เมื่อคนดังขอร้องไม่ให้คอมเมนท์เรื่องรูปลักษณ์
candy 32 13ถึงฤดูเทศกาลเมื่อใด หลายคนก็อาจจะต้องเตรียมใจพบกับคำทักทายชวนเพลียจากวงศาคณาญาติและเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบหน้ากันนาน
"อ้วนขึ้นเยอะนะเนี่ย จำไม่ได้เลย"
"ผอมไปรึเปล่า หัดกินเยอะๆบ้างนะ ดูไม่มีเรี่ยวมีแรง"
"ทำไมปล่อยให้เป็นสิวขนาดนี้"
ฯลฯ
ถึงอาจจะมีคนเตรียมคำพูดเอาไว้สู้กลับแบบเจ็บๆ แต่ส่วนใหญ่คงเลือกหลีกเลี่ยงการปะทะคารม ได้แต่ทำหน้าจืดเจื่อนหรือพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป แต่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำซาก ก็ต้องยอมรับว่า คอมเมนท์ด้านลบเรื่องรูปลักษณ์ทำให้เสียอารมณ์จนไม่อยากพบปะคนช่างติ หรือมีอาการ 'รวมญาติ phobia' ไปเลย
ในยุคสมัยที่ผู้คนหันมาร่วมรณรงค์เรื่อง body positivity และชี้ว่า พวกเราสามารถใช้คำพูดเพื่อส่งพลังทางด้านบวกให้กันได้อย่างหลากหลาย โดยที่ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่าง แม้จะอ้างว่า พูดออกมาเพื่อแสดงเจตนาดีหรือแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ body- shaming นั้นช่างล้าสมัย และคำพูดที่สร้างบรรยากาศดีๆอย่าง "ไม่เจอกันนาน ดีใจจังที่ได้เจอกัน" หรือ "เธอยังสวยไม่เปลี่ยน" ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง ทุกฝ่ายต่างก็ happy
แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าทั้งเสียมารยาทและอาจจะส่งผลร้ายจนถึงขั้นต้องหมางเมินกันไป แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่เลือกใช้คำพูดทิ่มแทงคนอื่นให้เจ็บปวด ยิ่งเป็นคนดังที่มีผู้ติดตามหลายล้าน ก็ยิ่งต้องถูกบีบคั้นจนต้องออกมาขอร้องว่า อย่าได้คอมเมนท์เรื่องรูปลักษณ์อันอีกเลย
พวกเค้ามีเหตุผลใดที่ call out ชาวเน็ทในประเด็นนี้ มาติดตามกันเลยค่ะ
แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าทั้งเสียมารยาทและอาจจะส่งผลร้ายจนถึงขั้นต้องหมางเมินกันไป แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่เลือกใช้คำพูดทิ่มแทงคนอื่นให้เจ็บปวด ยิ่งเป็นคนดังที่มีผู้ติดตามหลายล้าน ก็ยิ่งต้องถูกบีบคั้นจนต้องออกมาขอร้องว่า อย่าได้คอมเมนท์เรื่องรูปลักษณ์อันอีกเลย
พวกเค้ามีเหตุผลใดที่ call out ชาวเน็ทในประเด็นนี้ มาติดตามกันเลยค่ะ
ชาวเน็ทแสดงความเป็นห่วง Ariana Grande ที่ดูผอมลง
ช่วงไม่นานมานี้ ภาพของ Aria Grande ได้จุดกระแส debate ในโลกออนไลน์ จากเสียงถามไถ่ว่า เหตุใดเธอจึงดูผอมลงอย่างผิดหูผิดตา? ทั้งคนที่แสดงความเป็นห่วงว่า เธอดูเหมือนกำลังเจ็บไข้ได้ป่วย และยังมีอีกคอมเมนท์อีกมากมายที่เผยความไม่ชอบใจเรื่อง makeup และใบหน้าของเธอที่ดูเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
Ariana: ความงามมีหลายมุมมอง
Ari ตัดสินใจแชร์วีดีโอเพื่อแสดงความรู้สึกต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ของเธอ โดยชูประเด็นที่น่าสนใจด้วยการชี้ว่า รูปลักษณ์ในอดีตที่ชาวเน็ทนำมาเปรียบเทียบกับตัวเธอในปัจจุบันนั้น ไม่ได้เป็นรูปร่างจากสุขภาพแข็งแรงอย่างที่คิดกัน
"ฉันจะบอกให้ว่า ความงามนั้นมีอยู่หลากหลาย มุมมองต่อรูปลักษณ์ที่สวยงามและมีสุขภาพที่ดีก็มีอยู่หลายรูปแบบ ในกรณีของฉัน รูปร่างหน้าตาที่พวกคุณยกมาเปรียบเทียบกับตัวฉันในช่วงล่าสุดเป็นเวอร์ชั่นที่สุขภาพร่างกายย่ำแย่ที่สุดแล้ว"
แม้ว่าจะทักกันด้วยเจตนาดี แต่อาจทำให้คนฟังรู้สึกแย่
"ฉันคิดว่าเราควรจะถนอมจิตใจกันมากกว่านี้และลดการวิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ของคนอื่นกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดด้วยวัตถุประสงค์แบบใดก็ไม่ควร คุณอาจจะคิดว่ากำลังพูดชื่นชมหรือพูดด้วยเจตนาดี อย่างการบอกว่าคนอื่นดูสุขภาพดีหรือดูป่วย รูปร่างใหญ่หรือผอม เซ็กซี่หรือไม่เซ็กซี่อะไรแบบนั้น เราควรมาร่วมใจลดละพฤติกรรมแบบนั้นจะดีกว่า"
คุณอาจจะเคยได้ยินคนที่ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นแล้วอ้างว่าหวังดี แต่ๆจริงๆแล้วอาจจะกำลังซ้ำเติมให้อีกฝ่ายรู้สึกย่ำแย่ไปกว่าเดิม คุณอาจจะไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่า คำพูดสั้นๆอาจจะส่งผลเสียหนักต่อชีวิตใครบางคน
Ari ได้แนะนำว่า
"เรามีวิธีอื่นๆเพื่อกล่าวคำชื่นชมกัน หรือปล่อยวางไม่หยิบเอาสิ่งที่คุณมองเห็นแล้วไม่ตรงใจมาพูดถึง ซึ่งเราควรร่วมด้วยช่วยกันเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเองและคนอื่น"
" คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนอื่นกำลังเผชิญกับเรื่องราวใดอยู่ ดังนั้น ถึงคุณจะพูดจาออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ที่จริงคนๆนั้นก็อาจจะพยายามรับมือกับปัญหาของตัวเองอยู่ หรือว่าเค้ากำลังได้รับความช่วยเหลือเพื่อจะก้าวผ่านเรื่องนั้นไปให้ได้ คุณไม่สามารถเดาออกหรอกว่าเค้าเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้น ช่วยพูดถนอมจิตใจคนอื่นบ้างและอ่อนโยนกับตัวเองด้วยเถอะ"
ผู้เชี่ยวชาญเตือน การแสดงความเห็นเรื่องรูปลักษณ์จะยิ่งสร้างความเสียหายต่อผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ
Elizabet Altunkara ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาแห่ง the National Eating Disorders Association ได้ชี้ว่า การวิจารณ์ผู้อื่นเรื่องรูปร่างหน้าตาถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม และหลายคนก็ยากจะทำความเข้าใจว่า เหตุใดมันจึงเป็นพฤติกรรมที่สร้างปัญหาและควรหลีกเลี่ยง
"เพียงแค่มองจากภายนอกไม่ทำให้เรารู้ได้แน่นอนว่าใครคนนั้นกำลังเผชิญกับกับปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจเช่นไร คำพูดเหล่านั้นจะทำให้ปัญหาคงอยู่เรื้อรัง อย่างผู้มีแนวคิดด้านลบต่อ body image ขาดความภาคภูมิใจในตนเอง ไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้วก็ยิ่งถูกซ้ำเติม"
