ปูมหลังครอบครัวคนดังเกาหลีที่เศร้าไม่แพ้ละครดราม่า

40 9
ละครชีวิตสุดเศร้าเคล้าน้ำตาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ K-Drama พุ่งทะยานขึ้นสู่ความนิยมสูงลิบลิ่วในตลาดบันเทิงเอเชีย      แม้บางครั้งพล็อทเรื่องอาจจะมีกลิ่นความเน่าโชยมาเบาๆ ก็ยังทำให้ผู้ชมใจแข็งหลายคนต้องน้ำตาไหลริน  

แต่คุณคงได้ยินมาแล้วหลายครั้งว่าเรื่องราวในชีวิตจริงนั้นเน่ากว่าในละคร แม้แต่คนดังหลายคนที่มีภาพลักษณ์เลิศเลอ ก่อนจะก้าวมาสร้างความสำเร็จในวงการก็เคยต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคหนักหน่วงที่เกิดจากชีวิตครอบครัว มันเป็นความยากลำบากที่แทบจะถอดออกมาจากบทซีรีส์เกาหลีที่แฟนๆคุ้นเคย

จะมีใครบ้าง  มาติดตามกันเลยค่ะ





Superstar ถูกพ่อทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็กกับความลับที่ถูกเปิดเผยจนสังคมจ้องจับผิด


คิม ซูฮยอน พระเอกหนุ่มที่ถูกยกว่าโกยค่าตัวสูงเป็นอันดับ 1 ในวงการบันเทิงนั้นไม่ได้มีใช้ชีวิตบนเส้นทางที่โปรยปรายไปด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่ต้น    เขาเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของแม่โดยไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง     สำหรับหลายคน   การหย่าร้างของสามีภรรยามิใช่เรื่องผิดแปลกหรือสร้างความด่างพร้อยแม้แต่น้อย   แต่สำหรับในสังคมเกาหลี  แม่เลี้ยงเดี่ยวยังเป็น term ที่ถูกตีตราด้วยอคติ  แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปหรือมีความก้าวหน้าทางวัตถุมากเพียงใด   แต่เด็กจากครอบครัวที่ไร้พ่อมักจะถูกมองด้วยสายตาสมเพชเวทนา หรือร้ายกว่านั้นก็ถูก bully โดยไม่มีความผิดใดๆ  ( ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.jeban.com/topic/320887 )

เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ออกมาบรรยายเรื่องความยากลำบากในชีวิตมากมายนัก  แต่สุขภาพที่ไม่แข็งแรงจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและในสมัยเด็กจนต้องรับการผ่าตัดนั้นก็น่าจะทำให้เชื่อได้ว่าสองแม่ลูกต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย     คิม ชองฮุน  พ่อแท้ๆที่พระเอกดังยังใช้นามสกุลเดียวกันมาถึงทุกวันนี้ได้ทอดทิ้งเขาและแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก  และได้เริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัวใหม่   และไม่ได้มีข้อมูลชัดเจนว่า พ่อได้ช่วยเหลือส่งเสียค่าใช้จ่ายสำหรับลูกชายหรือไม่     แต่คิม ซูฮยอนได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังหลังจากที่เข้าวงการบันเทิงไปได้สองปีแล้ว     แม้ว่าเขาจะเคยพูดถึงพ่อออกสื่อบ้างเล็กๆน้อยๆ    แต่ความจริงที่ปรากฏในภายหลังนั้นทำให้ชาวเน็ทมั่นใจว่า   ความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกไม่ได้แน่นแฟ้นมาตั้งแต่แรก  
หลังจากที่คิม ซูฮยอนสร้างชื่อเสียงจากซีรีส์โกยเรตติ้งแบบถล่มทลาย  ก็มีการเปิดเผยข้อมูลว่า พ่อแท้ๆของเขาคือคิม ชองฮุนเป็นนักร้องนำวง Seven Dolphins  ที่จากยุค 80s   และผู้คนต่างเข้าใจว่า พระเอกดังเป็นลูกชายเพียงคนเดียว   แต่เมื่อมีการเปิดเผยว่า คิม จูนาสาวใสที่สมัครเข้าประกวดใน Produce 101 รายการปั้นไอดอลชื่อดังเป็นน้องสาวต่างแม่ของคิม ซูฮยอน   กระแสตอบรับจากสังคมจึงปนเปกันไปทั้งความประหลาดใจ   และเริ่มมีดราม่าตามมา เมื่อมีผู้ตั้งข้อกล่าวหาว่าน้องสาวพยายามใช้ประโยชน์จากสายเลือดเดียวกันกับพระเอกดังมาสร้างชื่อเสียง    ส่วนตัวคิม ซูฮยอนก็ถูกหางเลขไปด้วย เพราะมีผู้แสดงความไม่พอใจว่า  หาว่าเขาพยายามกลบเกลื่อนเรื่องครอบครัวใหม่ของพ่อด้วยการให้ข้อมูลว่าเป็นลูกคนเดียว    
เอเจนซี่ได้แถลงการณ์ชี้แจงว่า  คิม ซูฮยอนและคิม จูนาไม่เคยติดต่อกันมาก่อน   และหวังว่าเธอจะไปได้ในดีในวงการ แต่ไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบังใคร  แต่เขาคำนึงถึงความรู้สึกของแม่ ไม่อยากให้เธฮต้องเจ็บปวด จึงถือว่าตัวเองเป็นลูกเพียงคนเดียว และอยกจะขอให้แฟนๆได้เข้าใจในสถานการณ์นี้ด้วย



