ดราม่าคนดังที่เจอข้อกล่าวหาFatphobic

37 12
Fatphobic หรือ Fatphobia  มักจะถูกตีความหมายออกมาว่าเป็นโรคกลัวความอ้วน
หากให้ขยายความ อาจจะไม่ตรงกับความเกลียดกลัวเหมือนกับที่หลายคนกลัวแมลงหรือหนู แต่เป็นการต่อต้านความอ้วน (anti-fat) ซึ่งเกิดจากอคติต่อผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งต้นตอของทัศนคติในด้านลบนี้อาจมาจากการเหมารวมว่า ความอ้วนเกิดจากความบกพร่อง ความเกียจคร้าน ความตะกละ ความเห็นแก่ตัว เป็นต้น ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ความอ้วนถูกมองว่าเป็นตราบาปสร้างความอับอาย และก่อเกิดเป็นปัญหาการเลือกปฏิบัติกับคนอ้วน ผลกระทบของมันอาจจะรุนแรงจนกลายเป็นปัญหาโรคทางจิตเวช โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีช่วงวัยที่เปราะบางต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ และได้รับอิทธิพลชักนำจากสื่อจนอาจจะนำไปสู่ภาวะ Body Dysmorphic Disorder (โรคหมกมุ่นไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง) และ Eating Disorder (โรคปฏิเสธอาหาร) และโรคอื่นๆ






ความตื่นตัวเรื่อง body positivity ทำให้ผู้คนร่วมใจกันเรียกร้องให้สังคมลดละอคติ และเปิดใจยอมรับรูปร่างที่หลากหลายโดยไม่ใช้ beauty standard มาพิพากษาตัวตนผู้อื่นเพื่อแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติกับคนอ้วน ตามมาด้วยการ call out พฤติกรรมของพวกเค้ามองว่าเข้าข่าย fatphobic แต่ในบางครั้ง หลายคนก็ต้องฉงนใจว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหามีเจตนาโพรโมท fatphobia จริงๆ หรือว่าพวกเค้ากำลังนำเสนอประสบการณ์ body image ที่น่าสนใจ


จะมีใครในวงการบันเทิงที่เจอดราม่าเรื่อง fatphobic บ้าง มาติดตามกันเลยค่ะ

Taylor Swift


หลายคนเชื่อว่า ผลงานดนตรีของ Taylor Swift จะประสบความสำเร็จไปอีกนานแสนนาน ปล่อยอัลบั้มออกมาเมื่อไรก็ทำลายสถิติหลายอย่าง และไม่ว่างเว้นจากการการได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลดนตรีชั้นนำ รวมถึง Midnights อัลบั้มล่าสุดไม่ได้ทำให้แฟนๆของเธอผิดหวัง นอกจากบทเพลงแล้ว เรื่อง music video ของ Tay ก็ดึงดูดความสนใจได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับเอง

Anti - Hero เพลงเปิดตัวที่ทำให้แฟนๆประทับใจกับการเติบโตของศิลปินสาว จากที่เธอเคยถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าชอบ play victim แต่เธอประกาศยอมรับชัดเจนว่า

"It's me hi, I'm the problem it's me"

Taylorได้ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยเขียนเพลงที่เปิดเผยเรื่องความไม่มั่นใจของตัวเองในระดับนี้มาก่อน และยืนยัน กว่าที่เป็นตัวของเธอได้ในทุกวันนี้ ก็ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเอง เธอได้ถ่ายทอดประสบการณ์ความยากลำบากที่เกิดจาก mental health โดยเลือกเสียดสีตัวเองด้วยตลกร้ายสวนทางจากข้อหา play victim ที่ผ่านมา ทำให้เธอได้รับคำชมในการกำกับ MV ที่เผยอย่างจริงใจทำให้แฟนๆรู้สึกเข้าถึงได้ เพราะมีคนมากมายบนโลกนี้ต้องเผชิญกับฝันร้ายจากความรู้สึกเกลียดตัวเอง, ปัญหา body image และภาวะซึมเศร้า


แต่กระแสต่อต้านก็เริ่มขึ้น จากภาพที่เธอชั่งน้ำหนักแล้วปรากฏเป็นคำว่าFAT ขึ้นมาที่หน้าปัด ทำให้ชาวเน็ทหลายคนตีความหมายว่า เธอกำลังแสดงอคติกับความอ้วน และชักนำให้แฟนๆหันมาคลั่งผอม   บางคนถึงกับเปลี่ยนชื่อเพลงของเธอให้เป็น Anti-Fat แทน!

ส่วนหนึ่งของคอมเมนท์โจมตี Taylor

"เธอเลือกใช้วิธีแย่ๆเพื่อบรรยายประสบการณ์ความทุกข์ใจกับเรื่อง body image พวกคนอ้วนไม่จำเป็นต้องถูกตอกย้ำซ้ำซากให้สำเหนียกว่าความรู้สึกที่ได้จ้องมองพวกเรามันเลวร้ายแค่ไหน"


"นี่คือภาพของผู้หญิงรูปร่างเป๊ะที่กำลังโอดครวญว่าตัวเองดูผอมไม่พอ เธอจะทำให้เด็กผู้หญิงป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารกันหมด"

" Taylor กำลังบอกว่า ลองคิดดูสิ ถ้าฉันอ้วน ก็คือฝันร้ายดีๆนี่เอง  มันคือพฤติกรรม fatphobic ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เหอะ  ที่คนเค้าไม่พอใจกันเพราะเธอมีผู้ติดตามล้นหลาม โดยเฉพาะแฟนกลุ่มใหญ่ของเธอที่เป็นสาววัยทีน"

"ความรู้สึกหวาดกลัวความอ้วนคือสาเหตุที่ทำให้เกิด fatphobia  การเป็นโรคปฏิเสธอาหารไม่ได้ทำให้ถูกละเว้นไปจากอคติที่เลวร้ายนี้ รวมถึงTaylor Swift ด้วย"

แต่แน่นอนว่า ดราม่าครั้งนี้จะต้องมีผู้เห็นต่างไปคนละทิศ   หลายคนมั่นใจว่า  message ของ Taylor ไม่ใช่การแสดงอคติต่อความอ้วน แต่เธอได้สื่อถึงความเปราะบางต่อแรงกดดันเรื่อง body image  จากเส้นทาง superstar ที่ต้องถูก body-shame นับครั้งไม่ถ้วน  ไม่ผอมไป ก็อ้วนไป และไม่เคยดีพอสำหรับสายตานักวิจารณ์

"ส่วนตัวฉันรู้สึกเข้าถึงซีนนี้มากนะ มันทำให้รู้สึกแปลกๆที่เธอต้องเปลี่ยนมัน คือแบบว่า โทษทีนะ ถ้าฉันเป็นโรคbody dysmorphia แล้วดันไปทำให้คุณรู้สึกแย่"


"ทั้งๆที่ในที่สุดเธอก็เปิดเผยว่าตัวเองขาดความมั่นใจยังไง  พวกเค้าก็บีบให้เธอต้องก้มหัวยอมรับว่าต้องหยุดพูด ไม่พูดถึงมันอีก  ฉันล่ะเกลียดโลกใบนี้"

"ทุกวันนี้แค่บอกว่าตัวเองรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะมีบางกลุ่มคิดว่าความรู้สึกพวกเค้าสำคัญอยู่ฝ่ายเดียว  เยี่ยมไปเลย   ทั้งๆที่ผู้คนพยายามเปิดใจเรื่องปัญหาสุขภาพจิต แต่กลับถูกสังคมสั่งให้หุบปากไปซะ"


"เธอไม่ได้เป็นพวก fatphobic สักหน่อย  ตรงกันข้าม คนอื่นๆต่างหากที่เอาแต่ body-shame เธอ   ถ้าการพูดเรื่องจริงมันทำให้พวกเธอทั้งหลายเจ็บปวดมากนักล่ะก็ มันถึงเวลาแล้วที่ต้องเบิกตาดูโลกแห่งความจริงและเลิกทำตัวมือถือสากปากถือศีลสักที"







แรงกดดันที่ทำให้ Taylor ตัดสินใจตัดซีน FAT บนตาชั่งออกไปทำให้หลายคนออกมาตั้งคำถามว่า  จริงหรือที่พวกเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยปากถึงปัญหาเรื่อง body image อย่างตรงไปตรงมา  และต้องย้ำเตือนตัวเอง celebrate รูปร่างทุกรูปแบบอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งๆที่ทุกคนต่างรับรู้ความเป็นจริงว่า ผู้หญิงหลายล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับความทุกข์ใจจากการมองตัวเองในกระจกและคิดว่าตัวเองผอมไม่พอ ดีไม่พอ และหากไม่แชร์ความเจ็บปวดออกมาเพื่อให้คนที่มีประสบการณ์ร่วมได้ช่วยเหลือให้คำแนะนำ พวกเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาความไม่มั่นใจนี้ได้เช่นไร?

เมื่อไม่กี่ปีก่อน Taylor ได้เปิดเผยถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์สวยเลิศเลอว่า เธอถูกจับผิดเรื่องรูปลักษณ์จนหันมาอดข้าวอดน้ำ ทั้งยังโหมออกกำลังให้ผอมไซส์ 0 จนแทบจะหมดสติระหว่างขึ้นแสดงดนตรี

"ฉันจำได้ดีว่า ตอนที่อายุแค่ 18 เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นปกนิตยสาร พาดหัวของมันกลับบรรยายไว้ว่า ตั้งครรภ์ในวัย18 จริงหรือ? และเพียงเพราะฉันใส่ชุดที่บางมุมดูเหมือนกับหน้าท้องไม่แบนราบเท่านั้น มันจึงกลายเป็นความผิดที่ฉันต้องถูกลงทัณฑ์"

แม้ Tay จะเปลี่ยนแปลงแนวคิด และหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยง body- shaming ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ผอมบาง หรือน้ำหนักขึ้น ทำให้หลายคนเชื่อว่า นี่ต่างหากที่เป็นความหมายที่แท้จริงของซีนชั่งน้ำหนัก

ในปัจจุบันนี้ แม้แต่ดาว TikTok ที่ได้แชร์เส้นทางการลดน้ำหนัก ใช้เวลา 9 เดือนพยายามคุมอาหารและออกกำลัง จนกระทั่งตัวเลขบนตาชั่งโชว์ว่าเขาไม่ได้เป็นผู้น้ำหนักเกินอีกต่อไปเพราะลดไปได้มากกว่า 50 kg แต่เขากลับถูกวิจารณ์ว่าเป็นพวก fatphobic ที่โน้มน้าวให้คนอื่นหมกมุ่นกับวัฒนธรรมไดเอท และตำหนิว่าเขาเมินเฉยไม่ยอมกล่าวถึงอันตรายของ fatphobia ทั้งๆที่เจ้าตัวเคยอธิบายมาก่อนแล้วว่า สุขภาพแย่จนต้องใช้วิธี healthy ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

เรื่องนี้สร้างเสียงโจษจันว่า หากถึงขั้นที่ลดน้ำหนักเพราะมีเป้าหมายเพื่อสุขภาพดีแล้วยังเจอข้อกล่าวหาเรื่อง fatphobia   ก็คงเลิกแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่อง body image กันไปเลย   เพราะหากชักชวนให้คนอื่นหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ก็อาจจะถูกโจมตีให้เสียกำลังใจไปเลย!

Britney Spears


ดราม่าที่เกิดขึ้นไม่หยุดหลังจากที่ Britney ได้รับอิสระจาก conservatorship ได้สร้างความกังวลใจให้กับแฟนๆไม่น้อยเลย แม้ส่วนใหญ่ เธอจะใช้คำพูดแข็งกร้าวโจมตีสมาชิกครอบครัวที่เคยปฏิบัติกับเธออย่างไม่เป็นธรรม แต่เมื่อเธอแสดงความเห็นที่ส่อถึงอคติที่มีต่อความอ้วน และเหน็บแนมไปถึงดิว่าสาวผู้ที่เคยเป็นคู่แข่ง แฟนๆที่ยืนหยัดสนับสนุนเธอมาตลอดก็ออกอาการสับสน เกิดอะไรขึ้นกับ Brit นะ?

Brit เริ่มด้วยการแปะคำพูดของนักแสดงตลก Rodney Dangerfield ว่า

"ฉันพบว่ามีอยู่แค่วิธีเดียวที่จะทำให้ดูผอม: แฮงค์เอาท์กับพวกคนอ้วนไง"

และบรรยายถึงชีวิตที่เคยไร้อิสระไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ต้องการได้ว่า

"ถ้าฉันเลือกแดนเซอร์ได้เองล่ะก็.. ถ้าได้ใช้แดนเซอร์ของ Christina Aguilera ฉันคงจะดูตัวเล็กสุดๆเลยล่ะ"

"คุณไม่คิดเหรอว่า ฉันจะมีความมั่นใจดีขึ้นมากว่านี้บ้างสักหน่อย หากฉันสามารถเลือกได้ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน จะโทรหาใคร จะออกเดทหรือขึ้นแสดงกับใครบนเวที  บางครั้งมันก็ทำใจได้ลำบากเมื่อพบว่าฉันได้ถูกพรากความเป็นหญิงไปมากเพียงใดในช่วงเวลานั้น และทุกๆคนได้แต่นั่งเฉยไม่ท้วงติงอะไรเลย"

 

ที่จริงแล้ว แฟนๆของ Brit เข้าอกเข้าใจดีว่า เธอกำลังระบายความในใจที่ถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน ทำให้ชีวิตวัยสาวของเธอถูกกลืนหายไปกับการทำตามคำสั่งเพื่อทุ่มเททำงานโดยถูกตามติดเพื่อผลประโยชน์แทบทุกฝีก้าว แต่หลายคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เธอไม่สามารถใช้สถานการณ์ที่เคยตกเหยื่อมาโจมตีบุคคลที่เธอรู้สึกไม่พึงใจ เพราะข้อความของเธอมีน้ำเสียงราวกับกำลังเย้ยหยัน Christina และแดนเซอร์ว่าอ้วนถึงขนาดที่ว่าถ้าให้มายืนประกบกันบนเวทีก็จะให้เธอดูเป็นสาวตัวบางไปเลย


ชาวเน็ททั้ง call out ด้วยการวิงวอนให้เธอปรับเปลี่ยนทัศนคติ ไม่เหยียดหยามเรื่องความอ้วน รวมถึงผู้ที่แสดงความผิดหวังที่ได้เห็นศิลปินขวัญใจด้อยค่าผู้อื่นอย่างร้ายกาจผิดแผกไปจากที่ผ่านมา



"ไม่นะ Britney พวกเราไม่ควรกดให้ผู้หญิงคนอื่นต่ำลงเพื่อสร้างเสริมความมั่นใจของตัวเอง"


"ฉันผิดหวังมากจริงๆ  ทั้งๆที่เธอน่าจะรู้ดีกว่านี้เพราะเคยถูก body-shame มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแท้ๆ"

"นี่มันอะไรกัน  fatphobia เหรอ?  เพราะอะไรคุณถึงพูดอะไรไม่คิดทั้งๆที่เคยผ่านเรื่องราวหนักหนามาขนาดนั้น? เพราะอะไรคุณต้องว่าร้ายทำให้คนอื่นต้องรู้สึกต้อยต่ำ? ช่วยใช้สถานะความเป็นคนดังของคุณอย่างมีความรับผิดชอบหน่อยเถอะ"

"Britney พวกเรารักเธอนะ แต่โพสต์นี้ก่อผลเสียต่อผู้ที่มีรูปร่างใหญ่และผู้ที่ผ่านประสบการณ์โรคปฏิเสธอาหาร   พวกเรารู้ว่าเธอพบกับความเจ็บปวดมามาก แต่อย่าใช้วิธีทำร้ายคนอื่นเพื่อเยียวยาตัวเองเลย"


ชาวเน็ทบางคนประกาศว่าจะเลิกติดตาม Instagram ของเธอ และผู้ที่อยู่กลุ่มนั้นก็คือ Christina นั่นเอง





กระแสตีกลับเดือดขนาดนี้ Britney จึงใช้พื้นที่ social media ชี้แจงว่า เธอไม่ได้ตั้งใจวิจารณ์รูปร่างอันสวยงามของ Christina ครั้งหนึ่งเธอได้บินไปชมคอนเสิร์ตของอีกฝ่าย และพบว่าเหล่าแดนเซอร์บนเวทีนั้นดูแตกต่างกับทีมของเธอ และไม่ได้พาดพิงถึง Christina แต่อย่างใด

"ให้พูดกันตรงๆ ฉันไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ใครเลย แต่โพสต์อันนั้นได้สื่อถึงปัญหาความไม่มั่นใจในตัวเองที่ฉันต้องแบกรับมาโดยตลอด ซึ่งมันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิธีที่พ่อแม่และพวกสื่อได้ปฏิบัติกับฉัน ไม่มีทางที่ฉันจะจงใจ body shame คนอื่น เพราะฉันรู้ดีว่ามันรู้สึกแย่มากขนาดไหน  ฉันต้องดิ้นรนต่อสู้กับเรื่องนี้เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ฉันมองตัวเอง ไม่ใช่ว่าฉันรังเกียจรูปลักษณ์ของคนอื่น ฉันเชื่อว่าครอบครัวของฉันรู้เรื่องที่ฉันรู้สึกไร้ความมั่นใจ และคนอื่นก็จงใจบีบคั้นให้ฉันจิตตกด้วยการไม่ยอมให้ฉันตัดสินใจเลือกคนที่จะมาแสดงร่วมเวทีด้วยกัน  ฉันขอขอบคุณพวกคุณทุกคนที่ทำความเข้าใจ ซึ่งในตอนนี้ฉันกำลังจะเรียนรู้ในการเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่"


move นี้ของ Brit นับว่าพลาดไปมากจนทำให้หลายคนส่ายหน้า แต่ก็ยังมีผู้ที่เชื่อว่า เธอถูกควบคุมบงการมานานจนส่งผลต่อวิธีการสื่อสารความคิด และเธออาจจะไม่ได้มีเจตนาร้าย และตอนนี้เธอน่าจะได้รับบบทเรียนสำคัญแล้ว






Kanye West


ชื่อนี้ไม่เคยห่างหายไปจาก controversy ไม่ว่าใครก็ตกเป็นเป้าหมายของเขาได้ แม้ว่าจะไม่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกันมาก่อน ดังกรณีของ Lizzo ที่ถูกลากเข้ามาสู่ดราม่ายุ่งเหยิง ทั้งๆที่เธอใช้ชีวิตของเธออยู่ดีๆ เมื่อ Kanye ได้สัมภาษณ์พาดพิงถึงภาวะน้ำหนักเกินของเธอ

" Lizzo ออกกำลังกับเทรนเนอร์ของฉันและเป็นเพื่อนของฉันด้วย ตอนที่เธอลดน้ำหนักได้ 10 poundsแล้วประกาศเรื่องนี้ออกมา พวกบัญชี bots คือพวกขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ทน่ะจะตามโจมตีเธอ เพราะพวกสื่อชี้ชวนให้คนเชื่อว่าภาวะน้ำหนักเกินเป็นการตั้งเป้าหมายแนวใหม่สำหรับคนผิวดำ  ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ"

"ลองมาทำใจคิดว่านี่ดูเป็นแฟชั่นและ Vogue  ซึ่งมันก็ไม่ใช่เลย  หรือถ้ามีใครบอกว่า อ้วนแล้วดูน่าดึงดูดใจ มันก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นทำให้สุขภาพเสีย  และพวกที่เชิดชูความอ้วนก็เป็นเรื่องเลวร้ายเหมือนถูกผีห่าซาตานสิง"


ซ้ำร้าย Kanye ยังกล่าวหาว่า สื่อพยายามสนับสนุนให้คนผิวดำหันมาอ้วนกันถ้วนหน้าเพราะต้องทำทุกวิถีทางที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวดำให้สิ้นซาก!




ยังไม่สาแก่ใจ Candace Owens  นักจัดรายการฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ยังโต้ตอบกระแสต่อต้านเสื้อ White Lives Matter ที่เธอและKanyeสวมใส่คู่กันด้วยการลาก Lizzo มาเย้ยหยันว่า

"เราควรจะเอาเสื้อ White Lives Matter ไปสวมที่ร่าง Lizzo    เราอาจจะเรียกร้องความสนใจจากผู้คนอีกมากมายให้ตระหนักเรื่องโรคอ้วน และที่จริงแล้วมันเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตคนAmerican เชื้อสายผิวดำ"


ไม่เพียงแต่แฟนๆของ Lizzo จะเป็นเดือดเป็นแค้นโต้กลับ Kanye และ Candace แบบแรงมา แรงกลับ ยังมีผู้ที่ชี้ให้สังคมเลิกเหมารวมผู้ที่มีน้ำหนักเกินว่าไม่ยอมพัฒนาตัวเอง เกียจคร้านเกินไปที่จะใส่ใจดูแลร่างกายจนกลายเป็นภาระของระบบสาธารณสุข เพราะนั่นเป็นต้นเหตุของการเลือกปฏิบัติจนเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ทั้งการงานและความสัมพันธ์ คนอ้วนมักถูกมองว่าไม่ควรค่าที่จะครอบครองสิ่งดีๆและได้รับเครดิตความสำเร็จ  Lizzo เคยเจอคำดูแคลนจากนักแสดงตลกชายผิวดำร่างใหญ่ว่า รูปร่างของเธอดูเหมือนอีโมจิอึ และแสดงท่าทีขยะแขยงที่เธอเปิดเผยเนื้อหนัง ทั้งๆพิธีกรตั้งคำถามกับเขาว่า คิดอย่างไรกับผลงานดนตรีของเธอ!







Lizzo ผู้ที่ต้องต่อสู้กับคำพูดรุนแรงร้ายกาจมานับครั้งไม่ถ้วนไม่ได้ฟาดฟันกลับด้วยอารมณ์ร้อนแรง เธอบอกกับแฟนๆที่มาชมคอนเสิร์ตว่า ใครๆก็พาดพิงเอาชื่อของเธอมาแขวะอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่เธอยุ่งแต่กับเรื่อง "สวย อ้วน ดำ" ของตัวเองอย่างเดียวแท้ๆ !





candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE