เหตุผลที่คนดังเลือกจะไม่มีลูก

48 15


จากการนำเสนอรับมือกับสถานการณ์อัตราการเกิดลดลงเป็นประวัติการณ์ด้วยการดึงตัว influencer มาร่วมประชาสัมพันธ์ชักจูงใจให้ประชาชนหันมามีลูก สังคมอาจจะจะมีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกันไป หลายคนอาจจะยกเรื่องเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองและปัญหาสังคมมาเป็นเหตุผลรองรับในการตัดสินใจในการใช้ชีวิตต่อไปจนแก่เฒ่าโดยไม่มีทายาท

แต่เอัตราการเกิดที่ต่ำลงนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมโลกแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจอย่างจีนที่มีเด็กเกิดใหม่ต่ำลงมากที่สุดในรอบ 7 ทศวรรษ หรือจะเป็นญี่ปุ่นที่มีการสร้างละครหรือมังงะออกมาสะท้อนปัญหานี้หลายครั้ง รวมไปถึงประเทศที่พัฒนาแล้วในสแกนดิเนเวียที่มีชื่อเสียงเรื่อง parental benefit ลองมาชม Sweden ที่มักจะสร้างความอิจฉาให้กับพ่อแม่อีกหลายประเทศ จากเรื่อง parental benefit ที่สามารถลาได้มากที่สุด 490;yo โดยรับค่าตอบแทนโดยรัฐจะคำนวณจากเงินเดือนข โดยหารออกมาเป็นรายได้ต่อวัน และจัดสรรbenefit ให้กับพ่อแม่ราวๆ 80% ของรายได้ยาวถึง390 วัน ส่วนอีก 90 วันจะเป็นbenefit ขั้นต่ำ (และยังขึ้นอยู่กับรายได้ว่าไม่เกินจากเพดานที่รัฐกำหนดไว้ด้วย)

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงโสดก็ยังสามารถเข้าถึงเงินสนับสนุนจากรัฐเพื่อนำไปใช้จ่ายในการมีลูกคนแรกด้วยวิธีIVFได้ไม่ต่างจากผู้หญิงที่มีคู่ครอง และสามารถเลี้ยงดูลูกในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว





ภาพของ Latte Pappas หรือคุณพ่อบ้านที่ลางานออกมาเลี้ยงดูลูก ถือแห้วหาแฟจิบชิลๆกับลูกน้อยในรถเข็นนั้นทำให้เหล่า expat ตื่นตาตื่นใจได้เสมอ รัฐบาลได้แสดงความภูมิใจจากนโยบาย parental benefit ที่เริ่มมาตั้งแต่ ปี 1974 และได้สนับสนุนความเสมอภาคทางเพศ คุณแม่สามารถกลับไปทำงานโดยที่ฝากหน้าที่ดูแลลูกให้กับคุณพ่อโดยไม่สร้าง stigma ว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย ที่สำคัญ นโนบายที่สนับสนุนครอบครัวที่มีลูกด้านทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล ระบบการศึกษาที่มีชื่อเสียง เรทภาษีสูงลิบลิ่วที่จ่ายให้กลับรัฐไปนั้น ทำให้หลายครอบครัวรค้นพบว่า ช่างแสนคุ้มค่าเมื่อได้มีลูก และสามารถเข้าถึงสวัสดิการชั้นเยี่ยมที่สนับสนุนให้เด็กๆเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ


แต่ถึงกระนั้น ตัวเลขของประชากรใน Sweden ที่อยู่อาศัยผู้เดียวโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วยก็สูงขึ้น อัตราการเกิดของเด็กน้อยลงไป และได้นำมาซึ่งการวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆที่ทำให้ผู้คนมีลูกกันช้าลง หรือเลือกที่จะไม่มีลูกเลย


และนี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้คุณมองเห็นภาพว่า   ถึงจะดึงตัวคนมีชื่อเสียงมาชักจูงให้คนรุ่นใหม่หันมามีลูกเพื่อสร้างทรัพยากรพัฒนาชาติ   แต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในการกระตุ้น    เพราะแม้จะสร้างฐานะให้พร้อมดูแลชีวิตใหม่ที่จะลืมตาดูโลกขึ้นมา  แต่ก็มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนละทิ้งความคิดจะเป็นพ่อแม่