สื่อรายงานว่า คิม ซูฮยอนไม่ได้สนิทสนมกับพ่อมากนัก ( เห็นได้ชัดจากเรื่องที่ไม่เคยติดต่อน้องสาว) แต่เมื่อความจริงเปิดเผยออกมา พ่อก็เริ่มให้ข้อมูลกับสื่อว่า ติดต่อพูดคุยกับลูกชายด้วยดี และมีความหวังว่าจะได้ร่วมทำผลงานเพลงด้วยกัน และยังยืนยันว่า การได้ยินเสียงลูกชายทางโทรศัพท์ก็เป็นกำลังใจอย่างดีแล้ว


แต่คำพูดของพ่อกลับทำให้ชาวเน็ทไม่พอใจ    หลายคนเชื่อว่าคิม ชองฮุนทอดทิ้งครอบครัวไปโดยปล่อยให้อดีตภรรยาเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพัง  ยิ่งเขากลับมาทำงานเพลงหลังจากที่ประวัติครอบครัวถูกสื่อตีแผ่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กง้างขขวาง  ยิ่งทำให้ผู้คนคลางแคลงใจว่าเขากำลังใช้สถานะ superstar ของลูกชายเพื่อช่วยกลับคืนสู่วงการ
No Hard Feeling

พิธีกรรายการ Have You Heard This Rumors?ที่จับประเด็นร้อนของคนดังมาเม้ามอยทางTV ได้ระบุว่า คิม ซูฮยอนที่สร้างฐานะอันมั่งคั่งจากสถานะพระเอกค่าตัวสูงที่สุดได้ให้ความช่วยเหลือพ่อและครอบครัวใหม่โดยไม่ติดใจแค้นเคืองเรื่องในอดีต และทำให้หลายคนชื่นชม แต่ในขณะเดียวกัน ข่าวลือนี้ก็ทำให้ฝั่งพ่อของเขาถูกมองไม่ดีนัก ชาวเน็ทหลายคนโจมตีเขาว่า 'ไร้ยางอาย' ทั้งยังระแวงว่า ครอบครัวใหม่ฝั่งพ่อจะคอยรบกวนพระเอก A List คนนี้เพราะเปรียบเหมือนกับขุมเงินขุมทอง


อย่างไรก็ตาม แม้สื่อจะเคยรายงานว่า พ่อลูกมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่เรื่องราวส่วนตัวที่คนนอกไม่ได้เข้าถึงอาจจะไม่ได้ย่ำแย่เหมือนกับที่บางคนนึกภาพไว้ ตั้งแต่ที่เริ่มมีชื่อเสียง คิม ซูฮยอนไม่ได้ปิดบังเรื่องพ่อผู้ให้กำเนิด และตอบคำถามสื่อในขอบเขตที่พอจะตอบได้ และไม่ว่าร้ายให้อีกฝ่ายเสียหาย

พ่อของคิม ซูฮยอนเคยระบุว่า ลูกชายมีงานรัดตัวจนไม่ได้พบหน้ากันมากนัก  แต่ก็วางแผนที่นัดพบเพื่อกินข้าวด้วยกันประสาพ่อลูก เขาเผยความในใจง่า รู้สึกหนักใจเมื่อใดก็ตามที่มีผู้หยิบยกชื่อของเขาไปเกี่ยวข้องกับคิม ซูฮยอน เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกับชื่อเสียงของลูกชาย  แต่เขาต้องพยายามแบกรับกับความกดดันจากสังคมที่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องส่วนตัวของครอบครัว และกลายมาเป็นปัญหาเมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกไปผิดๆ   สถานการณ์ที่ยากลำบากมากๆคือ ตอนที่ลูกสาวของเขาต้องถูกโจมตีด้วยช่าวลือที่ไม่เป็นความจริง  ทำให้เธอต้องทุกข์ใจ และเขาต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้






โฉมงามที่มาแรงในวงการแสดงถูกแม่แท้ๆใช้ชื่อหาผลประโยชน์ฉ้อโกงคนอื่น

กี่ครั้งแล้วที่คุณได้เห็นพล็อทซีรีส์เกาหลีที่บีบคั้นคนดูให้หลั่งน้ำตาด้วยภาพความลำเค็ญของหนุ่มสาวสู้ชีวิต ทุ่มเททำงานจนสายตัวแทบขาด แต่ถูกคนเป็นพ่อแม่รีดไถเพื่อความประโยชน์ส่วนตัว  

เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในชีวิตจริง ฮัน โซอี  นางเอกสาวที่ขึ้นชื่อว่ามีความงามสุด perfect   และซ้ำร้าย    ผู้ให้กำเนิดที่ทำให้เธอตกอยู่ใน scandal ทั้งๆที่กำลังรุ่งสุดๆ คือแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงดู แต่ทอดทิ้งให้ยายของเธอเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
ฮัน โซฮีถูกจ้องจับตามองในฐานะ The Next Big Thing ของวงการบันเทิงเกาหลี  จากบทภรรรยาน้อยสุดสวยแห่ง The World of the Married   จากที่รับบทสมทบในซีรีส์ไม่กี่เรื่อง เธอก็คว้าบทนำจาก Nevertheless  ซีรีส์ Netflix ที่ถึงแม้จะเรตติ้งแผ่วที่เกาหลี  แต่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในต่างประเทศ     ในขณะเดียวกัน  เธอต้องถูกกกดดันจากความคาดหวังของสังคมเกาหลี   หลายคนยกให้ใบหน้าเล็กๆของเธอเป็น privilege แห่งความงาม  ทั้งยังดวงตาหวานเชื่อม ผิวขาวใส รูปร่างผอมบาง     แต่เมื่อภาพก่อนจะเข้าวงการจนโด่งดังถูกปล่อยออกมา   ฮัน โซฮีต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า 'ดูแรง' หรือเหมือน 'สาวใจแตก' ไม่หมือนกับ image ของเธอที่มักทำให้คนจินตนาการว่าเป็นนางฟ้าแห่งโลกความเป็นจริง

 ฮัน โซฮีรับมือกับเสียงวิจารณ์ได้แบบ pro เป็นที่สุด  เธอยืนยันว่า ภาพต้นเหตุที่ทั้งสูบบุหรี่และมีรอยสักนั้นเป็นเรื่องที่เกิดในอดีตเมื่อไม่กี่ปีก่อน และเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอ  จะเป็นเธอในวันนั้น หรือตัวตรปัจจุบันนี้ก็คือเธอ    และก็เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตการทำงานจะส่งผลให้มีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตมากขึ้น

แต่scandal ที่มาจากน้ำมือแม่แท้ๆเคยทำให้ชื่อเสียงของเธอสั่นคลอน เมื่อมีผู้เปิดเผยว่า แม่ของฮัน โซฮีเป็นมิจฉาชีพที่เชิดเงินแชร์หนีไป เมื่อพยายามติดตามทวงเงิน ก็อ้างว่า หากลูกสาวที่เป็นนักแสดงโด่งดังขึ้นมาเมื่อไร จะนำเงินมาใช้ให้ครบคินจำนวน เจ้าหนี้รายได้ยืนยันว่า เคยติดตามไปทวงเงินที่เอเจนซี่ของฮัน โซฮีด้วยซ้ำ เจ้าหนี้โจมตีทั้แม่ฮันโ ซฮีที่เป็นตัวการทำชีวิตพัง และฟาดแรงไปถีงนางเอกสาวด้วย

" ทุกครั้งที่ฉันเห็นเธอในTV ก็โกรธสุดๆ ฉันหยุดคิดไม่ได้เลยว่า เธอใช้เงินของฉันเพื่อก้าวมาเป็นดาราดังอยู่ทุกวันนี้ ในขณะที่ชีวิตฉันพังไปหมด แต่เธอได้เล่นละครTV ทั้งๆที่แม่ของเธอเป็นมิจฉาชีพ"

นางเอกสาวไม่ทิ้งให้สถานการณ์บานปลาย รีบประกาศขอโทษเหยื่อที่แม่เธอถูกโกงเงิน  และอธิบายว่า พ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เธอยังเล็กมาก  นับตั้งแต่อายุเพียง5 ขวบ เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับแม่ และมียายเป็นผู้เลี้ยงดูมาโดยตลอด  เมื่อเรียนจบมัธยมแล้วเธฮจึงย้ายมาที่โซลเพื่อวิ่งไล่ตามความฝันเพื่อจะเป็นนักแสดงดัง (มีรายงานว่า เธอมีเงินติดตัวราวๆแปดพันกว่าบาทตอนย้ายที่อาศัยในเมืองหลวง)    ครั้งแรกที่เธอได้รู้เรื่องหนี้สินของแม่ก็ยังมีอายุเพียง 20 แต่ก็พยายามทำงานหาเงินมาจ่ายหนี้แทนแม่เท่าที่เธอทำได้  เมื่อได้เดบิวท์ในวงการแสดง ก็ต้องพบกับความจริงจากเจ้าหนี้อีกหลายคนว่า แม่ใช้ชื่อเธอหลอกยืมเงินคนอื่นแล้วไม่ใช้คืน  ทั้งยังใส่ชื่อเธอลงในเอกสารทั้งๆที่เธอไม่รับรู้ และหนี้สินเหล่านั้นก็มากมายเกินกว่าเธอจะตามชดใช้ได้หมด    จากความคิดที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ของเธอว่า หากใช้หนี้ให้แม่แล้วจะจบๆไป แต่กลับทำให้มีเหยื่อเพิ่มเติมมาอีก (เพราะแม่ย่ามใจจนเสาะหาเหยื่อรายใหม่ไม่หยุด)

คุณน่าจะคิดภาพออกว่า แม้จะเป็นดาราดังแล้ว ฮัน โซฮีก็ยังไม่สามารถใช้เงินจากน้ำพักน้ำแรงได้เต็มที่เพราะต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนใหญ่แทนแม่ แต่เมื่อเรื่องราวถูกตีแผ่ออกมาเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นผลดีกับเธอในเวลาต่อมา เพราะผู้คนได้รับรู้ถึงพิษสงการหลอกลวงของแม่เธอและไม่ยอมให้กู้ยืมเงินอีก



เรื่องราวเริ่มกระจ่างขึ้นเมื่อสื่อได้ติดต่อไปยังเพื่อนร่วมชั้นเรียนของนางเอกดาวรุ่ง หลายคนยืนยันว่า แม่ไม่ได้มีบทบาทในชีวิตของฮัน โซฮีมากนัก เมื่อผู้ปกครองได้รับเชิญให้มาร่วมกิจกรรมของโรงเรียน ก็เห็นแต่ยายของเธอ ไร้วี่แววแม่ เพื่อนบางคนยืนยันว่า ยายรักเธอมาก และมันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่เธฮต้องมาถูกโจมตีจากพฤติกรรมคนเป็นแม่ตอนที่มีชื่อเสียงแล้ว ฮัน โซฮี ไม่ใช่ประเภทที่คอยอาศัยคนอื่น เพราะเธอดิ้นรนหาเงินจากการทำงานพาร์ทไทม์มาตั้งแต่อายุน้อย


คำพูดเหล่าของเพื่อนๆสอดคล้องกับภาพที่แฟนๆตามค้นใน social media ของนางเอกสาวสวย เธอเคยเล่าถึงความห่วงใยของยาย (ที่ใจดี๊ใจดีไม่ต่างจากยายสไตล์ซีรีส์) และบรรยายว่ายายเป็นทุกสิ่งของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำให้แฟนๆเชื่อมั่นว่า ฮัน โซฮีก็ไม่ต่างจากเหยื่อคนอื่นที่ถูกแม่หลอกใช้จนตกที่นั่งลำบาก และส่งกำลังใจให้เธอผ่านพ้นความทุกข์นี้ไปให้ได้ และหวังว่าแม่จะหยุดพฤติกรรมฉ้อโกงสักที

เวลาดูซีรีส์แล้วเจอพล็อทแบบนี้แล้วอาจจะเฉยๆเพราะมีมาบ่อยแล้ว แต่พอได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่มีตัวตนจริง ก็อดเศร้าตามไม่ได้เลย

 




ไอดอลหนุ่มgeneration ที่ 2  เคยถูกพ่อทารุณ และพบกับฝันร้ายกับโศกนาฏกรรมที่เศร้าสลด


ฉากความรุนแรงในครอบครัวในซีรีส์เกาหลีชื่อดังอาจจะกระชากจิตใจของผู้ชมมานักต่อนัก  แต่ในชีวิตจริง  เหยื่อต้องทนทรมานเพราะถูกย่ำยีจนใจสลายซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยน้ำมือของผู้ให้กำเนิด และผลที่ตามมาอาจจะรุนแรงยิ่งกว่าบทละครมากมากนัก

อาจจะไม่บ่อยนักที่เราจะได้ยินการเปิดใจของไอดอลระดับ top ถึงความทรงจำในอดีตที่ถูกผู้ให้กำเนิดทำทารุณกรรม ราวๆ 9 ปีก่อน อีทึก leader แห่งSuper Junior ได้สร้างความสะเทือนใจในหมู่แฟนๆ จากการเปิดเผยความมืดหม่นในช่วงชีวิตที่ต้องเติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่เอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และเขาต้องกลายเป็นเหยื่อความรุนแรง เมื่อพ่อหันมาทำร้ายร่างกายลูกชายที่ยังเด็กเพื่อระบายโทสะ   เขาได้หลั่งน้ำตาในรายการ  Good Day ในขณะที่บรรยายความรู้สึกหวาดกลัวพ่อมาก ถึงขั้นที่คิดว่า อะไรๆจะดีขึ้นมา หากเขาได้เกิดในครอบครัวที่ดีกว่านี้

