แชร์สกินแคร์ตัวดัง เปลี่ยนผิวพังให้สวยปังได้
lemonhoneybee 45 21สวัสดีจ้าสาวๆ จีบันทุกคนนนนน
ตื่นเต้นๆๆๆ วันนี้เรากลับมาเขียนกระทู้อีกครั้งในรอบ 2 ปีเลย
เราหายไปนานแต่รอบนี้กลับมาพร้อมเรื่องราวมากมาย จากที่เรามาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ก็ได้ประสบการณ์หลายอย่าง เลยอยากจะเล่าให้ทุกคนฟัง ไว้จะทะยอยปั่นกระทู้เล่าให้ฟังน้า >.<
แต่สำหรับกระทู้แรกต้อนรับการกลับมานี้ เราจะมาแชร์การดูแลตัวเอง
ชวนสาวๆ มาเปลี่ยนหน้าพัง ให้กลับมาปัง ปัง ปัง กันจ้า
ก่อนจะเริ่มพูดถึงว่าเราทำอย่างไรบ้าง เราอยากจะแชร์เรื่องราวที่มาที่ไปกันก่อน เพราะเรื่องการดูแลตัวเองเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่ถ้าไม่ตั้งใจก็อาจล้มเลิกกันไปง่ายๆ เหมือนกัน ต้องใช้พลังใจขุดจากอินเนอร์กันเลยทีเดียว
สารภาพเลยค่ะทุกคน ว่าเราเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบทาครีมบำรุงผิวหน้าเลย จริงๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเราก็เคยลองซื้อครีมยี่ห้อนึ่งมาใช้นะ ด้วยความที่เราเป็นสิว ผิวแพ้ง่าย พี่สาวก็บอกว่าลองใช้แบรนด์ๆ นึ่ง เป็นเวชสำอางค์ (เป็นแบรนด์นิยมที่รู้จักกันดีด้วยนะ) พี่ก็บอกว่า พี่ใช้แล้วสิวก็ดีขึ้นเลย... พอเราลองเท่านั้นแหละทุกคนนนนน สิวเห่อหนักกว่าเดิมอีกง่า T^T เลยกลายเป็นคนที่กลัวการทาครีมมาก และที่เห็นสวยๆ (ใช่ค่ะ! ฉันชมตัวเองค้าาา) ก็คือแต่งหน้าเท่านั้นนะคะที่ช่วยชีวิตศรีได้ ด้วยความที่เรามีพี่สะใภ้คนสวยเป็นไอดอลด้านความงาม ที่เราชอบแอบดูเขาแต่งหน้ามาตั้งแต่ตอนเด็ก เราก็จัดเลยจ้าเครื่องสำอางค์ใดๆ มาให้หมด จะเป็นสิว เป็นรอยดำ รอยแดง รองพื้นคอนซีลเลอร์กลบได้ แต่จริงๆ ถ้าช่วงไหนพังหนักๆ กลบยังไงก็ยังแอบเห็นรอยอยู่ แต่ก็ยังถือว่ารอดเราก็ปล่อยผ่านเรื่องดูแลผิวไปเลย ถ้าใครเคยเห็นเราในเวอร์ชั่นหน้าสดไม่แต่งหน้า ก็จะเข้าใจสภาพความเยิ่นความพังของหน้าเราอ่ะนะ
พอมาอยู่ที่ออส อากาศที่นี่ดีมาก ไม่มีมลพิษใดๆ ( ยกเว้นช่วงไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ ) อาจเพราะเราอยู่นอกเมืองหน่อยนึ่งด้วยแหละ ข้างหน้าเป็นทะเล ข้างหลังเป็นภูเขา อุณหภูมิที่มาถึงวันแรกคือ 12 องศา คือช่วงฤดูใบไม้ผลิของที่นี่อ่ะนะ แต่มันก็หนาวจับใจสำหรับคนที่มาจากอุณหภูมิ 20 องศาขึ้นไปอย่างเราๆ ก็นั่นแหละ พออากาศหนาว ผิวก็แห้งเลยจ้า พี่สาวเลยบอกให้ทาครีมบ้าง เราก็เปิดใจนิดนึ่ง ทาสกิลแคร์ของพี่นั่นแหละ ตอนนั้นใช้แบรนด์ CLINIQUE ตัว Dramatically Different™ Oil-Free Gel สูตรธรรมดาก็ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวนะ แต่ก็ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง แล้วก็หยุดใช้ไปหลังจากหมดฤดูหนาว สไตล์คนขี้เกียจอ่ะนะ
ขี้เกียจได้ 2 - 3 เดือนเอง ก็เปลี่ยนฤดูอีก แค่ฤดูใบไม้ร่วงอาการหนาวเริ่มมาอีกแล้ว คราวนี้เลยลองไปซื้อ Dramatically Different™ Oil-Free Gel เหมือนเดิม เพิ่มเติ่มคือเป็นแบบ Clinique ID ที่เพิ่มตัวบูสเตอร์ผิวเข้ามา เราเลือก Active Cartridge Concentrate for Pores & Uneven Texture
สีฟ้าจ้า แบรน์เคลมว่าจะช่วยปรับสภาพผิวให้สดชื่น ใสสว่าง รูขุมขนดูเล็กลงด้วย AHAs เราก็เลงที่ปัญหารูขุมขนเลยเลือกตัวนี้ หลังจากที่ใช้ ความชุ่มชื่นตัวนี้ยังทำได้ดี แต่เรื่องรูขุมขนเรายังไม่เห็นชัดเท่าไหร่ อาจเพราะยังใช้ได้ไม่นาน และ ใช้บ้างไม่ใช้บ้างตามเคย (-_-“)
เมื่อก่อนเราเคยเป็นคนที่คิดว่าการใช้ชีวิตที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้แย่อะไร ก็ดูแลตัวเองปกตินะ ทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว แต่ใจจริงแล้วก็รู้แหละว่าทำได้ดีมากกว่านี้ เคยมีช่วงที่อยากหุ่นดีขึ้น ออกกำลังกายได้ 2-3 อาทิตย์ก็เลิกละ เหมือนเรื่องทาครีมก็เหมือนกัน ไม่จริงจังกับอะไรเลย
แต่ แต่ แต่ โชคชะตาก็ทำให้เราเจอกับคนคนนึ่ง คนที่เข้ามาทำให้เรารู้ว่า การที่เราจะรักใคร จะดูแลใครได้ เราต้องรักและดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ทำให้เราได้กลับมามองตัวเองอย่างจริงจังว่าทุกวันที่เป็นอยู่นี้เราดูแลตัวเองดีพอจริงๆ รึยัง
เราเคยมีความคิดนะว่า "คนที่จะรักเรา ก็ต้องรักที่เราเป็นเราสิ ไม่เห็นจำเป็นที่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครเลย" แต่เขาบอกเราว่า “การที่เราดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น พัฒนาตัวเองทั้งรูปร่างหน้าตา ไม่ใช่การทำเพื่อเขา แต่มันเพื่อตัวเราเองทั้งนั้น" เราเป็นคนดื้อมาก มากแบบมากจริงๆ ขนาดพี่ๆเราบอกให้เราดูแลบำรุงผิวภัณฑ์บ้าง เราก็ไม่เคยจะเชื่อฟัง แต่พอได้ยินคำที่พูดว่า “จริงๆชอบเธอหน้าสดที่เป็นธรรมชาติมากกว่านะ ถ้าดูแลผิวดีๆ ก็โอเคแล้วเนี้ย” เท่านั้นแหละทุกคนนนน พี่ๆพูดไม่ฟัง ผู้ชายพูดครั้งเดียว วางแปรงแต่งหน้าลงแล้วหาครีมมาทาเลยจ้าาาาา (รับบทสาวคลั่งรัก >///<)
ใกล้จะเข้าเรื่องแล้วจ้า อย่าพึ่งเบื่อความเวิ่นเว้อของเราน้าาา
อ่ะ ต่อๆ ด้วยความที่เราก็เป็นคนที่ไม่ได้สนใจจะดูแลผิวแบบจริงจังมาก่อน จะเริ่มตรงไหนละ???
วันก่อนหน้าที่คำพูดนั้นจะเข้ามากระแทกใจ ก็คือพึ่งตั้งเป้ากับตัวเองไว้เลยว่าหลังจากนี้จะพยายามแต่งหน้าทุกวัน (คือพอมาอยู่ออส เราไม่ค่อยได้แต่งหน้า ส่วนมากก็จะแค่เขียนคิ้ว เพราะนิสัยเดิมก่อนจะเป็นสาว จริงๆ แล้วขี้เกียจแต่งหน้ามาก และชอบปล่อยหน้าสด แต่ก็ไม่ดูแลผิว งงตัวเองไหม!!!)
พอตั้งเป้าอย่างนั้น อิฉันก็ไปเหมาเครื่องสำอางค์ใหม่เลยจ้า เพราะอันเดิมจากไทยก็คือไม่ค่อยได้ใช้ เราก็คัดบางอันทิ้งแล้วซื้อเพิ่มอีกหลายตัวเลย แต่ที่ซื้อจนได้กิ๊ฟเซตแถมมาก็คือ “ Estee Lauder “ พอดีเราเลือกเซตที่มีสกิลแคร์มาด้วย (ไม่ได้เลือกที่ครีม แต่เซตนั้นมีลิปสติก กับ มาสคารา ด้วยเลยเลือกจ้า)
ก็นั้นแหละค่ะ พออยู่ๆ ผู้บอกบำรุงผิว เราก็เลยหยิบสกิลแคร์ที่ได้ฟรีมาลองเลย (ความกลัวผิวแพ้กลัวเป็นสิวของหล่อนหายไปไหนหมดหย่ะ -_-“)
ผลลัพธ์ก็คือ!!!
ตื่นเช้ามาส่องกระจก เราช็อกมาก... หน้าฟูมากกกก ( คาดว่าเป็นเพราะผิวหน้าเราคงจะสะดุ้ง เหมือนดินหน้าแล้งที่ไม่เคยเจอน้ำแล้วได้น้ำฝนยังไงหยั่งงั้นเลยทุกคนนนน ) คือที่เราบอกว่าหน้าฟู จะเป็นลักษณะ ผิวอิ่ม ไม่โทรม ดูสดชื่นมากขึ้น แต่ที่เป็นสิวก็ยังเป็นอยู่นะ
เห็นผลลัพธ์อย่างนั้นก็ไม่รอช้าจ้า สั่งครีมมาส่งที่บ้านทุกวัน คือเป็นช่วงล็อคดาวน์พอดีเราเลยไม่ได้ไปซื้อที่ช๊อป ก็ต้องหาข้อมูล อ่านรีวิวสกินแคร์แต่ละตัวที่จะสั่งให้ละเอียดเลยละ (ความกลัวแพ้ยังกลับมาอยู่บ้าง -..-‘) ซึ่งแต่ละตัวที่เราเลือกมาลองก็ต้องบอกเลยว่าเป็นตัวดังที่หลายๆ คนเคยใช้แล้วเห็นผลดีกันเยอะ
อ่ะ!! จะเข้าเรื่องจริงๆ แล้วน้าาาาา
ตัวแรกที่เราใช้เลยคือ!!!!
Estee Lauder - Advanced Night Repair Synchronized Multi-Recovery Complex
เป็นเซรั่มตัวดังในตำนานของเขาเลยจ้า (มารู้ทีหลังว่าได้ของดีแถมมา) แบรนด์เคลมว่า ช่วยฟื้นบำรุง ช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้รูขุมขนดูกระชับ แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีมาก อันนี้คอนเฟิร์ม เลิ๊ฟๆ
หลังจากนั้นเราก็สั่งซื้อไซต์ใหญ่ขึ้นจาก Sephora แล้วที่โชคดีก็คือ มีโปรแบบเซตด้วยจ้า ก็คือคุ้มมากกกกก ( ดวงคนจะสวยช่วยไม่ได้เจงๆ ) ซึ่งตอนนั้นเราสั่ง SK-ll Treatment Essence กับ Sulwhasoo First Care Activating Serum มาด้วย ล็อทแรกมาพร้อมกันสามตัวเลยจ้า
SK-ll Treatment Essence หลายๆ คนคงรู้จักสกินแคร์ตัวนี้ในนาม "น้ำตบป้าเจี็ยบ" เป็นเอสเซนที่ใช้แล้วสดชื่นผิวมาก เราใช้แบบหยดที่มือแล้วตบๆ เป็นน้ำตบที่หน้าเลย แต่ถ้าบางคนจะหยดใส่สำลีแล้วเช็ดเบาๆ แทนก็ได้นะ ***มีข้อระวังอยู่อย่างนึ่งเลยคือ อย่าดมกลิ่น!!! ด้วยความที่ตอนหาข้อมูล ทางแบรนด์บอกว่ามีส่วนประกอบพิเศษที่ชื่อว่า “พิเทร่า” ซึ่งค้นพบสูตรนี้จากการบ่มหมักสาเกนั่นเอง เราก็เลยไม่พลาดที่จะลองดมกลิ่นดู เป็นไงละ!!! T_T แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยลองใช้ ก็อย่ากังวลเรื่องกลิ่นนะ เพราะกลิ่นจะไม่ได้คละคลุ้งอยู่บนใบหน้าเราหรอก แค่มาแบบแปบๆ แล้วก็หายไป บางครั้งก็ไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ ก็เอาเป็นว่าอย่าตั้งใจดมแบบเราก็พอ ฮ่าๆๆ
ส่วน Sulwhasoo First Care Activating Serum ถ้าใครชอบกลิ่นแนวสมุนไพรหน่อยๆ ก็น่าจะชอบนะ เพราะกลิ่นโสมแรงมากเหมือนขนมาทั้งสวนจากเกาหลีเลยจ้า (-.,-“) เป็นเซรั่มเนื้อบางๆ สีคล้ายน้ำผึ้ง ตัวนี้เราใช้ต่อจากเอสเซนเลย จากคำเคลมก็คือเป็นพรีสกินแคร์ ที่มีคุณสมบัติช่วยเสริมการทำงานของสกินแคร์ตัวต่อๆ ไปที่เราจะใช้จ้า
พอใช้ได้สักพัก เราก็หาอีกตัวมาเพื่อจะใช้ในตอนเช้า เพราะตัว Estee Lauder เราใช้แค่ตอนกลางคืนอย่างเดียว ก็มาลงเอยที่ Lancome Advanced Genifique Serum เซรั่มตัวดังของลังโคมเลยจ้า ตัวนี้เริ่มจากพี่ที่ทำงานบอกว่าใช้ดีมาก เราก็เลยมาตามหาข้อมูลดูรีวิว แล้วเห็นกองเชียร์เยอะมากเลยจัดมาลอง ตอนได้มาเราใช้ตอนกลางคืนด้วย ลงหลังจาก Sulwhasoo แต่ลงก่อนตัว Estee Lauder เพราะเห็นว่าเนื้อเบากว่า ตื่นมาตะลึ่งอีกครั้งจ้า ( *o* ) เพราะหน้าเปล่งปลั่งเพิ่มขึ้นไปอีกกกก
และด้วยความที่เราเป็นคนผิวหน้าคล้ำกว่าผิวคอ เพราะไม่เคยทาครีมกันแดดเลยยยยยย เพราะกลัวการอุดตัน แล้วก็คือฉันใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่ไม่มีชั้นโอโซนช่วยป้องกันรังสี UV ใดๆ ก็ปล่อยให้แดดฟาดหน้าไปเลยจ้า แล้วเป็นไง!! สภาพ!!!! พี่สาวเราเลยบอกให้ลองทาครีมกันแดดของพี่ดู เราก็หาข้อมูลเพราะกลัวแพ้ แต่กันแดดตัวนี้ดังมาก สาวๆ รู้จักแน่นอน นั่นก็คือ ANESSA Perfact UV Sunscreen Skincare Gel SPF50+ PA++++ ตัวนี้เลยจ้า ใช้แล้วโอเคมากๆ ทาหลังจากลงสกินแคร์บำรุงผิวตัวอื่นๆ เสร็จแล้ว ไม่ทิ้งความมัน ไม่เหนอะหนะ แล้วเราก็ตบด้วยแป้งเด็กอีกรอบนึ่ง เราใช้แป้ง KODOMO Baby Powder สูตร Extra Mild for Sensitive Skin เบาๆ สองตัวนี้ใช้คู้กันแล้วไม่อุดตันจ้า
เราใช้เซตนี้ไปสักพัก สภาพผิวก็เริ่มดีขึ้น เรื่องสิวก็เริ่มโอเคขึ้นบ้างแล้ว จะมีบ้างก็ตอนเป็นประจำเดือนนิดหน่อยไม่มากนะ เราก็พยายามไม่บีบ แต่บางครั้งก็เผลอมือบ้างก็มี ก็เลยจะมีรอยดำรอยแดงทิ้งไว้ เราเลยเริ่มหาสกินแคร์มาเพิ่มอีก อยากได้ตัวที่ช่วยเรื่องรอยดำรอยแดง
หาอยู่สักพักก็เลือก Kiehl’s Clearly Corrective™ Dark Spot Solution ตัวนี้จะปราศจากซิลิโคน, สารกันเสีย, น้ำหอม, สี และเทคโนโลยีกระจายแสง นอกจากเรื่องลบเลือนรอยต่างดำ ก็ช่วยเรื่องปรับสีผิวให้สม่ำเสมอด้วย ตัวนี้โอเคเลย แล้วก็ได้อีกตัวมาพร้อมกันด้วย นั่นคือ Calendula Herbal-Extract Toner Alcohol-Free จริงๆ เราก็หาโทนเนอร์อยู่พอดี แล้วตอนหาข้อมูลก็เจอตัวนี้ที่น่าสนใจ เพราะไม่มีแอลกอฮอล์ แบรนด์เคลมว่าช่วยปลอบประโลมและปรับสภาพผิว ช่วยเรื่องกระชับรูขุมขนด้วย แล้วเป็นตัวขึ้นหิ้งของแบรด์นี้ มีส่วนประกอบของดอกดาวเรืองด้วยนะ ใครเคยใช้ก็จะเห็นกลีบดอกลอยอยู่ในขวดเลย ผิวแพ้ง่ายอย่างเราสบายใจได้
ด้วยความที่เราเคยเห็นรีวิวตัวแต้มรอยสิวของแบรนด์นึ่งมานาน แล้วอยากลองใช้ (แบรนด์เดิมที่เคยแพ้ตั้งแต่มหาลัยฯ) ก็เลยสั่งมาจากไทยด้วย จริงๆ เอามาอีกหลายตัวเลย คือ Eucerin UltraWHITE+ Spotless Spot Corrector , Puricas Dragon's Blood Anti Acne Gel , Mamonde Pore Clean Stick แล้วก็ CYBELE Scagel ของ Bangkok Botanica หลอดขาวเขียว คือกลายเป็นคนบ้าสกินแคร์ไปเลยจ้า แล้วความที่อยากลองไปทุกอย่างเนี้ยแหละ ทำให้เกิดเรื่องอีกครั้ง
หน้าเราแพ้ค่ะทุกคนนนนน!!!
กลับมาแพ้หลังจากที่ใช้เซตล้าสุดที่มาจากไทย มีสิวผดขึ้น แต่ที่เราสังเกตุได้คือมันจะขึ้นบริเวณที่เราแต้มรอยดำรอยแดงสิว คือพอเราได้มา แม้แต่รอยแดงแบบจางๆ ที่ใกล้หายแล้ว เราก็แต้ม แล้วสิวก็ขึ้น เราเลยหยุดใช้ที่แต้มรอยสิวของ Eucerin เพราะจุดที่ผดขึ้นมันมีแค่ตัวนี้ที่เราใช้แต้ม ประกอบกับก็เคยแพ้ตัวอื่นของแบรนด์นี้ด้วย (เสียใจง่าา T^T) ก็เป็นอันว่าลาก่อยยยย
***เรื่องแพ้ผลิตภัณฑ์นี้เราไม่ได้มีเจตนาจะว่าแบรนด์ไม่ดีนะคะ เพราะผลิตภัณฑ์แบรนด์ Eucerin ในไลน์อื่นก็ดีมากค่ะอย่างเช่น Eucerin pH5 shower oil ที่เคยให้ อาบแล้วผิวสุขภาพดี ชอบกลิ่นด้วย ขอย้ำว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่แพ้แกล้วเกิดกับตัวเอง มีคนอีกมากที่ใช้แล้วเห็นผลดีกับตัวเอง คนไหนที่อยากจะลองให้ก็ให้ค่อยๆทดสอบก่อนจะใช้จริงนะคะ เป็นการเซฟตัวเองเนาะ
เราหยุดใช้สักพักก็เริ่มยุบไป และเรายังใช้ที่แต้ม Dragon's Blood เหมือนเดิมจ้า ตัวนี้ไม่ได้ใช้ประจำทุกวันนะ เอาไว้แต้มๆ เวลาเป็นสิวจ้า ส่วนตัว CYBELE Scagel ก็ใช้ดีนะเราชอบกลิ่น หอมอ่อนๆ
ส่วนเรื่องการทำความสะอาด
แต่ละวันเราจะเช็ดด้วย Garnier Micellar Cleansing Water เราชอบตัวนี้มากเพราะไม่ขมปาก จะเช็ดจนสำลีเป็นสีขาว (หมายถึงเปลี่ยนหลายแผ่นนะคะ) แล้วหลังจากนั้นก็จะล้างหน้าด้วย Acne - Aid Gentle Cleanser สูตรสีฟ้าจ้า อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย และบางวันก็จะสครับหน้าด้วย ST.Ives - Blackhead Clearing Green Tea & Bamboo Face Scrub ที่เลือกตัวนี้เพราะเราเห็นเคลมว่าเป็นสครับที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 100% เป็นแบรนด์ดังจากฝั่งอเมริกา เลยลองดูอ่ะ ผลก็คือดีมากๆ เลย รู้สึกผิวหน้าสะอาด แต่ไม่แห้งตึง เลิศอยู่เด้อ สาวๆ อย่าลืมสครับผิวกันด้วยน้า เพราะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า และสิ่งตกค้างที่เกาะกับผิว ผิวจะได้สะอาด พร้อมรับการบำรุงที่ดีนะ แต่ก็ต้องเลือกสครับดีๆที่อ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว สำหรับเราสครับ 2 - 3 ครั้งต่ออาทิตย์จ้า (จริงๆ ตัวที่เราใช้ แบรนด์เคลมว่าสามารถใช้สครับทุกวันได้ แต่เราก็เซฟๆ ตัวเองก่อน)
พอพูดถึงขั้นตอนล้างหน้า ก็นึกขึ้นได้ว่า ผิวเราพังก่อนหน้านี้อีกรอบนึ่งตอนเริ่มดูแลแรกๆ จำได้ว่าใช้สกิลแคร์แล้วดีขึ้น แต่ก็อยากให้สิวหายเร็วๆ เลยลองใช้ Benzac AC Gel 5% ทาไว้ก่อนล้างหน้า เห็นหลายๆ คนใช้แล้วดี สิวหาย แต่เราไม่รอดจ้า พัง พัง พัง T^T สิวผดขึ้นไม่ไหวแล้วแม่ หยุดใช้แล้วต้องบำรุงใหม่ กู้ผิวหน้าอยู่พักนึ่งเลยกว่าจะดีขึ้น
พอมาถึงจุดนี้ก็หยุดหาสกินแคร์ใดๆ มาเพิ่มก่อน เพราะเซตที่ใช้อยู่นี้กำลังโอเคเลย ต้องให้เวลากับสกินแคร์แต่ละตัวได้ทำงานด้วยแหละ แต่เท่าที่ใช้อยู่ก็ถือว่าสภาพผิวเราดีขึ้นเร็วมากเลยนะ ไม่กี่เดือนเองประมาณ 3 เดือนกว่าเอง (จริงๆ ก็จะดีขึ้นเร็วกว่านี้ ถ้าไม่กลับไปพังแล้วพังอีก กู้แล้วกู้อีกสองรอบเนี้ย เซงเลย -..-“)
***สาวๆ ที่อยากหาสกินแคร์ใหม่ๆ มาใช้ก็ให้ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ ทดลองกับผิวส่วนอื่น อย่างที่ หลังกกหู , ท้องแขน หรือ หลังมือ ก่อนสัก 1 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอาการแพ้ใดๆ ก็ค่อยลองกับผิวหน้าเรานะคะ (ใจร้อน ซื้อแล้วทาเลยแบบเรา อย่าหาทำ!!!)
เอาไว้เราจะทะยอยเขียนกระทู้รีวิวสกินแคร์แต่ละตัวอย่างละเอียดอีกทีน้า
สรุปลำดับการลงสกินแคร์ของเราหลังล้างหน้าเสร็จ
เช็ดด้วย Kiehl’s Calendula Herbal-Extract Toner Alcohol-Free (ใช้ทั้งกลางคืนและกลางวัน)
ใช้ SK-ll Treatment Essence ตบเหมือนน้ำตบผิว ประมาณ 3 หยด (ใช้ทั้งกลางคืนและกลางวัน)
ลง Sulwhasoo First Care Activating Serum (ใช้ทั้งกลางคืนและกลางวัน)
Lancome Advanced Genifique Serum (กลางวัน)
Estee Lauder - Advanced Night Repair Synchronized Multi-Recovery Complex (กลางคืน)
Kiehl’s Clearly Corrective™ Dark Spot Solution (ใช้ทั้งกลางคืนและกลางวัน)
Clinique ID Dramatically Different™ Oil-Free Gel สีฟ้า (กลางคืน)
ถ้าเป็นตอนเช้าจะทากันแดด ANESSA Perfact UV Sunscreen Skincare Gel SPF50+ PA++++
หลังลงกันแดดก็จบด้วย KODOMO Baby Powder สูตร Extra Mild for Sensitive Skin
*** ด้วยความปั่นกระทู้ช้า เราพึ่งซื้อ fresh - Rose Deep Hydration Face Cream มาลองใหม่อีกหนึ่งตัว ไว้ใช้ได้สักพักจะรีวิวแยกอีกทีน้า (เราใช้สลับกับ Clinique ตอนกลางคืนจ้า)
และนอกเหนือจากการดูแลบำรุงผิวด้วยสกินแคร์แล้ว เราก็ดูแลตัวเองด้านอื่นเพิ่มขึ้นด้วยนะ จากคนไม่ค่อยดื่มน้ำ ก็ฝึกดื่มน้ำให้ได้ 2- 3 ลิตรต่อวัน พยายามกินผักผลไม้มากขึ้น แต่สิ่งที่เรายังทำไม่ได้คือการเข้านอนเร็วเนี้ยแหละ รู้นะว่าถ้าทำได้จะดีต่อผิวตัวเองมากๆ แต่ก็พยายามนอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงนะ
จบแล้วจ้ากับการพัฒนาตัวเอง ดูแลตัวเองในเรื่องผิวภัณฑ์
ส่วนในเรื่องรูปลักษณ์ คือเราเป็นคนผอมแต่มีพุง ( มันไม่โอเคเลย T^T ) ตอนนี้เราก็พยายามลดพุงอยู่ ก็ดีขึ้นนะ จากตอนมาออสแรกๆ น้ำหนักแตะ 50 กิโล ตอนนี้เหลือประมาณ 41 - 42 แล้ว ไว้เราจะเล่าเรื่องลดน้ำหนักให้ฟังอีกกระทู้นะ
ตอนนี้เราก็พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เราคิดว่า หลักๆ เลยคือเรื่องความคิด ทัศนคติ ซึ่งเราว่าสำคัญมากๆ ต่อชีวิตเราเลยเพราะมีผลต่อทุกอย่างจริงๆ จากคนคิดลบ ก็ฝึกคิดบวกขึ้น สบายใจขึ้น แล้วมีเป้าหมายในชีวิต ที่อยากจะทำอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ต้องขอบคุณผู้ชายแสนดีคนนี้จริงๆ ที่พลักดันและเป็นพลังให้เราเริ่มต้นที่จะพัฒนาตัวเองแบบนี้ คำพูดติดปากของเขาเลยคือ “ให้รักตัวเองให้มากๆ ดูแลตัวเองดีๆ”
ยอมรับเลยว่าแรกๆ เริ่มด้วยความอยากดูดีขึ้นเพื่อชนะใขเขา แต่พอลองทำแล้วเราเห็นผลลัพธ์ที่ดีเกิดกับตัวเองขึ้นมาจริงๆ เราก็อยากทำต่อ ทำให้ดีมากขึ้นทุกวัน ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นมันคือเพื่อตัวเราเองด้วยแล้วแหละ และในตอนนี้เราก็รักตัวเองขึ้นมากจริงๆ อย่างคำที่เขาเคยพูดไว้เลย
ขอบคุณนะคะ คุณชนาธิป :)
วันนี้ลาไปก่อนแล้วจ้า อาจเป็นกระทู้ที่เขียนยาวเยียด เล่าไปเรื่อยอ้อมโลก แต่ก็เขียนมาจากใจที่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของเรา และหวังว่าเรื่องของเราจะช่วยเพื่อนๆ บางคนที่อยากจะดูแล พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วยเหมือนกันน้าาา เราขอขอบคุณทุกคนที่อ่านจบมาจนถึงตอนนี้นะคะ
ไว้เจอกันใหม่กระทู้หน้านะทุกคนนน บั๊ยบายยยย
กระทู้ต่อไป : อยากกู้ร่างพัง แบบไม่ต้องเสียตัง ทำไง?
https://www.jeban.com/topic/338198
https://www.jeban.com/topic/338198