และแม้ว่า Ariana จะไม่ออกมาตอบโต้ หรือใส่ใจกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ของเธอ แต่มีผู้คนอีกจำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ เพราะมันเป็นการตอกย้ำว่า การพูดเรื่องรูปลักษณ์ของคนอื่นและคาดเดากันไปตามใจชอบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ผิด แนวคิดเชิดชูคุณค่าของรูปลักษณ์ภายนอกจนเกินควรจะก่อความเสียหายโดยเฉพาะต่อผู้ที่ประสบปัญหาเรื่อง body image หรือมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปฏิเสธอาหาร
Nicola Coughlan: ขอร้องแฟนๆหยุดส่งความเห็นเรื่องรูปร่างหน้าตา
สำหรับดาราศิลปินที่ไม่ได้มีรูปร่างตรงตาม beauty standard โดยเฉพาะ 'สาวอวบ'มักตกเป็นเป้าหมายจากโลกออนไลน์และสื่อให้ชี้แจงความรู้สึกเรื่องรูปร่างของตัวเอง หลายคนถูกเหมารวมว่า จะต้องออกโรงเป็นตัวแทนเชิดชูแนวคิด body positivity
แต่ไม่ใช่ว่า ทุกๆคนจะสามารถพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างสบายใจ...
นางเอกสาวมากความสามารถจาก Bridgerton ได้เผยว่า มีคนจำนวนมากคอยส่งข้อความมาย้ำเตือนเธอในประเด็นรูปลักษณ์จนเกินจะรับไหว
"หากคุณมีความเห็นเกี่ยวกับรูปร่างของฉัน โปรดอย่าบอกให้ฉันได้รับรู้ คนส่วนใหญ่นั้นพูดจาน่ารักและพยายามจะไม่ทำร้ายจิตใจกัน แต่ฉันก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ และการที่ต้องมาแบกรับความเห็นเรื่องรูปลักษณ์เป็นพันๆส่งตรงมาถึงทุกวันมันเป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก"
"หากคุณมีความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับตัวฉัน มันก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจดีค่ะว่าฉันแสดงละคร TV และมันทำให้คนคิดเห็นและพูดจาไปต่างๆนานา แต่ฉันขอร้องเถอะค่ะ อย่าบอกกล่าวมาถึงฉันโดยตรงเลย"
ปรารถนาจะพิสูจน์ความสามารถ ไม่อยากให้คนโฟกัสที่รูปร่าง
"นักวิจารณ์จะตัดสินฉันจากผลงานการแสดงในซีรีส์ Derry Girls และการแสดงละครเวที ไม่ได้พิจารณาจากรูปร่างของฉัน ฉันหวังว่าในอนาคตข้างหน้า แทนที่จะวิจารร์กักนเรื่องรูปลักษณ์ ผู้คนจะหันมาพูดถึงผลงาน การสร้างแรงบันดาลใจ และแรงผลักดันของเรากันมากขึ้น ตอนนี้เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงแล้ว ฉันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้"
"ทุกครั้งที่ฉันได้รับคำถามเรื่องรูปร่างในการให้สัมภาษณ์ มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากและยังรู้สึกเศร้าใจที่ฉันไม่ได้รับโอกาสให้พูดถึงผลงานที่ตัวเองรัก รูปร่างหน้าตาคือเครื่องมือที่ฉันนำมาถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไปต่างๆ มันไม่ใช่สิ่งที่นิยามตัวตนของฉันค่ะ"
Jona Hill: รู้ว่าหวังดี แต่กรุณาอย่าพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์
รูปร่างของพระเอก comedy ชื่อดังมักสร้างเสียงกล่าวขวัญจากความเปลี่ยนแปลงอย่างสุดโต่ง ในอดีต ผู้ชมอาจจะติดภาพเขาจากบทบาทหนุ่มเจ้าเนื้อ แต่เพื่อบทบาทการแสดง พวกเราต่างได้เห็น Jonah Hills ในหลายเวอร์ชั่น เมื่อใดก็ตามที่เขาลดน้ำหนักลงไปมาก หลายคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาดูเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ และรูปร่างที่ดู fit ก็มีเสน่ห์น่ามองขึ้นมามาก แต่เมื่อเขาเริ่มตัวใหญ่ขึ้น ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยน้ำเสียงผิดหวัง บ้างก็เยาะเย้ยว่าเขากลับไปเป็นตัวตลกหุ่นเผละ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา Jonah ก็มาถึงจุดที่ต้องขีดเส้นแบ่งเรื่องนี้สักที
"ผมรู้ว่าคุณมีเจตนาดีนะ แต่ผมขอร้องว่ากรุณาอย่าแสดงความคิดเห็นเรื่องรูปร่างของผมเลย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ดีหรือแง่ลบก็ตาม ผมขอให้ทราบทั่วกันว่า นี่มันไไม่ช่วยให้เกิดอะไรขึ้นมาและมันไม่ได้ทำให้รู้สึกดี ด้วยความเคารพครับ"
เบื้องหลังของนักแสดงที่สร้างเสียงหหัวเราะให้กับผู้คน เขามีปัญหาเรื่อง self-esteem และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจ
"ผมน้ำหนักเกินมาตั้งแต่เด็ก มันฟังดูไม่เหมือนเรื่องใหญ่อะไร หรือไม่ใช่เรื่องที่เรียกความสงสารขนาดนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจผมอย่างหนัก"
เขายอมรับว่า อาจจะประสบความสำเร็จมากทำให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ความเจ็บปวดตั้งแต่วัยเด็กก็ทำให้จำเป็นต้องเยียวยารักษาตัวเองด้วยการบำบัด เสียงวิจารณ์เรื่อง body image จึงยิ่งฉุดรั้งให้เขาจมกับความคิดดูถูกตัวเอง
"ผมสร้างชื่อเสียงในช่วงวัยทีนตอนปลาย และใช้เวลาในช่วงวัยที่ก้าวเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกับการฟังใครๆบอกว่าผมทั้งอ้วนและดูน่าขยะแขยงและอัปลักษณ์ ผมเพิ่งจะมาเข้าใจว่าเรื่องนี้มันทำร้ายผมและมีอิทธิพลต่อความคิดของผมได้ถึงขนาดไหนก็ตอนที่กำกับและเขียนบทหนังเรื่อง Mid90s"
"ผมเชื่อว่า ทุกๆคนต่างมีภาพน่าเกลียดๆที่น่าขายหน้าของตัวเองสมัยยังเด็กฝังอยู่ในความทรงจำ สำหรับผม มันเป็นตอนอายุ 14 เป็นเด็กอ้วนและขี้เหร่ ชอบฟังเพลง hip hop และอยากจะเป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักเล่นสเก็ต"
"ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะประสบความสำเร็จเมื่อโตขึ้นมาและเปลี่ยนเป็นคนที่ดูดี แม้จะคิดว่ามันจะสามารถช่วยแก้ไขความไม่มั่นใจในตัวเองได้ แต่ความเจ็บปวดนี้ฝังใจก็ยังอยู่กับเราเสมอ"
"ผมน้ำหนักเกินมาตั้งแต่เด็ก มันฟังดูไม่เหมือนเรื่องใหญ่อะไร หรือไม่ใช่เรื่องที่เรียกความสงสารขนาดนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจผมอย่างหนัก"
เขายอมรับว่า อาจจะประสบความสำเร็จมากทำให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ความเจ็บปวดตั้งแต่วัยเด็กก็ทำให้จำเป็นต้องเยียวยารักษาตัวเองด้วยการบำบัด เสียงวิจารณ์เรื่อง body image จึงยิ่งฉุดรั้งให้เขาจมกับความคิดดูถูกตัวเอง
"ผมสร้างชื่อเสียงในช่วงวัยทีนตอนปลาย และใช้เวลาในช่วงวัยที่ก้าวเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกับการฟังใครๆบอกว่าผมทั้งอ้วนและดูน่าขยะแขยงและอัปลักษณ์ ผมเพิ่งจะมาเข้าใจว่าเรื่องนี้มันทำร้ายผมและมีอิทธิพลต่อความคิดของผมได้ถึงขนาดไหนก็ตอนที่กำกับและเขียนบทหนังเรื่อง Mid90s"
"ผมเชื่อว่า ทุกๆคนต่างมีภาพน่าเกลียดๆที่น่าขายหน้าของตัวเองสมัยยังเด็กฝังอยู่ในความทรงจำ สำหรับผม มันเป็นตอนอายุ 14 เป็นเด็กอ้วนและขี้เหร่ ชอบฟังเพลง hip hop และอยากจะเป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักเล่นสเก็ต"
"ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะประสบความสำเร็จเมื่อโตขึ้นมาและเปลี่ยนเป็นคนที่ดูดี แม้จะคิดว่ามันจะสามารถช่วยแก้ไขความไม่มั่นใจในตัวเองได้ แต่ความเจ็บปวดนี้ฝังใจก็ยังอยู่กับเราเสมอ"
Bebe Rexha: clap back หนักๆ
สำหรับคนบางกลุ่ม คำพูดขอร้องกันดีๆอาจจะไม่สะดุ้งสะเทือน คนถูก body shame จึงใช้วิธี clap back เอาคืนให้เจ็บแสบ เหมือน Bebe Rexha
"นี่สำหรับพวกที่พูดว่าร้านเรื่องน้ำหนักตัวของฉันนะ ถึงคุณจะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของฉันก็อย่าหวังเลย ถ้าคุณไม่ใช่พวกที่งามสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง คุณไม่มีสิทธิ์จะวิจารณ์เรื่องร่างกายของคนอื่น ความเกลียดชังที่แพร่กระจายจากตัวคุณน่ะไม่ได้ทำให้คุณดูสวยงามน่ามองหรอกนะ ฉันไม่สนสักนิดว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับน้ำหนักตัวของฉัน ฉันสนแต่ความคิดตัวเอง"
แต่แม้ว่า Bebe จะออกมาส่งสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเปิดใจยอมรับความงามที่หลากหลายจนได้รับคำชื่นชมว่าเป็นราชินีแห่ง Body positivity แต่สถานะคนดังที่ทำให้ถูกสายตานับล้านจ้องมองและรับแรงกดดันจากการจับผิดและพิพากษาว่าไม่ดีพอ เธอก็ยอมรับว่า เมื่อพบว่าน้ำหนักตัวดีดขึ้นมากที่สุดเท่าที่เคยเป็น ก็ทำให้เธอจิตตกและน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่สามารถภาคภูมิใจตัวตนที่เป็นอยู่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายที่มาของปัญหานี้ว่า แม้จะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในเรื่อง body positivity อย่างลึกล้ำ แต่พวกเราได้ใช้ชีวิตที่ถูกแวดล้อมด้วยวัฒนธรรมต่อต้านและหวาดกลัวความอ้วนมานาน ความคิดที่ถูกปลูกฝังรากลึกก็ส่งผลให้ยากจะลบเลือนอคติต่อความอ้วนได้ แม้แต่ผู้ที่รณรงค์ให้สังคมยอมรับรูปร่างที่ไม่ผอม ก็อาจจะเกิดความรู้สึกเกลียดตัวเองเมื่อไม่ได้ผอมเพรียวตามความงามในอุดมคติของคนในสังคม
ขอยกประสบการณ์ตรงยามผู้เขียนตั้งครรภ์เมื่อเนิ่นนานมาแล้วมาเล่าสู่กันฟัง นั่นคือบทสนทนาไถ่ถามเรื่องเพศของลูกในท้อง แต่ผู้ตั้งคำถามกลับไม่รอฟังคำตอบแล้วสรุปเองว่า "หน้าแม่ขี้เหร่แบบนี้ ต้องได้ลูกผู้ชายแน่นอน!" แม้จะเข้าใจว่าความเชื่อเรื่องการทำนายเพศเด็กนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ก็อึ้งจนไม่อยากอธิบายให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า ตรวจโครโมโซมลูกเรียบร้อย เป็นเด็กผู้หญิง 100% คำพูดที่ไม่ใช่การจงใจจิกกัดจริงจังกลับฝังใจเรามาถึงปัจจุบัน เพราะในตอนนั้นมีเรื่องวิตกกังวลใจหลายอย่างและค่อนข้างเปราะบางกว่าปกติ จนรู้สึกหมดความมั่นใจ เพราะถึงแม้จะดูแลตัวเองเต็มที่แต่ก็ยังถูกทักว่าเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดูน่าเกลียดอยู่ดี แต่อีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อพบเพื่อนๆชาวต่างชาติในงาน baby shower ก็ได้รับคำชมว่ามีเป็นคุณแม่ที่ดูดีด้วย pregnancy glow มีท่าทางคล่องแคล่วเหมือนคนสุขภาพดี บางคนก็บอกว่า เลือกชุดคลุมท้องสวยสะดุดตา คำพูดชวนฟังเหล่านี้ได้สร้างกำลังใจก็เพิ่มพูนขึ้นมาและทำให้มองข้าม body shaming ที่บั่นทอนจิตใจ รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆที่เเคยพานพบ อย่าง "ทำไมปล่อยให้อ้วนขึ้นขนาดนี้" หรือ "ตอนลูกสาวพี่ท้องเค้าผิวดีมาก ไม่ดูหมองคล้ำเหมือนน้องเลยนะ" และทำให้เราหันมาเลือกรับแต่พลังงานด้านบวกแทน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปล่อยวางกับคำวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ไปได้ มิเช่นนั้นในโลกนี้คงไม่มีผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตใจด้วยอาการไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง (Body Dysmorphic Disorder หรือBDD) ....
แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถห้ามผู้คนให้แสดงความคิดเห็น แต่สิ่งสำคัญคือการแบ่งเส้นไม่ให้ล่วงล้ำทำลายความมั่นใจของคนอื่น หลักการพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแม้แต่น้อย หากไม่สามารถมองโลกในแง่บวกและเปิดใจต่อความงามที่อยู่นอกเหนือ beauty standard ได้ แต่การรักษามารยาทอันดีก็จะไม่ทำร้ายใคร เพียงแค่นึกถึงใจเขาใจเราขึ้นมาอีกนิด เปลี่ยนแปลงคำพูดที่โฟกัสรูปร่างอ้วนผอมสูงต่ำ มาเป็นให้กำลังใจสิ่งดีๆของกันและกัน หรืออย่างน้อยที่สุด หากไม่สามารถฝืนใจยกข้อดีของอีกฝ่ายมาพูดได้เลย ก็เก็บความคิดไว้กับตัว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาด้อยค่ากัน ยุคนี้ body shaming มัน out ไปแล้วจริงๆนะ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปล่อยวางกับคำวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ไปได้ มิเช่นนั้นในโลกนี้คงไม่มีผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตใจด้วยอาการไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง (Body Dysmorphic Disorder หรือBDD) ....
แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถห้ามผู้คนให้แสดงความคิดเห็น แต่สิ่งสำคัญคือการแบ่งเส้นไม่ให้ล่วงล้ำทำลายความมั่นใจของคนอื่น หลักการพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแม้แต่น้อย หากไม่สามารถมองโลกในแง่บวกและเปิดใจต่อความงามที่อยู่นอกเหนือ beauty standard ได้ แต่การรักษามารยาทอันดีก็จะไม่ทำร้ายใคร เพียงแค่นึกถึงใจเขาใจเราขึ้นมาอีกนิด เปลี่ยนแปลงคำพูดที่โฟกัสรูปร่างอ้วนผอมสูงต่ำ มาเป็นให้กำลังใจสิ่งดีๆของกันและกัน หรืออย่างน้อยที่สุด หากไม่สามารถฝืนใจยกข้อดีของอีกฝ่ายมาพูดได้เลย ก็เก็บความคิดไว้กับตัว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาด้อยค่ากัน ยุคนี้ body shaming มัน out ไปแล้วจริงๆนะ