ชีวิตวันเด็ดอันแสนระทมเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาทุ่มทุกอย่างเพื่อไขว่ค้าหาความสำเร็จ และในที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง leader ของบอยแบนด์ที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุค แต่ปมความขัดแย้งที่ถูกพ่อทำร้ายร่างกายตั้งแต่ยังเด็กนั้นอาจจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเค้าจนไม่สามารถหวนกลับคืน อีทึกประสบความสำเร็จในฐานะไอดอล generation ที่2 แม้จะเคยบาดเจ็บหนักจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่เมื่อฟื้นฟูร่างกายแล้ว หน้าที่การงานในวงการยังไปได้สวย โดยเฉพาะงานรายการ TV เขาตัดสินใจเข้ากรมในปี 2012 เพื่อรับใช้ชาติเป็นเวลาเกือบ2 ปี แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อนจะปลกประจำการ ก็ต้องพบกับข่าวสุดช็อค เมื่อพ่อและปู่ย่าของเขาเสียชีวิตในคราวเดียวกัน!
ในช่วงแรกที่ข่าวแพร่สะพัดออกมา  ต้นสังกัดได้แถลงการณ์แทนอีทึกว่า  พ่อและปู่ย่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และไม่นานนัก สื่อก็ได้รับเบาะแสจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุวว่า  มีจดหมายลาตายของพ่ออีทึกที่ระบุว่าได้พาพ่อแม่ไปสวรรค์ด้วยกัน ปู่ย่าเสียชีวิตเพราะถูกลูกชายรัดคอจนหมดลม จากนั้นเขาก็ได้ปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอ   มีรายงานว่า    พ่ออีทึกเผชิญกับความเจ็บป่วยเป็นซึมเศร้า  บวกกับปัญหาทางการเงินที่ย่ำแย่ที่ทำให้รู้สึกหมดหวังกับการดูแลพ่อแม่ที่แก่ชรา  แม้วางแผนไว้แล้วว่าจะส่งพ่อแม่ไปยังสถานดูแลคนชรา  แต่ก่อนหน้านั้นเพียงแค่หนึ่งวัน กลับตัดสินใจฆาตกรรมพ่อแม่และฆ่าตัวตายตามไป
จากเดิมที่มีความทรงจำในวัยเยาว์ที่ตอกย้ำให้เจ็บปวดอยู่แล้ว   เมื่อประสบกับเหตุการณ์อันรุนแรงยากจะรับไหว  อีทึกได้เข้าสู่อาการซึมเศร้าอย่างหนัก  หลังจากที่จองฮยอนแห่งSHINee ได้จากโลกนี้ไปด้วยการฆ่าตัวตายเพราะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า   เขาก็ได้เปิดใจว่า  ตัวเองก็ป่วยด้วยโรคนี้เช่นกัน   ความเจ็บป่วยที่ยากจะรับมือนั้น ทำให้เขาเกิดความคิดว่า คงจะดีกว่าหากจบชีวิตตัวเองไปซะ

อีทึกยังต้องรับหน้าที่หาเงินมาชดใช้หนี้ของพ่อที่สูงถึงห้าพันล้านวอน ช่วงที่วิ่งวนรับงานให้ได้มากที่สุด เขาจะมีเวลานอนพักผ่อนเพียงวันละสี่ชั่วโมง นั่นไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้แบกรับ เขายังเผยข้อความหนึ่งในจดหมายฉบับสุดท้ายของพ่อที่ทวงถามเขาว่า

"แกเชื่อจริงๆหรือที่ประสบความสำเร็จถึงทุกวันนี้ได้เพราะพึ่งตัวเองล้วนๆ"


อดีตที่ถูกพ่อ abuse ก็นับว่า dark แล้ว อีทึกยังถูกซ้ำเติมจนอาการซึมเศร้าย่ำแย่หนักจนทางกองทัพแนะนำให้ปลดประจำการก่อนกำหนดเพื่อไปดูแลความเจ็บป่วย แต่เขาตกลงใจปฏิบัติหน้าที่ต่อตามกำหนดเดิม (มีรายงานว่า ต้นสังกัดเป็นผู้แนะนำให้เขาอยู่ต่อ เพราะหากออกมาก่อนกำหนดจะทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่) เขาออกจากกรมมารับภาระที่หนักอึ้ง แม้ว่าเขาจะมีท่าทีที่ move on ไปจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของชีวิต แต่เมื่อได้เปิดเผยภาระหนี้สินและอาการป่วย ก็ทำให้แฟนๆได้เข้าใจว่า เหตุใดเขาจึงรับงานTVแบบไม่เว้นว่าง



อึทึกได้ใช้พื้นที่ความเป็นคนดังพูดถึงเรื่องความเจ็บป่วยทางจิตใจมาแล้วหลายครั้ง  เขาหวังจะสร้าง awareness ให้สังคมให้ความสำคัญกับปัญหานี้

"ผมได้บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวให้ทุกคนได้รับรู้ถึงชีวิตคนดังที่จริงๆแล้วไม่ได้เหมือนกับภาพที่เห็นกันภายนอก คนดังก็พบความทุกข์และเศร้าเสียใจได้มากมายเหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างกับคนอื่นครับ"






Superstar ที่แม่แท้ๆจำใจยกให้ครอบครัวอื่นเลี้ยงดูเพราะความยากลำบากจากชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว


คนดังแดนกิมจิหลายคนได้เปิดเผยประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงเดี่ยวและพ่อเลี้ยงเดี่ยว ภาพความลำบากของแม่ที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงและดูแลลูกเพียงลำพังได้กลายมาเป็นแรงใจสำคัญที่ทำให้พวกเขามุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จในวงการบันเทิง ด้วยความหวังที่จะพลิกชีวิตที่ขัดสน และพิสูจน์ให้คนในสังคมที่พิพากษาด้วยสายตาอคติให้เปลี่ยนความคิดในแง่ร้ายต่อครอบครัวแบบ single parent

แต่ในกรณีของแจจุงแห่ง JYJ นั้นซับซ้อนไปยิ่งกว่านั้น  เพราะนอกจากแม่ผู้ให้กำเนิดจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแล้ว  ปัญหาที่รุมเร้าในภายหลังก็ทำให้เธอตัดสินใจส่งลูกชายตัวน้อยให้ครอบครัวอื่นรับดูแลไปชั่วคราว โดยที่เธอไม่รู้มาก่อนว่าเป็นการยกให้เป็นบุตรบุญธรรมถาวร   และจะไม่ได้เจอกันอีกถึง 17 ปี

การเปิดเผยตัวตนของเธอไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีให้กับแฟนๆของแจจุงนัก เธอถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายทอดทิ้งลูกชาย และต้องการจะกลับมาสานสัมพันธ์กันใหม่เพราะรู้ว่าแจจุงกลายเป็น superstar ที่สร้างปรากฏการณ์ความโด่งดังทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น แต่หากวิเคราะห์จากปัญหาแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่ทั้งกีดกันและบีบคั้นให้เหลือตัวเลือกไม่มาก กรณีแม่ผู้ให้กำเนิดแจจุงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย เธอหย่าร้างกับสามีตั้งแต่อายุน้อย และไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูลูกตามลำพังได้ แม้แต่ครอบครัวฝ่ายตัวเองก็ไม่ยอมรับ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันมักได้รับคำแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากเอเจนซี่ที่มาพร้อมกับข้อต่อรองและคำเกลี้ยกล่อมให้ยกลูกน้อยไปเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวอื่น



แม้แม่แจจุงจะยืนยันว่าไม่ได้ทอดทิ้งลูกชาย และใช้เวลาเนิ่นนานในการค้นหาลูกและพิสูจน์กับเขาว่าเธอเป็นแม่แท้ๆ   เธอเล่าว่า ได้แอบไปมองเขาในขณะที่ไปโรงเรียนจากไกลๆ    เมื่อพยายามติดต่อพ่อแม่บุญธรรมเพื่อขอพบแจจุง ก็ได้รับการปฏิเสธว่า ลูกชายได่รับการดูแลที่ดีอยู่แล้ว และเธอควรจะถอยกลับไป    ถึงกระนั้นก็เคยกลับไปขอร้องเพื่อขอพบลูกอีก แต่ก็ถูกบอกปัดจากพ่อแม่บุญธรรมว่าส่งแจจุงไปเรียนที่อเมริกา  แต่เธอได้มาพบความจริงในภายหลังว่า แจจุงได้กลายเป็นนักร้องดังไปแล้ว

มีการเปิดเผยในภายหลังว่า แจจุงไม่ได้เข้าสู่กระบวนการอุปการะเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ทำให้เขามีชื่อในทะเบียนซ้ำซ้อนจนทำให้เกิดปัญหาต่อการเข้ากรม เมื่อได้พบกับลูกชายตามที่ใจปรารถนามานาน เธอได้แสดงความพยายามที่จะสร้างความปรองดองระหว่างสองครอบครัวด้วยคำขอบคุณต่อพ่อแม่บุญธรรมที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูแจจุงได้อย่างดีพร้อม และพยายามก้าวผ่านเหตุการณ์ความเข้าใจผิดในอดีตไปด้วยกัน

แต่การถ่ายทอดเรื่องราวอย่างละเอียดผ่านสื่อนั้นกลับทำให้สังคมมีปฏิกิริยาในทางลบกับเธอ แฟนๆจำนวนมากไม่รับฟังคำอธิบายถึงสาเหตุที่เธอพลัดพรากจากลูกชายคนดัง และมองว่า เธอได้ใช้สื่อเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องความสนใจและปั่นให้ผู้คนเชื่อว่าเธอคือเหยื่อ ทั้งๆที่เป็นฝ่ายยกลูกให้กับคนอื่น บ้างก็กล่าวหาว่า เรื่องปัญหาของครอบครัวที่เปราะบางนี้ควรจะจัดการกันอย่างเป็นส่วนตัว ยิ่งเธอประกาศต่อสาธารณชนให้รับรู้ทุกอย่าง ก็จะเพิ่มความกดดันให้กับแจจุงที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ตามที่สังคมคาดหวัง

แม่แจจุงต้องรับมือกับกระแสความโกรธเกรี้ยวจากชาวเน็ทที่ส่ง hate comment แบบไร้ความเห็นใจ ทำให้เธอใช้พื้นที่สื่อเพื่อย้ำว่า ไม่ได้เข้าหาลูกชายเพราะหวังเงิน แต่ถูกโจมตีหนักจนรู้สึกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ยังมีไอดอลอีกหลายคนที่มาจากครอบครัวที่ขัดสน พวกเค้าต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อหารายได้จนเหนื่อยล้า   ระหว่างที่ทุ่มเทฝึกฝนเป็นไอดอล ก็แบ่งเวลาทำงานพาร์ทไทม์ เรื่องของการกิน-นอน-ผ่อนคลายนั้นไม่ใช่เรื่องหลักในการดำเนินชีวิต แต่เป็นงานและงาน!

ความโด่งดังของแจจุงเป็นเหมือนกับสะพานที่ช่วยให้แม่ลูกได้มาพบกัน เพราะหากไม่ได้กลายมาเป็นไอดอล เธออาจจะเข้าใจผิดต่อไปว่าลูกชายยังอยู่ต่างประเทศ แต่กว่าจะมาเป็นแจจุงทุกวันนี้ ก็ต้องผ่านประสบการณ์ปากกัดตีบถีบเพื่อเอาตัวรอด เขาย้ายมาอาศัยในโซลด้วยความหวังเต็มหัวใจว่าจะเข้ารับการฝึกฝนจากค่ายดังเพื่อเดบิวท์  ไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวอีกมากมายที่ตั้งใจไขว่คว้าโอกาสแบบเดียวกันเพื่อพลิกชีวิตที่ยากจนให้ร่ำรวย ไม่ขาดแคลนอีกต่อไป 
 บางคนอาจจะมองว่า  ครอบครัวที่รับเลี้ยงอุปการะเด็กจะมีสฐานะการเงินมั่นคงเพียงพอที่จะส่งเสียลูกให้ทำตามความฝันแบบสบายๆ แต่ในขณะนั้น สถานะทางการเงินของครอบครัวของแจจุงกำลังมีปัญหา   เพื่อไม่ให้เป็นภาระของพ่อแม่ แจจุงที่มีอายุแค่ 15 -16 ปีจึงพยายามพึ่งพาตัวเองด้วยทำงานนอกเวลาการเป็น trainee  ทั้งงานเป็นตัวประกอบหนัง ขายหมากฝรั่ง ส่งสินค้าและเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ เขาต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจท้อแท้มาหลายครั้ง เข้าขั้นวิกฤติจนไม่มีเงินพอจะซื้ออาหาร เขาจึงบริจาคเลือดเพื่อจะได้รับขนมมากินคลายความหิวโหย  หลายครั้ง สิ่งที่เรียกว่าอาหารประทังท้องก็มีน้ำซุปจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE