ปมความขัดแย้ง แม่-ลูกคนดัง
candy 46 16แม่สายparty ที่ดึงลูกให้ตกไปอยู่วังวนยาเสพติดตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง
คุณอาจจะรู้จัก Drew Barrymore จากภาพลักษณ์ของนักแสดงหญิงที่สร้างชื่อเสียงยาวนานและได้รับความเชื่อถือจากการงานหลากหลาย ทั้งนางเอก A List, ผู้กำกับ, โพรดิวเซอร์, พิธีกร talk show และ CEO บริษัทโพรดัคชั่น แต่หากย้อนไปถึงฉากชีวิตวัยเด็กสุดมืดหม่น เธอก็ต้องยอมรับว่า ความเจ็บปวดนั้นยังตราตรึงฝังใจยาวนาน
Drew เปิดตัวในวงการ Hollywoodในฐานะสาวน้อยมหัศจรรย์ที่ได้รับการผลักดันจาก Steven Spielberg จากภาพความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กหญิงเจ้าของดวงตากลมโตที่กรี๊ดใส่มนุษย์ต่างดาวในหนัง E.T. ทั้งงานหนังและโฆษณาก็วิ่งชนจนกลายมาเป็นนักแสดงเด็กขายดี เมื่อสำรวจไปยังพื้นเพครอบครัว เธอได้ถือกำเนิดในตระกูลนักแสดงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษทางฝ่ายพ่อหรือแม่ก็ทำอาชีพนักแสดง โดยเฉพาะ John Barrymore ปู่แท้ๆที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงละครโศกนาฏกรรมผู้ยิ่งใหญ่ และ John Drew Barrymore พ่อผู้สร้างชื่อเสียงในฐานะพระเอกดังจากละครโทรทัศน์
หากฟังเพียงแค่นี้ก็อาจจะทำให้คิดว่าเธอมีโพรไฟล์สุดเริ่ดจนไม่ต้องสงสัยเรื่องความสามารถทางการแสดงที่ทำให้โด่งดังมาตั้งแต่เด็ก จากคำเปรียบเปรยที่ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น แต่ความเป็นจริงที่น่าเศร้าก็คือ ทั้งพ่อและปู่ของเธอก็ประสบปัญหาติดเหล้าและติดสารเสพติดจนชีวิตเข้าสู่จุดตกต่ำ แม้กระทั่ง Drew ที่ถือกำเนิดมาในยุค 70s ที่รัฐสภาได้เห็นชอบต่อกฏหมายคุ้มครองและป้องกันเด็กจากการถูกล่วงละเมิดและทอดทิ้ง เธอก็ยังก้าวเข้าสู่วังวนเดียวกันกับผู้ให้กำเนิดตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
หากคุณข้องใจว่าแม่ของเธอไปอยู่ที่ไหน? คำตอบอาจจะทำให้ช็อคไปกว่าเดิม ..
หากฟังเพียงแค่นี้ก็อาจจะทำให้คิดว่าเธอมีโพรไฟล์สุดเริ่ดจนไม่ต้องสงสัยเรื่องความสามารถทางการแสดงที่ทำให้โด่งดังมาตั้งแต่เด็ก จากคำเปรียบเปรยที่ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น แต่ความเป็นจริงที่น่าเศร้าก็คือ ทั้งพ่อและปู่ของเธอก็ประสบปัญหาติดเหล้าและติดสารเสพติดจนชีวิตเข้าสู่จุดตกต่ำ แม้กระทั่ง Drew ที่ถือกำเนิดมาในยุค 70s ที่รัฐสภาได้เห็นชอบต่อกฏหมายคุ้มครองและป้องกันเด็กจากการถูกล่วงละเมิดและทอดทิ้ง เธอก็ยังก้าวเข้าสู่วังวนเดียวกันกับผู้ให้กำเนิดตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
หากคุณข้องใจว่าแม่ของเธอไปอยู่ที่ไหน? คำตอบอาจจะทำให้ช็อคไปกว่าเดิม ..
หลังจากที่ Drew ประสบความสำเร็จล้นหลามจาก E.T. ได้สองปี พ่อแม่ที่ต่างก็มีปัญหาใช้ยาเสพติดก็หย่าร้างกัน เมื่อพ่อได้แสดงออกชัดเจนว่าต้องการแยกตัวออกไปจากครอบครัวและไม่มีบทบาทใดๆในชีวิตของลูกๆมากนัก สิทธิ์การเลี้ยงดูจึงตกไปอยู่กับแม่ แตการทำหน้าที่แม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นกลับถูกตีแผ่ออกมาในรูปแบบของการเกี่ยวก้อยลูกสาวคนดังวัย 9 ขวบเข้าStudido 54 คลับดังที่ขึ้นชื่อเรื่องอบายมุขแบบจัดเต็ม Drew ได้ทำความรู้จักกับเหล้าและยาเสพติอย่างโคเคนในแหล่งเริงรมย์แห่งนั้นโดยที่แม่ของเธอไม่ได้ท้วงติง
"ตอนนั้นฉันมีแม่อยู่ด้วย เธอถามว่า ลูกอยากไปโรงเรียนแล้วถูกรังแกทั้งวันหรือจะไปเที่ยว Studio 54 ฉันตอบไปไม่ลังเลว่า ไปเที่ยวแน่นอน ฉันไม่อยากอยู่กับพวกเด็กนิสัยไม่ดีพวกนั้น พวกเด็กๆน่ะใจคอโหดร้ายมาก"
ภาพของ Drew ที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่งตัวจัดเต็มไป party เธอสูดโคเคนจนเมามายกับกลุ่มชายวัยผู้ใหญ่ อายุเพียง 12ปี ก็ติดยางอมแงม
เมื่อย้อนไปมองภาพวัยเด็กที่ปรากฏตามหน้าสื่อ Drew ได้บรรยายว่า ไม่มีภาพใดเลยที่ถ่ายจากในบ้านของเธอ เธอออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอกเสมอ และคิดว่า เพราะพรากช่วงเวลาดีๆ ในการใช้ชีวิตในบ้านกับครอบครัวจึงทำให้เธอสูญเสียเวลาในวัยเด็กไป
ไม่ว่าใครก็คงเห็นด้วยว่า ภาพDrew ในค่ำคืนสุดเหวี่ยงรายรอบไปด้วยเหล้ายาทั้งๆที่ยังอยู่ในวัยคู่ควรต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามประสาเด็กใสบริสุทธิ์นั้นได้สร้างความสะเทือนใจมาจนถึงปัจจุบัน และความเป็นจริงก็ยิ่งทำให้เรื่องราวน่าเศร้าใจขึ้นไปอีก เพราะแม่ที่มีหน้าที่คุ้มครองดูแลลูกสาว กลับเป็นผู้ชักนำให้เธอเข้าสู่เส้นทางที่มืดมนจนแทบเอาตัวไม่รอด
เมื่ออาการติดยาเสพติดของDrew ย่ำแย่จนไม่สามารถรับมือได้ แม่ของเธอจึงตัดสินใจส่งเธอไปรักษาตัวในสถาบันจิตเวช
"แม่ส่งฉันไปกักกันไปสถาบัน แย่จังที่มันไม่ได้เป็นวิธีฝึกฝนให้เชื่อฟังที่ดีมากนัก มันเหมือนการการฝึกที่เข้มงวดในค่ายทหาร ทั้งน่ากลัวและมืดหม่น ฉันต้องอยู่ที่นั่นปีครึ่ง ฉันจำเป็นต้องได้รับการฝึกสุดเคร่งครัดเพื่อให้ควบคุมตัวเองให้ได้นะ แต่เมื่อได้พบว่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมันทำให้รู้สึกเศร้าเหลือเกิน"
เธอยอมรับว่า มีพฤติกรรมเจ้าปัญหาจนยากที่จะรับมือได้ และดูเหมือนว่า สถาบันจิตเวชจะเป็นที่พึ่งเดียวที่แม่ของเธอคิดถึง
"คุณไม่สามารถขัดขืนในที่แห่งนั้นได้ค่ะ ถ้าคุณทำตัวเกเร คุณจะถูกโยนใส่ในห้องขังเดี่ยวบุนวมหรือถูกมัดกับเตียง"
แม้จะเคยจูงมือลูกสาวเที่ยวคลับราวกับเป็นเพื่อนสาวสุดซี้ ( ตามที่ Drew เคยบรรยายว่า แม่ทำตัวเหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าแม่) แต่แม่ไปเยี่ยมDrew ที่สถาบันเพียงไม่กี่ครั้ง
เมื่อเธอออกออกจากสถาบันจิตเวชได้ไม่นาน ก็พยายามปลิดชีวิตตัวเองจนต้องกลับไปบำบัดรักษา และเมื่อตัดสินใจว่าจะพลิกชีวิตให้เข้ารูปเข้ารอย เธอก็ดิ่งไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นไทจากการปกครองของแม่ เมื่อได้รับสิทธิ์นั้น เธอจึงต้องเรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิตตามลำพัง จนชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทางจึงกลับมาหางานในวงการแสดง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก จากภาพลักษณ์ของเด็กใจแตกและถูกหยามหยันว่าเป็นขี้ยาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยจึงกลายมาเป็น blacklist ในหมู่นักสร้างหนัง แต่เพราะยังมีผู้เชื่อถือในความตั้งใจในการทำงาน เธอจึงได้รับโอกาสอีกครั้ง
เส้นทางชีวิตของนางเอกที่ถูกผูกติดกับคำว่า wild child นั้นดูไม่แตกต่างกันมากนัก Drewผ่านมรสุมมาหนักหนาสาหัส แต่ในที่สุด เธอก็เฉิดฉายในฐานะนางเอกชั้นนำของวงการ ทั้งยังประสบความสำเร็จในงานเบื้องหลัง แต่ความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นก็ได้ให้บทเรียนสำคัญกับเธอว่า
' ไม่มีทางจะมีลูก จนกว่าจะมั่นใจว่ามีความมั่นคงเต็มที่และมุ่มมั่นที่จะให้ความสำคัญกับลูกๆเป็นอย่างแรก'
เมื่อถูกตั้งคำถามในเรื่องความสัมพันธ์กับแม่ Drew ที่ใช้เวลาทำความเข้าใจ
"ฉันคิดว่าแม่ก็เหมือนกับฉัน เธอไม่ได้มีครอบครัวเป็นที่พึ่งพา เธอมีความบาดหมางกับพวกเค้า และก็เกิดประวัติศาตร์ซ้ำรอยกับพวกเราค่ะ ฉันมองเปรียบเทียบกับสิ่งที่แม่เจอมาและสิ่งที่ฉันเจอมาก็ทำให้คิดได้ว่า ฉันจะต้องเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ ไม่เกี่ยวว่าจะถูกหรือผิด แต่ฉันได้ใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขซึ่งฉันอาจจะไม่ได้ทำมาก่อน"
Drew ยืนยันว่า ปัจจุบัน เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่
"เราสร้างสันติและให้เกียรติกันแบบคนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งในอดีตเราอาจจะไม่ได้ปฏิบัติต่อกันแบบนี้ จังหวะเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ"
ปัจจุบัน Drew ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกสาวทั้งสอง จากการเริ่มต้นบทบาทแม่ที่แตกต่างกับคนอื่น เพราะเธอไม่เคยมีพ่อแม่ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อแม่จริงๆมาก่อน จึงไม่มีประสบการณ์ว่า การเป็นแม่ที่ดีนั้นควรจะเริ่มต้นตรงไหน แต่เธอก็ใช้เวลาเตรียมพร้อมเรียนรู้เพื่อจะไม่ให้ลูกๆได้เผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่เธอเคยผ่านมาก่อน
"ฉันเป็นแม่ที่มอบความรักและมีอารมณ์ขัน แต่เราก็ต้องเรียนรู้ในการทำหน้าที่นี้ ฉันไม่อยากจะมำตัวเป็นเพื่อนของลูก แต่ฉันเป็นแม่ของพวกเค้า ฉันหวังว่าประสบการณ์ที่ได้เติบโตในวงการที่เต็มไปด้วยเรื่องฟุ้งเฟ้อไร้สาระสุด toxicนั้นจะทำให้ฉันนำมาปรับใช้เลี้ยงดูลูกๆได้ดีขึ้น"
"ฉันเป็นแม่ที่มอบความรักและมีอารมณ์ขัน แต่เราก็ต้องเรียนรู้ในการทำหน้าที่นี้ ฉันไม่อยากจะมำตัวเป็นเพื่อนของลูก แต่ฉันเป็นแม่ของพวกเค้า ฉันหวังว่าประสบการณ์ที่ได้เติบโตในวงการที่เต็มไปด้วยเรื่องฟุ้งเฟ้อไร้สาระสุด toxicนั้นจะทำให้ฉันนำมาปรับใช้เลี้ยงดูลูกๆได้ดีขึ้น"
แม่ที่คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากลูกจนต้องลงเอยที่ความสัมพันธ์ toxic
บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Jennifer ได้นำประสบการณ์ในชีวิตจริงมาเป็นต้นแบบเพื่อแสดงบทบาทคุณแม่คนสวยที่หมกมุ่นกับความงามและบีบบังคับลูกสาวให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการในหนัง Dumplin'
" แม่เป็นนางแบบและเธอก็ให้ความสำคัญแต่กับการนำเสนอตัวตนและรูปโฉมของแม่ รูปโฉมของฉัน ฉันไม่ได้ดูเหมือนนางแบบเด็กคนสวยเหมือนที่แม่คาดหวังเอาไว้ เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนในสิ่งที่ฉันเคยเป็นจริงๆค่ะ เด็กสาวคนนี้เพียงแค่อยากจะได้รับการยอมรับและความรักจากแม่ที่คอยเอาแต่ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆที่ไม่ได้มีความจำเป็นมากมายนัก"
"แม่เติบโตมาในโลกที่แม่ต้องคอยแนะนำว่า ดูแลความงามให้ดีกว่านี้หน่อยสิลูก หรือ ลูกแต่งหน้าบ้างสิจ๊ะ รวมไปถึงประโยคแทงใจต่างๆที่ฉันได้ยินมาตอนยังเป็นเด็ก"
"แม่ฉันพูดสิ่งพวกนั้นเพราะเธอรักฉัน เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นนางร้าย หรือจงใจสร้างบาดแผลฝังลึก ซึ่งในเวลาต่อมาฉันต้องใช้เงินไปมากมายเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน เธอทำมันลงไปเพราะมันเป็นสิ่งที่แม่เคยชินจากยุคของเธอ"
(น่าจะหมายถึงความเจ็บปวดเมื่อถูกแม่ body-shame จนต้องพยายามแก้ไขตัวเองด้วยกระบวนการทางความงามต่างๆ ซึ่งตรงกับพล็อทเรื่อง Dumplin' ที่แม่ไม่ยอมรับรับรูปร่างพลัสไซส์ของลูกสาว)
"แม่คอยจับผิดฉันไปซะทุกอย่าง เพราะแม่เคยเป็นนางแบบ เธอเป็นผู้หญิงสวยชวนตะลึง แต่ฉันไม่ได้เหมือนแม่ ฉันไม่เคยสวยเป๊ะแบบนั้นเลย ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่เคยมองตัวเองในแง่นั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องไม่เสียหายอะไร แม่ยังเป็นคนที่ไม่ยอมให้อภัย เธอจะเอาแต่คอยแสดงความแค้นใจซึ่งทำให้ฉันคิดว่ามันดูใจแคบมาก"
Jen เน้นย้ำเรื่อง 'วิธีการเลี้ยงลูกแบบหัวโบราณ' ที่ทำให้สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ของแม่ลูก ครั้งหนึ่งที่เกิดความขัดแย้งกันแล้วแม่ตะคอกใส่ด้วยความกราดเกรี้ยว เธอจึงขึ้นเสียงโต้กลับ แม่ก็ระเบิดหัวเราะใส่ที่เธอกล้าขึ้นเสียง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกจุกเหมือนถูกต่อยท้อง สาเหตุที่เธอหยุดพูดคุยกับแม่ไปหลายปี เพราะไม่สามารถรับมือกับการระบายโทสะอย่างรุนแรงของแม่ และรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถโต้ตอบใดๆได้เลย
Jen ก้าวสู่เส้นทาง superstar ในยุค90s จาก Friends ซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลาย เธอกลายมาเป็น 'ขวัญใจอเมริกา' และผู้นำเทรนด์ทรงผม Rachel ที่ฮิตระเบิดระเบ้อไปทั่วหัวระแหง แต่ก็ไม่ทำให้แม่ที่คาดหวังให้เธอเป็นสาวงามสมบูรณ์แบบพอใจขึ้นมา เมื่อสถานะดาวดังทำได้มอบความมั่นใจให้เธอเต็มที่ และไม่ยอมให้แม่บงการอีกต่อไป แต่ความสัมพันธ์ก็เข้าขั้นวิกฤติเมื่อแม่เริ่มออกสื่อวิพากษ์วิจารณ์ลูกสาวคนดัง (รวมไปถึงการจิกกัดเรื่องสันกรามเหลี่ยมของเธอว่าดูไม่ดี)
ซ้ำร้าย แม่ยังเขียนหนังสือ From Mother and Daughter to Friends: A Memoir ที่เปิดเผยทั้งเรื่องความขัดแย้งกับลูกสาวและเรื่องส่วนตัวซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ Jen ไม่ต้องการให้แม่ประกาศให้โลกรับรู้ มันเปรียบเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Jen ตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับแม่ จนไม่ติดต่อกันอีกหลายปี รวมถึงไม่เชิญให้มาร่วมยินดีในงานแต่งงานกับ Brad Pitt ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์เรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมานั้น เราจะได้เห็นพ่อของJen ผู้ถูกมองว่าทอดทิ้งครอบครัวจากการหย่าร้างกับแม่ตั้งแต่ที่เธอยังเด็กได้กลับมาปรับความเข้าใจและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตลูกสาวแต่กลับไร้วี่แววของแม่
ราวๆยี่สิบปีก่อน เธอได้เปิดใจถึงปัญหาความขัดแย้งกับแม่กับ Vanity Fairว่า
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ตัวเองจะรับรู้รึเปล่าว่าแม่เป็นคนงามมากมายขนาดไหน หากแม่ไม่เอาแต่ตอกย้ำว่าฉันเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่"
"มันเหมือนกับตลกร้าย พ่อกับฉันหันมาผูกมิตรกัน แต่กับแม่ พวกเราไม่พูดคุยกันแล้ว มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ฉันคิดถึงแม่นะ"
"แต่นี่คือการถอยห่างจากกันที่จำเป็นต่อพวกเรา ปล่อยให้ได้เยียวยาจิตใจกัน เนื้อร้ายก้อนสุดท้ายในชีวิตของฉันคือแม่ ฉันพยายามเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตหลายปีมานี้และค้นหาว่ามีอะไรบ้างที่เป็นของจริง ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ฉันไม่สามารถโทษว่าพ่อแม่เป็นฝ่ายผิดได้อีกต่อไป"
มาถึงจุดนี้หลายคนอาจคาดคะเนว่า ต้นตอแห่งความขัดแย้งที่อยู่เบื้องหลังอาจจะไม่ใช่เรื่องของการจับผิดเรื่องรูปลักษณ์ของลูกสาวเพียงเท่านั้น แต่เป็นความสัมพันธ์ toxic ที่ต่างฝ่ายไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้จนต้องเหินห่างกันไปร่วมๆทศวรรษ และมีรายงานว่า เมื่อแม่ล้มป่วยหนัก Jen ก็กลับมาพูดจากับแม่และดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องรักษาพยาบาลและผู้ดูแล หรืออาจจะมองว่า เป็นการเปิดใจครั้งสุดท้ายก่อนความตายจะทำให้พรากจากกัน หลังจากนั้น แม่ของ Jen ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 79 ปีในปี 2016
แม่ที่เรียกร้องค่าเสียหายสิบล้านจากลูกชายจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาท
หลายคนเชื่อมั่นว่า 8 Mile เปรียบเหมือนกับหนังชีวประวัติของ Eminem เมื่อB-Rabbit ได้แร็พด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านว่า" ข้าพูดได้อย่างภูมิใจว่าเป็น white trash" ก็ได้สะท้อนภูมิหลังของเขาได้อย่างชัดเจน
ในช่วงแจ้งเกิดด้วยความสำเร็จถล่มทลายในวงการดนตรี Eminem สร้างเสียงกล่าวขวัญจากภาพลักษณ์แร็พเพอร์ผิวขาวผู้กราดเกรี้ยว ดูเหมือนว่าเขาจะฟาดฟันกับอริทุกคนได้อย่างไม่หวาดหวั่น เขาอาจจะแต่งเพลงให้กำลังใจอย่าง I'm not afraid หรือเพลงMockingbird ที่สื่อความรักและผูกพันกับลูกสาวตัวน้อย แต่เขาก็มีเพลงอย่าง "Cleanin' Out My Closet ที่ระบายโทสะที่มีตัวตัวแม่บังเกิดเกล้า ทั้งเพลงเต็มไปด้วยการสบถสาปแช่ง ทั้งยังแฉว่า
ช่วงนั้น คนในสังคมได้มองศึกของแม่ลูกคู่นี้ว่า ต่างก็ฝ่ายก็ร้ายไม่แพ้กัน สื่อตามขุดคุ้ยว่า แม่ของเขาเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่อายุ 15 เพื่อแต่งงานกับพ่อของEminem และสามปีต่อมาก็กลายมาเป็น teen mom และ single mom ในเวลาเดียวกัน เพราะสามีได้ทอดทิ้งครอบครัวโดยไม่ใยดีลูกชายเป็นทารกอย่าง ทำให้เธอที่ยังเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นต้องเลี้ยงดูลูกขึ้นมาท่ามกลางความขัดสน เมื่อสื่อได้ขยี้ภาพลักษณ์แบบ white trash ก็ทำให้มีผู้เชื่อว่า เธอเป็นแม่ยอดแย่ที่abuse ลูกชายจริงๆ แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวแร็พเพอร์คนดังว่า เอาชื่อเสียงแม่มาทำลายเพื่อสร้างกระแส และเขาอาจจะใส่สีตีไข่เรื่องราวเลวร้ายเกินจริงเพื่อสังคมจะพิพากษาแม่ที่มีความขัดแย้งกัน
- แม่เล่นยาในบ้าน และเคยใส่ยาValium ในอาหารของเขา
- แสร้งว่ามีลูกชายที่กำลังป่วยเพื่อสวัสดิการบ้านให้กับผู้มีรายได้ต่ำ
- ตอนที่น้าชายที่มีวัยใกล้เคียงกันกับเขาฆ่าตัวตาย แม่ก็บอกอย่างเลือดเย็นว่า อยากจะให้เขาเป็นคนที่ตายมากกว่า
ช่วงนั้น คนในสังคมได้มองศึกของแม่ลูกคู่นี้ว่า ต่างก็ฝ่ายก็ร้ายไม่แพ้กัน สื่อตามขุดคุ้ยว่า แม่ของเขาเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่อายุ 15 เพื่อแต่งงานกับพ่อของEminem และสามปีต่อมาก็กลายมาเป็น teen mom และ single mom ในเวลาเดียวกัน เพราะสามีได้ทอดทิ้งครอบครัวโดยไม่ใยดีลูกชายเป็นทารกอย่าง ทำให้เธอที่ยังเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นต้องเลี้ยงดูลูกขึ้นมาท่ามกลางความขัดสน เมื่อสื่อได้ขยี้ภาพลักษณ์แบบ white trash ก็ทำให้มีผู้เชื่อว่า เธอเป็นแม่ยอดแย่ที่abuse ลูกชายจริงๆ แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวแร็พเพอร์คนดังว่า เอาชื่อเสียงแม่มาทำลายเพื่อสร้างกระแส และเขาอาจจะใส่สีตีไข่เรื่องราวเลวร้ายเกินจริงเพื่อสังคมจะพิพากษาแม่ที่มีความขัดแย้งกัน
การโต้กลับของผู้เป็นแม่ คือการปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า แม้เธอจะไม่ใช่แม่ที่ดีพร้อมไปทุกอย่าง แต่พยายามทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อแทนที่พ่อที่ทอดทิ้งไป และเธอก็ต้องเศร้าใจที่ลูกโป้ปดว่าเธอเป็นแม่ที่ติดเหล้ายาที่ไร้หนทางจนต้องอาศัยสวัสดิการสังคมเพื่อความอยู่รอด
ไม่เพียงแต่จะให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อฟาดกลับว่าลูกชายเป็นฝ่ายใส่ร้ายแม่ด้วยคำหลอกลวง เธอยังฟ้องเขาด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหายถึงสิบเอ็ดล้านเหรียญ แต่แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายชนะคดี ก็ได้รับคำตัดสินให้รับค่าชดเชยไปเพียง $25,000ซึ่งดูเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนที่ตั้งไว้สูงลิ่ว และจากข้อตกลงที่ทำไว้กับทนายคนเก่า ทำให้เธอต้องถูกหักเงินออกไปจนเหลือเพียง $1,600
สื่อได้นำเสนอข้อมูลจากศาลเยาวชนว่า เจ้าหน้าที่จากโรงเรียนได้กล่าวหาแม่เรื่องทารุณNathan น้องชายต่างพ่อของEminem ที่อายุน้อยกว่าถึง 14 ปี จากการให้ปากคำของนักสังคมสงเคราะห์ว่า เธอมีอาการของ Munchausen syndrome หรือพฤติกรรมของพ่อแม่ที่ทำอันตรายต่อลูกหรือปลอมอาการป่วยหรือบาดเจ็บของลูกเพื่อเรียกร้องความสนใจ (ซึ่งตรงกับเนื้อเพลงของ Eminem เป๊ะ!) และทำให้ Nathan ต้องเข้าสู่ระบบ foster care ถึงหนึ่งปีก่อนจะได้กลับมาอยู่ครอบครัว ซึ่งในกลุ่มคนที่รู้จักกับครอบครัวนี้ก็ได้พูดตรงกับว่า Eminem คอยดูแลน้องชายอย่างใกล้ชิดตลอดมาและยังยื่นขอเป็นผู้ปกครองตามกฎหมาย ดังคำยืนยันจากเจ้าตัวว่า พี่ชายทำหน้าที่ของพ่อแม่ซะยิ่งกว่าผู้เป็นพ่อแม่แท้ๆซะอีก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นยี่สิบกว่าปีก่อนอาจจะทำให้หลายคนคิดว่า ความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้ได้พังพลายลงไปเกินที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ แต่เมื่อ Eminem ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตจนเข้าสู่วัยหลักสี่ เขาก็ได้เขียนเพลงHeadlights เพื่อขอโทษแม่ และยอมรับว่า ในท่ามกลางผู้คนที่เขาพูดจาล่วงเกินจนเจ็บปวด แม่ของเขาเองกลับต้องเจอหนักที่สุด แม้ว่าสองฝ่ายจะดื้อดึงใส่กัน แต่เขาก็อาจจะทำเกินไป จากวีรกรรมแต่ง Cleaning Out My Closet’ และเพลงอื่นเพื่อโจมตีแม่ แต่แม้ว่าจะเคยขัดแย้งกันอย่างหนัก เขาก็ยังรักแม่และหวังว่าแม่จะยอมรับคำขอโทษนี้ ภาพที่เขากอดแม่อย่างแนบแน่นใน MV ก็อาจจะทำให้แฟนบางคนน้ำตาซึมเลยทีเดียว