แม้แต่วงการ Hollywood ซึ่งเหล่าคนดังที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งดุจเพชร สามารถเข้าถึงตัวช่วยต่างๆเพื่อสร้างครอบครัว เป็นเรื่องไม่แปลกที่เราจะได้เห็นพ่อแม่คนดังที่มีลูก4-5 คน หรือมากกว่านั้น แต่ก็ยังมีผู้ที่ประกาศจุดยืนว่าจะไม่ขอมีลูกจนทำให้สังคมไล่เบี้ยถามเหตุผล


พวกเค้ามีแนวคิวต่อเรื่องนี้เช่นใด มาติดตามได้เลยค่ะ


สายเกินไปจะมีลูก


หลายคนคงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้คนสมัยนี้มีลูกช้ากันไปจากคนgenก่อนๆมาก ไม่ว่าจะเป็นคนดังที่ประกาศข่าวการตั้งท้องลูกคนแรกในวัยสามสิบปลายและขึ้นหลักสี่กันเป็นเรื่องปกติ รวมไปถึงคนทั่วไปในสังคมที่กว่าจะพบคนที่ใช่ จำต้องใช้เวลาเพื่อการศึกษาเรียนรู้กันและสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อวางแผนมีครอบครัว กว่าจะมั่นใจว่าพร้อมที่จะดูแลชีวิตหนึ่งให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข


สำหรับดังที่หลายคนมองว่ามี privilege จากสถานะทางการเงิน ถึงจะมีลูกสักครึ่งโหลก็ไม่กระทบต่อทรัพย์สินที่มีอยู่ล้นเหลือ แต่ดังที่ได้บรรยายไว้ข้างต้นว่า ยังมีอีกหลายปัจจัยที่มีอิทธิลต่อการตัดสินเรื่องขยายครอบครัวใหญ่ใหญ่ขึ้น สำหรับ Keanu Reeves ที่เคยมีภาพลักษณ์ของหนุ่มโสดผู้ลึกลับตลอดกาลนั้นเคยเผยว่า เมื่อถึงวัย 52 มันก็สายเกินไปจะมีลูกแล้ว และแม้จะเปิดตัวความรักกับศิลปินสาว ก็ไม่ได้มีแรงกดดันจากสื่อคอยไถ่ถามเรื่องการมีลูกมากนัก นั่นเป็นเพราะว่า พวกเค้าเป็นคู่รักวัยผู้ใหญ่ผ่านวัยเจริญพันธุ์ไปแล้วนั่นเอง





แต่ผู้หญิงในวงการมักเลี่ยงคำถามเรื่องการมีลูกไปไม่พ้น Winona Ryder เคยเผยประสบการณ์ไว้ว่า

"เรื่องนี้เป็นอะไรที่ส่วนตัวนะ แต่ฉันอายุ 42 เมื่อปีก่อนก็ได้บอกพ่อว่า ถ้าหนูมีลูกไม่ได้ล่ะจะทำไง พ่อจึงตอบว่า เราหาวิธีอื่นๆเพื่อจะมีเด็กๆในชีวิตได้นะ และมันก็จริงของพ่อค่ะ ฉันได้รับกำลังใจจากลูกๆของน้องชาย แต่ก็ต้องเลิกฟังคำพูดของคนอื่น เรื่องที่ผู้หญิงจะพูดกรอกหูคุณน่ะมันบ้าบอเลยล่ะ"

Winonaเคยบรรยายว่าชีวิตแต่งงานของพ่อแม่เต็มไปด้วยความรักหวานแหววตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เมื่อได้เห็นตัวอย่างจากพ่อแม่จึงทำให้เธอวางมาตรฐานเรื่องคู่ครองไว้สูง กว่าจะเริ่มคบหากับ Scott Mackinlay Hahn CEO หนุ่มหล่อแห่ง Loomstate และ Rogan เธอก้าสู่วัยเฉียดสี่่สิบ แม้จะเก็บเรื่องความสัมพันธ์ไว้เป็นส่วนตัวไม่แพ้ Keanu Reeves แต่ก็เคยเผยว่ามีความสุขดี  (โดยที่ไม่มีลูก)




ไม่สามารถจัดสรรเวลาในวิถี working woman ให้กับการทำหน้าที่แม่ที่ต้องมุ่งมั่นทุ่มเท



เธอคือผู้หญิงทรงอิทธิพลแห่งวงการสื่อ    จากที่ต้องฝ่าฟันชีวิตวัยเยาว์ที่ลำบากยากแค้นและถูกทารุณทางเพศ    ในวันนี้ Oprah คือนักธุรกิจหญิงที่มีทรัพย์มากกว่าสองพันล้านดอลลาร์  เธอมีชีวิตคู่ที่มั่นคงยาวนานกับคู่ครอง และเคยคิดถึงภาพการเป็นแม่คน  แต่ก็ถอยจากความคิดนั้นออกไป  เมื่อได้รับรู้ว่า   การทำหน้าที่พ่อแม่นั้นต้องทุ่มเทและมุ่งมั่นมากแค่ไหน  สำหรับผู้หญิงที่เคยต้องใช้เวลาถึง 17 ขั่วโมงในการทำงาน  เธอไม่สามารถจัดสรรเวลาเพื่อให้ความสำคัญกับลูกได้    ที่ผ่านมานั้น เธอยังเคยเห็นตัวอย่างของผู้ที่มีลูกโดยไม่เข้าใจว่า หน้าที่การเป็นพ่อแม่คนนั้นหนักหนามากแค่ไหน จนส่งผลกระทบต่อตัวเด็กที่เติบโตมาอย่างถูกปล่อยปละละเลย   จึงทำให้เธอเลือกเส้นทางชีวิตที่ไร้ลูก


"หากฉันมีลูก  ลูกก็คงจะเกลียดฉัน"



คุณอาจจะเคยได้ยินอดีตอันมืดมนของ Oprah มาก่อน เหตุการณ์ที่แสนหดหู่เกิดขึ้นเมื่อเธออายุเพียง 9 ขวบ เมื่อญาติลงมือข่มขืนติดต่อกันหลายปี เมื่อทนทุกข์ทรมานไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้านในวัย13 และตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา Oprah ที่มีอายุเพียง

"ถ้าฉันมีลูก ลูกคงโตขึ้นมาเกลียดชังแม่ พวกเค้าคงไปออกรายการระบายความในใจเกี่ยวกับตัวฉัน เพราะบางสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉันจะสร้างความทุกข์ให้กับใครสักคน และมันก็คงจะเป็นลูกๆนั่นแหละที่ต้องทุกข์"


แม้เธอจะเป็นผู้หญิงแกร่งกล้าที่ผู้คนมากมายยกให้เป็นต้นแบบ แต่การ abuse ที่สร้างรอยแผลฝังลึกจากน้ำมือคนในครอบครัว (และยังเคยถูกคนในครอบครัวหักหลังด้วยการนำเรื่องราวมาขายสื่อ) อาจจะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เธอเชื่อมั่นว่า หากไม่พร้อมจะทำหน้าที่แม่คน ถึงจะมีเงินมากมายแค่ไหน ก็ไม่ควรปล่อยให้ชีวิตหนึ่งต้องเติบโตมาพบกับความเจ็บปวด



สนุกกับชีวิตได้เต็มที่


Seth Rogen เคยสร้างความฮาจากบทบาทของหนุ่มสุดมึนที่กลายเป้นพ่อคนจากความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน แต่ในชีวิตจริง เขาและภรรยาคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าใช้ชีวิตอยู่กันไปสองคนแบบนี้ดีกว่าเยอะ หากมีลูกแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนแปลง lifestyle หลายอย่างที่สร้างความสุขสบายใจให้เสมอมา และไม่สามารถโฟกัสกับการงานได้เหมือนตอนนี้

เมื่อถูกคาดคั้นว่า หากเป็นพ่อแม่คนแล้ว ย่อมต้องให้ความสำคัญกับลูกเป็นอันดับ 1 และทิ้ง lifestyleเดิ่มๆทิ้งไป นักแสดงและนักสร้างหยังชื่อดังผู้นี้ก็ตอบอย่างไม่บังเลใจว่า

"ผมไม่อยากได้แบบนั้นนี่นา มันฟังดูไม่สนุกเลย"


"เราควรจะเพิ่มจำนวนประชากรเหรอครับ? มีใครบ้างที่มองสถานการณ์โลกในปัจจุบันแล้วเกิดความคิดว่า รู้อะไรมั้ย เราจะต้องเพิ่มคนเข้าไปอีกเยอะๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่โคตรชวนงงเลย"


จากเดิมที่พ่อแม่ของ Seth คาดหวังจะได้เห็นหลานก็เริ่มปล่อยวาง และมองในแง่ดีว่า พวกเค้าได้มีหลานที่เกิดกับลูกสาวไปแล้ว และเมื่อได้เห็นลูกชายและลูกสะใภ้เลี้ยงน้องหมา ก็คิดว่าทั้งคู่คงตัดสินใจในสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองแล้วและจะไม่พยายามกดดันเรื่องหลานต่อไป






ถึงไม่มีลูก ความเป็นหญิงก็จะไม่ถูกบั่นทอนคุณค่าลงไป

คุณเคยได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงที่ถูก bully  เพราะไม่มีลูกรึเปล่าคะ?

หากให้ยกตัวอย่างที่ชัดเจน Jennifer Aniston น่าจะเป็นชื่อแรกๆแว้บเข้ามาในความคิดของเหล่านักเสพกอสสิป จากภาพลักษณ์ของนางเอกที่ถูกยกให้เป็นหวานใจอเมริกา เธอถูกยัดเยียดว่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่ตัวเย็นชาที่ไร้ความเป็นแม่คน

ฟังดูโหดร้ายใช่มั้ยล่ะ?




 
scandal ระดับชาติเมื่อเธอต้องหย่าร้างกับ Brad Pitt หลังจากที่เค้าพบรักกับนางเอกปากอิ่มในกองถ่าย Mr. & Mrs. Smith ได้สร้างกระแสร้อนแรงแบ่งเป็นฝักฝ่าย (Team Aniston VS Team Jolie) ในขณะที่ Angelina ถูกหลายคนประนามว่าเป็นบ่อนทำลายชีวิตแต่งงานของคู่รักซุปตาร์ ชาวเน็ทรวมถึงสื่อบางเจ้าก็แสดงท่าทีสาแก่ใจ คอยจิกกัดว่าเธอ play victim ทั้งๆที่ไม่ยอมทำหน้าที่ภรรยาที่เพียบพร้อม จากที่มีผู้ปล่อยข่าวลือว่า เธอไม่ยอมมีลูกกับ Brad เพราะเกรงจะกระทบกับการทำงาน ทำให้พระเอกผู้ใฝ่ฝันจะสร้างครอบครัวรู้สึกทุกข์ใจ

Jen พบกับแรงกดดันจากโยนความผิดให้จนต้องออกมาโต้ตอบเมื่อวันเวลาล่วงเลยไปหลายปีหลังจากหย่าร้างกับ Brad และยืนยันว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ช่างร้ายกาจและสร้างความเจ็บปวดให้เป็นอย่างยิ่ง

เธอได้ให้สัมภาษณ์กับ Instyle ว่า



"ความเชื่อที่ผิดๆก็มี Jenไม่สามารถรั้งผู้ชายให้อยู่ยืดๆได้ หรือ Jenไม่ยอมมีลูกเพราะเธอเห็นแก่ตัวและทุ่มเทให้กับงานอย่างเดียว หรือเอาแต่โศกเศร้าใจสลาย"

"ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครนึกเลยว่านี่เป็นประเด็นเปราะบางที่อาจจะกระทบใจตัวฉันและคู่ครอง คนอื่นไม่รู้ว่าฉันต้องผ่านพบอะไรมาบ้างทั้งเรื่องสุขภาพและเรื่องจิตใจ มีแรงกดดันให้ผู้หญิงต้องเป็นแม่คน และถ้าไม่มีลูก พวกเธอก็จะกลายเป็นของมีตำหนิ บางที การมีตัวตนของฉันบนโลกนี้อาจจะไม่ใช่การเป็นผู้ให้กำเนิด บางทีฉันก็อาจจะมีอีกหลายอย่างที่สมควรจะทำ?"



เธอเคยชี้ถึงความสองมาตรฐานถึงการกดดันผู้หญิงกับ Vanity Fair ว่า

"ผู้ชายที่ผ่านการหย่าจะไม่ถูกกล่าวว่าเลือกการงานมากกว่ามีลูก มันทำให้ฉันเคืองมากค่ะ ฉันไม่เคยพูดเลยว่าไม่อยากจะมีลูก"




"การจะมีลูกหรือไม่ มันจะใช่ธุระกงการของใครอื่นนอกจากผู้ที่เป็นคู่ครองหรือบุคคลที่ต้องรับมือกับเรื่องนี้"

"แนวคิดของชีวิตที่มีความสุขและการเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ของฉันอาจจะต่างไปจากคนอื่น แต่ล่ะคนก็มีสิ่งที่ชอบแตกต่างกันไป ไม่มีใครมีสิทธิ์จะไปพิพากษาตัวเลือกของคนอื่น ไม่มีใครที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกภายในครอบครัวคนอื่น ไม่ว่าพวกเค้าจะมีลูกหรือไม่มี มันเป็นประเด็นทีเปราะบางที่จะไปแตะต้อง โดยเฉพาะตัวฉันที่คิดว่ามันเปราะบางมากๆ"


เธอยังยืนยันว่า เพียงเพราะเธอไม่เคยให้กำเนิดลูก ก็ไม่ได้บั่นทอนคุณค่าความเป็นหญิงของเธอลงไป หรือถือเป็นการทำผิดพลาด


"ฉันไม่ชอบใจแรงกดดันที่ฉันและผู้หญิงคนอื่นต้องเจอ ถูกมองว่าผิดพลาดในการทำหน้าที่ในฐานะผู้หญิงเพราะไม่มีลูก ฉันไม่คิดว่ามันยุติธรรม คุณอาจจะไม่ได้คลอดลูกออกมาจากที่ตรงนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทของแม่ให้กับสุนัข เพื่อนๆ และเด็กๆคนอื่น"






สื่อบันเทิงนำเสนอข่าวเรื่อง Jen มีหรือไม่มีลูกอย่างไม่หยุดยั้ง แม้จะเธออายุขึ้นหลัก 5 แล้วก็ยังมีการปล่อยข่าวว่าเธอ 'ตั้งท้องอย่างปาฏิหารย์' หรือรับอุปการะเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อบรรลุความฝันในการเป็นแม่คน แต่เมื่อเธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น ก็วกกลับมาเล่นประเด็นบางเอกบ้างานที่ไม่ยอมมีลูกอีก ทั้งที่เธอเคยได้ออกมา call out เรื่องการปล่อยข่าวลวง และไม่ปล่อยให้เธออยู่สุขสงบ


"พวกเราสามารถมีความสุขอย่างเต็มที่ได้ ไม่ว่าจะมีคู่หรือไม่มี จะมีลูกหรือไม่มี การตัดสินเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเราเพียงผู้เดียว เราไม่จำเป็นต้องแต่งงานหรือมีลูกเพื่อจะเติมเต็มความสุขให้สมบูรณ์แบบ เรามีสิทธิ์จะกำหนดเองว่าความสุขชั่วกาลนานของเราจะเป็นอย่างไร"



รักษ์โลก


"เราปฏิบัติต่อโลกใบนี้เหมือนกับที่ได้ปฏิบัติกับเพศหญิง เราเอาแต่ตักตวงประโยชน์และคาดหวังให้กำเนิดชีวิตต่อไปเรื่อยๆ และมันได้สร้างความเหนื่อยล้า มันไม่สามารถผลิตอะไรแล้ว คนรุ่นเราได้อาศัยในโลกที่อยู่ในสภาพย่ำแย่ ฉันจะไม่ยอมส่งต่อโลกแบบนี้ไปยังลูกตัวเองจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าลูกของฉันจะอาศัยในโลกที่มีปลาแหวกว่ายในน้ำ ฉันจะไม่ยอมให้กำเนิดชีวิตหนึ่งขึ้นมาเพื่อมารับมือกับอะไรแย่ๆแบบนี้"



"ที่จริงฉันคิดว่า เมื่อได้มองถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรน้ำและอาหาร ถ้าถามว่าฉันจะนำใครสักคนเพื่อใช้ชีวิตในโลกนี้เช่นไร ฉันชอบแนวคิดของการรับอุปการะเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย


"แน่นอนว่าฉันไม่ตำหนิคนที่ปรารถนาจะมีลูก เพียงแค่ฉันมีความเชื่อส่วนตัวว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของฉัน ฉันไม่คิดถึงเรื่องการแต่งงานหรือเรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะ"





The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE