว่า มิตรภาพระหว่างราชนิกูลและมหาเศรษฐีผู้ล่วงลับนี้ดำเนินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความมัวหมองและผลประโยชน์


หลายคนเชื่อว่า  เราจะไม่ได้เห็นเจ้าชาย  Andrew ทำหน้าที่เป็นตัวแทนราชวงศ์ไปอีกนาน  นอกหนือจากเรื่องที่จำเป็นจริงๆ  จะเห็นได้จากพิธีเสกสมรสของเจ้าหญิง Beatrice ที่สำนักราชวังปล่อยภาพวันมงคลออกมาก็มีเพียงแแต่ภาพของสมเด็จพระราชินี Elizabeth และเจ้าชาย Phlip      แม้จะมีรายงานว่า  เจ้าชาย Andrew ได้ทำหน้าที่ผู้เดินนำส่งเจ้าสาวในพิธี  แต่สำนักราชวังก็ไม่ได้เผยภาพสมาชิกครอบครัวพร้อมหน้าตามที่เคยปฏิบัติกันมาอย่างใด




ชีวิตคู่ของเจ้าหญิงองค์น้องผู้มาดมั่นที่มาพร้อมกับ  scandal ไม่แพ้เจ้าชายรัชทายาท


เมื่อพูดถึงข่าวเชื้อพระวงศ์คบชู้ ผู้คนมักนึกถึง ชีวิตคู่ของเจ้าชาย Charles และ เจ้าหญิง Diana ที่เป็น scandal ระดับชาติ การให้สัมภาษณ์เปิดใจเจ้าหญิงในปี 1995 มีผู้ชมถึง 22.8 ล้านคนจากจำนวนประชากรราวๆ 58 ล้านคน มีทั้งการสร้างหนังและสารคดีตีแผ่ชีวิตอันแสนกดดันในรั้ววังของเจ้าหญิงที่เคยถูกวางตัวให้เป็นว่าที่ราชินีคนต่อไปมาแล้วหลายครั้ง


แต่อีกกรณีที่คล้ายคลึงกันก็คือ  การหย่าร้างระดับ high profile ของเจ้าหญิง Anne  กับสวามีนักกีฬารูปงามนั่นเอง
เจ้าหญิง Anne และ  Captain Mark Phillips ดูเป็นคู่สมรสที่เหมาะสมกันทุกประการ   เขาคือนักกีฬาขี่ม้าเจ้าของเหรียญทอง Olympics  และมีมาดของนายทหารหนุ่มที่มีเสน่ห์ร้อนแรง  ส่วนเธอเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับเสียงกล่าวขานว่าเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไม่ค่อยวิตกกังวลถึงสายตาจับผิดของผู้คน  แต่ชีวิตแต่งงานที่ฟังดูน่าตื่นเต้นยินดีกลับโรยราไปเพียงไม่กี่ปี  แม้ว่าทั้งคู่จะมีบุตรธิดาด้วยกัน    แต่ก็เริ่มมีข่าวซุบซิบออกมาว่า      ทั้งๆที่ยังไม่ประกาศเรื่องการแยกทาง  แต่ก็เดินหน้ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนอื่นโดยที่รู้กันเฉพาะคนวงใน   อาจจะเปรียบเปรยได้ว่า นี่คือ open relationship  แบบกึ่งๆนั่นเอง

แต่เรื่องราวถูกเปิดเผยกับสาธารณชนในปี 1989    เมื่อมีมือดีที่ไม่ประสงค์จะออกนามแอบส่งจดหมายที่ขโมยมาจากกระเป๋าของเจ้าหญิงให้กับหนังสือพิมพ์The Sun   มันคือจดหมายรักจาก Timothy Laurence ราชองครักษ์ของสมเด็จพระราชินี Elizabeth สวามีคนปัจจุบันของเจ้าหญิงAnneนั่นเอง



สิ่งที่แตกต่างจากกรณีของเจ้าชายCharles และเจ้าหญิง Diana ก็คือ สื่อดังไม่ได้ถ่ายทอดข้อความในจดหมายให้ชาวโลกได้รับรู้ เพราะคิดว่าเนื้อหาฟังดูร้อนแรงจนยากจะรับมือได้!


เรื่องนี้ไม่ถึงขนาดกับสร้างความช็อค เพราะฝ่าย Mark Phillips นั้นก็มีข่าวเรื่องนอกใจเช่นเดียวกัน พวกเค้าประกาศแยกทางกันไม่นานหลังจากข่าวฉาวจดหมายหลุด แต่สองปีจากแยกทางกัน Mark Phillips ก็ต้องตรวจDNA ยอมรับความเป็นพ่อของลูกสาวที่เกิดกับชู้รักหลายปีก่อนที่เรื่องของเจ้าหญิง Anne และ Timothy จะถูกเปิดเผยซะอีก


เรื่องการมีชู้รักอย่างเปิดเผยในรัววังนั้นได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ขโมยจดหมายของเจ้าหญิงมาส่งต่อให้กับสื่อที่ยืนยันว่า เจ้าหญิงและคนรักร่วมมือในการให้ข้อมูลเป็นอย่างดี "พวกเค้าไม่รู้สึกอับอายต่อความสัมพันธ์ แม้จะรู้สึกแย่ที่เรื่องถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบนี้ Tim ปรารถนาเพียงแต่จะปกป้องเจ้าหญิง" นักสืบระดับสูงได้ยืนยัน และใช้เวลาหลายเดือนในการหาตัวผู้ขโมยจดหมาย แต่ก็ไร้วี่แวว


การหย่าของเจ้าหญิงและอดีตสวามีมีผลตามกฎหมายในปี 1992 เพียงหนึ่งเดือนจากนั้นเจ้าหญิงก็เข้าพิธีวิวาห์กับ Timothyและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างราบรื่นมาจนถึงปัจจุบัน





The Crown ขยี้ประเด็น hot  "ชู้รักบอดี้การ์ด" 


ซีรีส์โด่งดังแห่ง Netflix อาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องสวามีคนแรกของเจ้าหญิง Anne นอกฉากการระบายความทุกข์ระทมต่อชีวิตคู่กับพระราชมารดา ( แน่นอนว่าเป็นฉากในจินตนาการของนักเขียนบท) แต่หนึ่งในประเด็นที่สร้างความสนใจให้กับแฟนๆราชวงศ์ คือฉากที่สมเด็จพระราชินีถามไถ่ธิดาองค์เดียวถึงความสัมพันธ์ชู้สาวกับบอดี้การ์ด

เวลาที่ผ่านพ้นไปอาจจะทำให้คนที่ "เกิดทัน" ลืมเลือนไปว่า ก่อนที่จะมี scandal ขโมยจดหมายรัก เจ้าหญิงก็เคยคบหากับชายอื่นมาในขณะที่ยังมีสถานะแต่งงานกับ Mark Phillips เขาคือ Peter Cross นายตำรวจที่ทำหน้าที่อารักขาเธออย่างใกล้ชิด แต่เมื่อถูกสำนักงานใหญ่ราชการตำรวจนครบาลค้นพบความจริง เขาก็ถูกย้ายตำแหน่งไปไปจากการทำงานรับใช้ราชวงศ์ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าพวกเค้ายังแอบคบหากันต่อจนกระทั่งเรื่องหลุดมาเป็นข่าวครึกโครม เจ้าหญิงจึงเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ในที่สุด

เจ้าหญิงไม่ได้ยื่นเรื่องหย่าร้างกับMark Phillips เมื่อมีข่าวชู้รักบอดี้การ์ดถูกปล่อยสู่สาธารณชน    แต่ตัว Peter Cross ต้องเก็บตัวเงียบอยู่สองปี และตัดสินใจขายเรื่องนี้ให้กับ The News of the World  โดยมีรายงานว่าโกยเงินไปได้ถึง£ 600,000   ในปี1984  !




โศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตเจ้าหญิงแห่งปวงชนที่ทำให้สังคมหันมาต่อต้านราชวงศ์


เหตุการณ์ที่ทำให้ราชวงศ์อังกฤษเข้าสู่วิกฤติความเสื่อมศรัทธาย่อมหนีไม่พ้นโศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตเจ้าหญิง Diana ไปนั่นเอง

สำหรับชาวโลก เธอคือสมาชิกราชวงศ์คนแรกที่มีสถานะของ superstar มิใช่ผู้ที่วางตัวอยู่บนครรลองอันสูงส่งที่ยากจะเข้าถึง แต่เป็นเจ้าหญิงผู้เปิดกว้างที่เอื้อมมือเข้าหาประชาชนอย่างไม่ลังเลใจ แม้เพียงเวลาไม่นานหลังจากเสกสมรสเข้าสู่ราชวงศ์ เธอจะกลายเป็นเป้าหมายให้สื่อไล่ติดตามเพื่อขายเรื่องราวส่วนตัว ทั้งเรื่องจริงและเรื่องโป้ปด วันหนึ่งอาจจะชื่นชมราวกับว่าเธอเป็นนางฟ้า แต่อีกวันอาจจะเย้ยหยันให้เธอรู้สึกต้อยต่่ำ แต่กระแสความนิยมในตัวเจ้าหญิง Diana อยู่ในระดับ "ปรากฏการณ์" ติดต่อกันหลายปี ถึงชีวิตส่วนตัวจะถูกนำเสนอในด้านแย่ๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม


เมื่อเธอหมดลมหายใจไปจากโลกนี้โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ปฏิกิริยาที่ตอบรับอย่างรุนแรงจากสังคมคือ การหาเป้าหมายเพื่อระบายความโกรธแค้น พวกเค้าโทษสื่อที่คอยไล่ล่าเธอแทบไม่ได้หยุด โทษอคติของผู้คนที่ตัดสินเธอจากการติดตามอ่านข้อความว่าร้ายบนหน้าหนังสือพิมพ์

และในเวลาต่อมา ความเกรี้ยวกราดก็พุ่งเข้าหาราชวงศ์  โดยเฉพาะพระประมุขที่ทรงครองภาพลักษณ์อันดีงามมาอย่างยาวนาน


ก่อนที่คู่สามีภรรยาราชนิกูลผู้โด่งดังจะหย่าร้างกัน มีเสียงร่ำลือว่า เจ้าหญิง Dianaไไม่ได้สัมผัสถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากราชวงศ์อังกฤษ ในการให้สัมภาษณ์ "ทิ้งระเบิดไดนาไมท" กับ BBC นั้น เจ้าหญิงได้กรีดเรื่องความเย็นชาของราชวงศ์ในประเด็นโรคซึมเศร้าด้วยการบอกเป็นนัยๆว่า ไม่มีใครเข้าใจหรือรูว่าจะตอบรับกับปัญหาความเจ็บป่วยของเธออย่างไร เพราะเชื้อพระวงศ์ไม่หลั่งน้ำตาซะด้วยซ้ำ

คำพูดของเธออาจจะสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนมากมาย แต่เมื่อเธอไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ก็มีการหยิบยกเอาประสบการณ์รันทดกดดันจากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัวผู้สูงศักดิ์มาบีบให้สมเด็จพระราชินีและสำนักราชวังแสดงความไว้อาลัยต่อความสูญเสียให้ชัดเจน โดยเฉพาะเสียงเรียกร้องให้มีคำสั่งลดธงครึ่งเสาที่ประชาชนมั่นใจว่า ความดีงามของเจ้าหญิงDiana นั้นควรค่าต่อหลักปฏิบัติเช่นนี้แล้ว


แต่ในช่วงแรก การตอบรับของราชวงศ์ยังนิ่งเงียบ...


ในขณะที่ทั่วอังกฤษเต็มไปด้วยความหมองเศร้าและเสียงสะอื้นไห้   ความไม่พอใจก็ก่อตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะผู้คนต้องการให้ราชวงศ์ร่วมแสดงความอาลัยต่อเจ้าหญิงแห่งปวงชนไปพร้อมกับพวกเค้า     ณ เวลานั้น  สมเด็จพระราชินีได้เลือกใช้เวลากับนัดดาทั้งสองที่ต้องสูญเสียแม่อย่างไม่มีวันกลับ   และต้องการรอสักระยะเพื่อช่วยเหลือให้เจ้าชายพี่น้องได้ทำใจต่อความเจ็บปวด  


แต่คนอังกฤษจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับวิธีการรับมือต่อสถานการณ์ของราชวงศ์ ในช่วงแรก เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ประชาชนนำดอกไม้ไปวางเพื่อไว้อาลัยที่หน้าพระราชวัง Buckingham ไม่มีการลดธงครึ่งเสา และยังไร้วี่แววของสมเด็จพระราชินีสือเริ่มกดดันราชวงศ์หนักหน่วง ดังที่ได้เห็นจากหน้าปกที่เรียกร้องให้สมเด็จพระราชินี "ทำอะไรสักอย่าง" ในเวลาที่ประชาชนต้องดำดิ่งกับความเศร้าเสียใจ




ความนิยมของสมเด็จพระราชินีดิ่งฮวบเป็นประวัติการณ์

ระหว่างที่ประชาชนกำลังสับสนและไม่เข้าใจต่อท่าทีของราชวงศ์ต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ก็เริ่มมีเสียงโจมตีตามมาว่า นี่น่าจะเป็นการรักษาประเพณ๊อย่างเคร่งครัดของสถาบันแห่งนี้ เพราะเจ้าหญิงDiana ได้หย่าร้างกับว่าที่กษัตริย์ในอนาคต และถูกถอดยศ HRH ออกไปแล้ว เธอจึงอาจจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่มีความสำคัญอีกต่อไป และข้อสันนิษฐานนี้ยิ่งยั่วยุให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น BBC ได้แสดงความเห็นว่า หนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเทือนใจชาวโลก คือสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดในการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีเลยทีเดียว

นายกรัฐมนตรีTony Blair ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย เมื่อได้รับการยืนยันข่าวร้ายว่าเป็นจริงแน่นอน เขาได้ประกาศเรื่องนี้ให้ประชาชนได้รับทราบ พร้อมกกับแสดงความอาลัยและยกย่องคุณงามความดดีของเจ้าหญิงอย่างจริงใจ และยังรับมือกับปัญหา ด้วยการประสานงานไปยังเชื้อพระวงศ์และร้องขอให้สมเด็จพระราชินีออกมาตรัสไว้อาลัยต่อเจ้าหญิง Diana รวมถึงการประกาศลดธงครึ่งเสา ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์ไปมากกว่านี้

ฺBlair ขอให้มีการจัดขบวนนำร่างของเจ้าหญิงเข้าสู่พิธีศพโดยให้ประชาได้มาเข้าร่วมสองฟากถนน และยืนยันให้โอรสทั้งสองปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน request ข้อนี้เป็นสิ่งที่ "เปราะบาง" เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเจ้าชายที่เพิ่งอยู่ในวัยทีนที่ต้องรับหน้าที่นี้ แต่มีรายงานว่า นี่คือสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลเห็นสมควร เพราะราชวงศ์ได้เข้าสู่วิกฤติจากการเลือกนิ่งเฉยในช่วงแรก ในเวลาต่อมา เจ้าชายทั้งสองก็เปิดเผยถึงความรู้สึกกล้ำกลืนในวัยเด็กที่ถูกขอให้เดินร่วมขบวนต่อหน้าผู้คนนับล้าน เพราะยังช็อคเกินกว่าที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกอันท่วมท้นจากผู้คน แต่เมื่อเติบโตขึ้นมาก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้





คลื่นความไม่พอใจของผู้คนเริ่มสลายลงไปหลังจากที่สมเด็จพระราชินีเดินทางมาที่หน้าพระราชวัง Buckinghamที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไว้อาลัย ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าว่า บรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ดูไม่เป็นมิตรแตกต่างจากทุกครั้งที่สมเด็จพระราชินีปรากฏพระองค์ต่อหน้าฝูงชน แม้แต่วินาทีสุด iconic ที่เด็กหญิงคนหนึ่งได้ยื่นดอกไม้ให้และบอกว่านี่คือดอกไม้สำหรับพระองค์ ก็ยังตรัสถามอย่างไม่แน่ใจว่า ไม่ต้องการให้พระองค์นำดอกไม้ไปวางให้แทนจริงๆหรือ



เมื่อสมเด็จพระราชินีได้แถลงการณ์เรื่องความสูญเสียผ่านโทรทัศน์  กระแสโจมตีก็เริ่มเงียบลงไปและหันมา focus กับเรื่องพิธีศพของเจ้าหญิง   นั่นทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่า    การเลือกนิ่งเฉยในช่วงแรกของการสูญเสียคนสำคัญของคนในชาตินั้น เป็นความผิดพลาดของราชวงศ์ที่ยากจะลืมเลือนไปได้


ความโกรธเกรี้ยวของมวลชนที่กลายเป็นเชื้อเพลิงสุมในไฟทฤษฎีสมคบคิด



เมื่อช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าอาลัยได้ผ่านพ้นไป  สื่อก็ได้กลับมาจุดประเด็นเรียกความสนใจจากสังคมด้วยความอื้อฉาวอีกครั้ง  หลังจากที่โทษกันไปมาเรื่องต้นเหตุของความสูญเสีย   เจ้าหน้าที่จากอังกฤษและฝรั่งเศสก็ต้องทำงานหนักเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของรถชน  และในที่สุดก็มีบทสรุปว่า เกิดจากคนขับที่เมาเกินกว่าจะควบคุมรถได้ แต่ก็ฝ่ายอังกฤษก็ได้ขยายการสืบสวนออกไปอีกหลายปี จนตัดสินว่า เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทของคนขับ
ทฤษฎีสมคบคิดเกิดขึ้นได้ทุกครั้งเมื่อคนดังเสียชีวิตภายใต้ปริศนาที่ค้างคาใจผู้คน  จากการนำเสนอความคิดว่า เส้นทางความรุ่งโรจน์ของเจ้าหญิงอาจจะเป็นอุปสรรคต่อใครบางคน และทำให้มีข่าวร่ำลือเรื่องการจัดฉากฆาตกรรม   โดยเฉพาะการต่อสู้ของ Mohamed Al-Fayed มหาเศรษฐีผู้เป็นบิดาของคนรักเจ้าหญิงที่จบชีวิตในอุบัติเหตุสะเทือนขวัญไปด้วย    เขาได้ประกาศว่า  ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของคนทั้งสามในเหตุการณ์นี้คือราชวงศ์ที่ร่วมมือกับหน่วย  MI6  และฆาตกรรมพวกเค้าอย่างเหี้ยมโหด   (บอดี้การ์ดเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว)   เพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของเขามีมูลความจริง  Mohamed  Al-Fayed ก็ได้ยุติเรื่องนี้ด้วยเหตุผลว่า ไม่ต้องการสร้างความกระทบกระเทือนใจให้กับโอรสทั้งสองของเจ้าหญิง


แต่การแพร่กระจายทฤษฎีสมคบคิดไม่ได้มาจาก Mohamed Al-Fayed เท่านั้น สื่อหลายเจ้าได้ประชันปั่นกระแสว่าเจ้าหญิงถูกฆาตกรรมจนทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เชื่อว่า ความสัมพันธ์กับชายหนุ่มมุสลิมเชื้อสายอียิปต์คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการวางแผนจัดลอบฆ่า แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี poll ก็ชี้ว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อยปักใจไม่เชื่อว่านี่คืออุบัติเหตุ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกมากที่เชื่อมั่นในการสืบสวนหาหลักฐานยาวนานหลายปีว่า ต้นตอแห่งความสูญเสียคือความประมาทของคนขับรถ ส่วนสำนักราชวังตอบกลับสั้นๆว่า จะไม่ชี้แจงหรือออกความเห็นใดๆที่เกี่ยวกับ poll

แม้จะมีการวิเคราะห์ว่า ทฤษฎีสมคบคิดเป็นเรื่องของการปลุกปั่นความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติมนุษย์ แต่ก็มีการยอมรับว่า ภาพลักษณ์ที่เย็นชาและเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆในราชวงศ์ ยิ่งรวมไปถึงท่าทีของราชวงศ์ในสัปดาห์แรกหลังการเสียชีวิตของเจ้าหญิง ส่งผลให้ผู้คนเกิดความระแวงแคลงใจจนเป็นข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE