รู้จักตัวตน Jenna Ortega นอกเหนือบทบาท Wednesday
candy 41 17
ความสำเร็จอันล้มหลามของ Wednesday ไม่เพียงจะทำให้ชื่อของ Jenna Ortega ทะยานเข้าสู่เส้นทาง A-Lister ที่หลายฝ่ายต้องจับตามองเท่านั้น แต่นอกจากฝีมือการแสดงและออร่าที่สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ เธอยังได้รับการยกย่องในฐานะแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ นอกจากภาพ Wednesday ที่ทำให้ทำให้พวกเราต้องหลงรัก เรามาติดตามแง่มุมที่หลากหลายของนางเอกสาวน่ารักน่าหยิกคนนี้กันเลยค่ะ
เธอมาจากครอบครัวใหญ่เชื้อสาย Hispanic
"ถ้าจะให้บรรยายเรื่องราวด้านที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันก็คงบอกได้ว่า นี่คือเด็กสาวจากเมืองเล็กขนาดที่ชาวเมืองรู้จักกันหมด และมีผู้คนมากมายพยายามบั่นทอนกำลังใจของฉัน แต่ตอนนี้ฉันได้มาอยู่ตรงนี้แล้วค่ะ"
Jenna Ortega
พื้นเพในชีวิตจริงของ Jenna ฟังแล้วดูคล้ายกับซีรีส์ Stuck in the Middle ตรงที่เธอเป็นลูกคนกลางของครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องรวมกันถึงหกคน ครอบครัวของเธอสืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพชาว Mexican และ Puerto Rican แต่แม้ว่าพวกเค้าจะอาศัยที่ USA มาตลอดชีวิตและไม่สามารถพูดภาษา Spanish ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ให้ความสำคัญกับพื้นเพ Latina
Jenna เชื่อว่า เธอได้สืบทอดความรักในศิลปะการแสดงมาจากคุณตาที่เป็นชาว Puerto Rican แม้ว่าท่านจะจากโลกนี้ไปก่อนที่เธอจะเกิด แต่ท่านเป็นเพียงผู้เดียวในครอบครัวที่ชื่นชอบการร้องเพลง เต้นรำ และการแสดง ในขณะที่สมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่จะเคร่งขรึมและขี้อาย เธอกลับมีพลังงานล้นเหลือและรู้ถึงความปรารถนาอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักแสดงมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
จากนักแสดงเด็กโนเนม ก้าวมาเป็นเด็กสร้างค่าย Disney
Jenna ในวัยเพียง 6 ขวบเริ่มขอร้องให้พ่อแม่ยอมรับความฝันที่จะเริ่มต้นออดิชั่นงานโฆษณาและละคร แต่พวกเค้าไม่ได้ถือคำพูดของเธอเป็นเรื่องจริงจัง และคิดว่าเป็นความเห่อแบบเด็กฝันเฟื่องเท่านั้น โดยเฉพาะแม่ของเธอที่ต่อต้านความคิดนี้เพราะเคยได้ยินเรื่องราวของดาราเด็กที่ถูกพิษของวงการบันเทิงเล่นงานจนเสียผู้เสียผู้เสียคนมานักต่อนัก สองปีผ่านไป Jenna ก็ยังไม่ยอมแพ้จนทำให้พ่อแม่เปลี่ยนใจ และออกเดินทางเพื่อออดิชั่นบทเล็กๆจากหนังและซีรีส์ เธอได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่เป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 8 ขวบ เมื่อฝ่าย casting ได้พบวีดีโอโชว์ความสามารถซึ่งแม่ของเธอได้แชร์แบบขำๆบน Facebook
แต่พวกเราน่าจะจินตนาการกันออกว่า วงการนี้มีอัตราการแข่งขันนั้นโหดหินขนาดไหนสำหรับนักแสดงที่ไร้เส้นสาย กว่าจะก้าวถึงประตูโอกาสใน Hollywood เธอก็ได้ยินแต่คำว่า No จากฝ่าย casting มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ใครๆก็คิดกันไปว่า ถ้าฉันมีเอเจนซี่แล้วได้ออดิชั่นบทกับ Disney แล้วก็ได้งานแสดงแบบง่ายๆ ฉันต้องออดิชั่นมากมายหลายครั้งกับ Disney กว่าจะได้รับบท Harley (ตัวละครนำของ Stuck in the Middle ) ฉันก็ต้องออดิชั่นราวๆสิบครั้ง มันไม่ง่ายดายเหมือนที่มองกัน ต้องจำบทแปดหน้า การท่องจำบทยาวขนาดนี้ไม่ใช่ของกล้วยๆนะคะ แล้วยังต้องแสดงให้เป๊ะที่สุดด้วย จึงต้องทุ่มเทกันอย่างหนัก ยิ่งกรณีของฉันที่ต้องเดินทางไกลมาออดิชั่นอยู่ตลอด เมื่อได้เข้าไปอยู่ในห้องออดิชั่นที่พร่างพรูไปด้วยความคาดหวัง และไม่รู้แม้แต่น้อยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร การลงทุนนั่งรถเดินทางมาไกลจะสูญเปล่าหรือไม่? มันสร้างความหวาดหวั่นใจให้มากเลยค่ะ เราจะถูกปฏิเสธมากกว่าตกลงให้แสดง และต้องพยายามไม่หมดหวังจากคำปฏิเสธ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยซะจนฉันรู้สึกหมดกำลังใจ และเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือได้ แต่ก็ต้องเดินหน้าฟันฝ่าต่อไป เพราะถ้าฉันล้มเลิกความตั้งใจในตอนนั้น ก็จะไม่มีฉันในวันนี้"
Jenna Ortega
ผลงานหนังโศกนาฏกรรมกราดยิงที่สร้างชื่อเรื่องฝีมือการแสดงอันโดดเด่น
ก่อนที่ Wednesday จะกลายมาเป็นซีรีส์ภาษาอังกฤษที่คว้าสถิติมีผู้เข้าชมเป็นเวลาถึง 341.2 ล้านชั่วโมงในสัปดาห์แรก (ทำลายสถิติของ Stranger Things) ผู้ชมอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอจากซีรีส์ใสๆ Stuck in the Middle, บทวัยเด็กของ Jane the Virgin, บทสมทบใน You ซีรีส์ thriller จิตหลอน รวมถึงหนังเลือดสาดอีกหลายเรื่อง แต่ในสายตานักวิจารณ์หนังจากหลายสื่อ จุดเปลี่ยนของอาชีพนักแสดงของเธอคือหนัง Fallout ที่ออกฉายทาง HBO max บท Vada สาววัยทีนที่ได้รับการกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์กราดยิงคร่าชีวิตคนในโรงเรียนทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก Hollywood Critics Association Midseason Awards ตอกย้ำด้วยคำยืนยันจากผู้กำกับ Megan Park ว่า แค่ได้พบเธอครั้งแรกก็ตกหลุมรัก เพราะ Jenna มีคุณสมบัติที่ตรงใจทุกอย่าง นั่นคือ เด็ก Gen Z ที่ดูโดดเด่นน่าสนใจ จริงใจและกล้าหาญ เฉลียวฉลาดและมาดมั่นไม่หวั่นไหว
แต่สิ่งที่ผู้ชมอาจจะไม่คาดคิดคือ Jenna เคยตกอยู่ในสถาการณ์สุดสะพรึงในโรงเรียนมัธยม เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นช่วงพักกลางวัน และนักเรียนต่างสับสนว่ามีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นจริงหรือเป็นการฝึกเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ร้ายแรง แต่ในภายหลังได้พบว่า มีนักเรียนพกปืนเอามาโชว์คนอื่นทำให้ตำรวจมาควบคุมตัวบุคคลนั้นไป หรือแม้แต่น้องๆของเธอก็เคยต้องหยุดเรียนเพราะมีคำขู่วางระเบิดโรงเรียน ซึ่งเธอเผยว่า หากไม่เคยเจอเข้ากับตัวจริงๆ ก็ยากจะเข้าใจว่ามันสาหัสขนาดไหน
จุดประกายความเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม
ก่อนจะดังเปรี้ยงจากบทซีรีส์ฟอร์มยักษ์แห่ง Netflix Jenna ที่ยังเป็นนางเอกวัยทีนพยายามใช้ social media เป็นกระบอกเสียง ทั้งยังร่วมเดินขบวนเรียกร้อง, ร่วมอีเวนท์และการจัดประชุมต่างๆเพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาสังคมให้มากที่สุดเท่าที่เธอทำได้ สื่ออาจจะเผยภาพเธอที่ใส่เสื้อติดสโลแกนในการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น The Future Is Female, I Do Care And U Should Too และ Latina Power ซึ่งตอนที่เธอใช้สถานะนักแสดงมาเป็นสื่อกลางในการเรียกน้องเพื่อความเสมอภาคในสังคม เธอมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น
บท Wednesday ได้ตอบโจทย์ของการทำหน้าที่ตัวแทนของ Latinx community ของ Jenna และเธอหวังว่า บทบาทนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนที่มีความแตกต่างที่ไม่ต้องการจะถูกเพิกเฉยอีกต่อไป
"ในทางเทคนิคแล้ว Wednesday เป็นตัวละครเชื้อสาย Latina ซึ่งเป็นแง่มุมที่ไม่เคยถูกจับมานำเสนอ สำหรับฉันแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ได้มีโอกาสได้เป็นตัวแทนเพื่อนำเสนอความเป็นพวกพ้องเดียวกัน ฉันก็อยากได้รับความสนใจค่ะ"
"เมื่อได้รับโอกาสนี้จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษกับฉันมาก จากช่วงเวลาที่เติบโตขึ้นมา ฉันไม่ได้เห็นคนที่ดูเหมือนกับตัวเองจากการชมผลงานผ่านจอ ฉันจำได้ว่า ในงานฉลองวันเกิดครบห้าขวบ ฉันขอให้แม่ซื้อน้ำยาย้อมผมสีบลอนด์ให้ เพราะฉันจะได้เปลี่ยนสีผมให้ดูเหมือนกับ Cinderella ถ้าเกิดว่าเราไม่มีแบบอย่างที่มีความคล้ายคลึงทำให้เข้าถึงได้ มันก็ทำให้ท้อแท้ใจค่ะ"
"การสร้างความภาคภูมิใจต่อวัฒนธรรมของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะใน America นั้นมีชาติพันธุ์ที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ย่อมเป็นคุณ คุณจะต้องยึดมั่นกับตัวตนที่แท้จริงและอย่าได้เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้ตัวเองกลมกลืนหรือเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดี"
Jenna เป็นหนึ่งในคนดังที่ออกมาเรียกร้องให้สังคมยุติต่อต้านผู้อพยพและการปฏิบัติกับผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างทารุณ ด้วยพื้นเพของการเติบโตในครอบครัวที่สืบเชื้อสายของผู้อพยพ การผ่านประสบการณ์ตรงที่ถูกเลือกปฏิบัติและพบเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้เธอก้าวออกมาเป็นส่วนหนึงในการเรียกร้องเพื่อความเสมอภาคอย่างไม่ลังเล
การเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมของ Jenna ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มคนที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง เธอตกป็นเป้าหมายจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมเมื่อได้ประกาศจุดยืนสนับสนุนสิทธิการทำแท้งของผู้หญิงและแสดงออกชัดเจนว่าเป็นนักสิทธิสตรี แต่เสียงโจมตีเหล่านั้นก็ไม่ทำให้เธอเก็บซ่อนอุดมการณ์ไว้
"ฉันจะใช้สิทธิ์การเป็นปากเป็นเสียงให้ดังยิ่งกว่าที่ฉันเคยมองว่าตัวเองจะทำได้ มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แม้ว่าฉันอาจจะไม่ใช่คนที่สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ แต่ฉันจะพยายามเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นหรือออกมาสนับสนุนในประเด็นที่คนอื่นอาจจะไม่ให้ความสำคัญทั้งที่มันควรค่าที่จะได้รับความสนใจ ฉันไม่เชื่อว่าจะต้องเก็บซ่อนความคิดเห็นไว้ เพราะเราจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยหากเอาแต่ทนอยู่เงียบๆ"
Jenna Ortega
ความไม่มั่นใจกับ beauty standard
แม้แฟนๆจะแสดงความตื่นเต้นชื่นชมกระตามธรรมชาติที่ปรากฏบนใบหน้าของ Wednesday แต่นอกจอ Jenna ต้องเจอกับเหตุการณ์ชวนจิตตกที่ทำให้เธอหมดความมั่นใจมาแล้ว
"มีช่างแต่งหน้าบ่นว่าหาเครื่องสำอางที่เข้ากับโทนสีผิวของฉันไม่ได้ และกระของฉันดูสกปรกจนต้องใช้เครื่องสำอางกลบมันไว้ ฉันรู้สึกอับอายเรื่องตกกระและไม่อยากให้ใครเห็นหน้าตาอยู่พักใหญ่เลยค่ะ"
แม้ว่าเธอจะก้าวผ่านความไม่มั่นใจนี้ไปได้แล้ว แต่คำพูดแย่ๆกลับฝังลึกอยู่ในหัว เพราะเธอต้องมาเจอเรื่องนี้ตั้งแต่ยังอายุน้อย และมันได้จุดประกายให้เธอหันมาส่งเสริมพลังทางบวกด้วยแนวคิดความงามที่มีเอกลักษณ์แตกต่าง
"ฉันเป็นสาว Latina มีผมสีเข้มและขนดก" Jenna พูดกลั้วเสียงหัวเราะ แต่ความจริงเธอรู้สึกไม่มั่นใจกับขนร่างกาย ทั้งขนตามแขนขาที่เคยถูกล้อเลียนว่าเหมือนกอริลล่า และหนวดที่ต้องกัดสีทุกๆเดือน หรือย่นมาเป็นทุก 2-3 สัปดาห์เพราะถ่ายหนังอยู่ตลอด ความพยายามเสียงชื่อเสียงในวงการมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอใช้ social media เพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง แต่อายุเพียงแค่ 13 ปี แค่ส่องกระจกก็รู้สึกแย่กับภาพที่สะท้อนออกมาแล้ว แต่ยังถูกซ้ำเติมชาวเน็ทที่ bully เธอว่าดูอัปลักษณ์หรือมีรูปร่างแปลกประหลาด และความ toxic เช่นนี้ที่ทำให้เธอต้องคอยลบ Instagram ออกจากโทรศัพท์ของตัวเองอยู่เรื่อยๆ เธอต้องเตือนใจตัวเองเสมอว่า social media ไม่ได้อิงกับความเป็นจริง และผู้คนที่อยู่เบื้องหลังคีย์บอร์ดก็พร้อมใช้คำพูดทิ่มแทงกันโดยที่ไม่แคร์กับสิ่งที่จะเกิดตามมา แต่มันก็ยากที่จะตัดขาดมันไปได้ เพราะเธอยังต้องใช้ platform นี้ติดต่อสื่อสารกับแฟนๆ
ปัจจุบัน ชื่อเสียงจากผลงานดังทำให้ผู้ติดตามของ Jenna บน Insagram พุ่งจาก 9 ล้าน มาเป็น 22 ล้านในเพียงเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ แต่นั่นหมายความว่า ยิ่งตัวเลขสูงก็อาจจะดึงดูดความ toxic ให้เพิ่มพูนตามไปด้วย
สูญเสียการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติเพื่อไขว่คว้าหาความฝัน เกิดเป็นผลกระทบต่อ mental health
"ถ้าพูดจากประสบการณ์ที่ต้องรับมือกับภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ต้องใช้ชีวิตในเมืองอย่างโดดเดี่ยว มันรู้สึกแปลกๆที่ยอมรับออกมาแบบนี้ ฉันคิดว่าฉันมองตัวตนแตกต่างไปจากภาพที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงมองฉัน ทุกวันนี้ก็ฉันยังต้องรับมือกับการการดูแลเรื่องสุขภาพจิตอย่างยากลำบากเพราะเป็นคนที่ยังไม่สามารถหาจุดที่รู้สึกพอใจกับตัวเองได้อย่างแท้จริง ฉันทำงานหนักมากค่ะ แล้วก็คอยเตือนตัวเองว่า ต้องพักซะบ้างนะ หาเวลาไปอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆบ้าง แต่พอได้ใช้เวลากับพวกเค้าตอนที่พักจากการทำงานก็เกิดอาการสติแตก เอาแต่คิดว่า เดี๋ยวก็ต้องเริ่มทำงานอีกแล้ว ฉันจะหาความสร้างสรรค์มาทำผลงานศิลปะดีๆได้อีกเมื่อไร?
เธอได้อธิบายเรื่องปัญหาในใจที่เกิดจากการทำงานว่า ต้นเหตุของความเหนื่อยล้าก็หนีไม่พ้นตัวเธอเอง เมื่อรู้สึกว่าไม่ดีพอในการสร้างสรรค์ผลงาน เธอจึงพยายามหางงานอดิเรกมาเบี่ยงเบนแนวคิดหมกมุ่นนั้น และเมื่อได้รับคำถามว่า อยากจะให้คำแนะนำตัวเองในวัย 12 อย่างไร คำตอบที่น่าตกใจของเธอคือ
"ช่วยผ่อนคลายหน่อยเถอะ ถึงจะต้องให้ความสำคัญในการทำงาน เธอก็ยังเป็นแค่เด็กนะ ออกไปสนุกบ้าง"
Jenna เผยว่า เธอเป็นคนที่จริงจังเกินไป เอาแต่คิดมากต้องวิเคราะห์ทุกอย่างเกินความจำเป็นมาตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่เข้าวงการตอนแปดขวบ เธอเดินทางไป LA เพื่อถ่ายหนัง ทำการบ้านตอนอยู่ในรถระหว่างขากลับบ้านในเขตทะเลทราย หลังจากให้สัญญากับพ่อแม่ว่า ถ้าอยากจะทำงานในวงการต่อ จะต้องรักษาเกรดให้ดี และต้องคอยผลักดันให้ตัวเองไม่ให้มีข้อผิดพลาดทั้งผลการเรียนและงานแสดง แม้เธอจะเคยชินกับตารางงานที่หนักแบบนี้ แต่มันกลายเป็นแรงกดดันทำให้รู้สึกวิตกกังวลเสมอ และถ้าได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่ผ่อนคลายได้เพียงสั้นๆ เธอกลับรู้สึกไม่ชอบมัน เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนขาดประสิทธิภาพที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน "แล้วอนาคตและชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไร ฉันจะกลายเป็นคนแบบไหนถ้ามัวแต่เอ้อระเหยลอยชาย?"
Hollywood Reporter อาจจะยกให้ Jenna เป็น The Next Big Thing ของวงการบันเทิง แต่กระแสเรียกร้องให้ Netflix ประกาศเดินหน้าสร้าง Wednesday ซีซัน 2 อย่างเป็นทางการ (แม้จะฟันธงได้แน่นอนว่า ปังขนาดนี้ มีสร้างต่อแน่ แต่จะสร้างกี่ซีซัน?) รวมถึงแฟนคลับที่ที่รอคอยผลงานที่เผยความสามารถอันโดดเด่นของเธอก็น่าจะชี้ชัดแล้วว่า เธอก้าวมาเป็น Big Thing อย่างเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว!