อดีตที่หวนกลับมาทำร้ายคนดัง
candy 32 14
คนดังที่ก่อความผิดทำร้ายผู้อื่นในอดีตสมควรจะได้รับโอกาสให้สร้างชื่อเสียงเป็นแบบอย่างให้กับผู้คนในสังคม หรือว่าพวกเราควรจะนำเรื่องความผิดของพวกเค้ามาตอกย้ำไม่ให้ลืมเลือน?
Hate crime จากน้ำมือ Mark Wahlberg
เขาคือหนึ่งในพระเอก action ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในที่โลดแล่นในวงการ Hollywood มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แต่ความนิยมในหมู่แฟนๆไม่อาจจะลบเลือนอดีตสุด dark ของ Mark Wahlberg ไปได้ ในขณะที่บางคนอาจจะเคยผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นเลือดร้อน ก่อปัญหาให้คนรอบข้างระอาใจ แต่การใช้ความรุนแรงจากน้ำมือพระเอกดังนั้นรุนแรงในระดับ hate crime! แม้ว่าเขาจะประกาศยืนยันว่าได้ก้าวออกมาจากความมืดมนสมัยวัยรุ่นจนกลายเป็นคนละคนไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นตราบาปที่ฝังลึก ยังมีผู้คนที่เชื่อว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดีงามและการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือสังคม เขาได้ซ่อนตัวตนที่เหยียดเชื้อชาติไว้ และไม่สมควรจะได้รับคำยกย่องเชิดชูในฐานะบุคคลตัวอย่าง
ด้วยวัยเพียง 13 ปี Mark ก็มีโอกาสเพื่อก้าวสู่ความเป็นดาวเมื่อได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกดั้งเดิมของ New Kids on the Block ซึ่งภายหลังกลายมาเป็น boy band โด่งดัง ซึ่งในขณะนั้น Donnie พี่ชายของเขาก็อยู่ในวงด้วย แต่เพียงไม่กี่เดือน เขาก็ไม่สนใจเข้าร่วมเตรียมตัวเพื่อเดบิวท์ พี่ชายของเขาระบุว่า Mark หันไปมั่วสุมกับเพื่อน ถึงขนาดริอ่านจะขโมยรถ พฤติกรรมเจ้าปัญหาเหล่านี้สวนทางกับภาพลักษณ์ขาวสะอาดของ boy band ไม่ต้องสงสัยว่าเขาต้องถอนตัวออกไป
Mark ซึ่งยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 15 ตั้งตัวเป็นอันธพาลในย่านที่อยู่อาศัย เป้าหมายของเขาคือเด็กๆผิวดำที่อ่อนแอกว่า เขาและเพื่อนๆจะไล่เหยื่อให้จนมุมและร้องด่าด้วย racial slur (ฆ่าไอ้มืดซะ) และปาหินใส่เด็กกลุ่มนั้น วันต่อมาก็รวมกลุ่มแบบหมาหมู่กลั่นแกล้งคุกคามเด็กๆผิวดำอีก หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาล่วงละเมิดกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ อาจจะเป็นเพราะว่าเขายังเป็นผู้เยาว์ จึงมีการเจรจาต่อรองจนไม่ถูกดำเนินคดี
แต่ Mark ไม่ได้ใช้บทเรียนครั้งนั้นปรับปรุงตัวเอง เมื่ออายุ 16 ปีก็ได้ก่อเหตุซ้ำ ในระหว่างที่พยายามขโมยเบียร์จากร้านขายของชำ เขาลงมือทำร้ายร่างกายชายอเมริกันเชื้อสายเวียดนามด้วยการหวดท่อนไม้ยาวหลายฟุตใส่จนเหยื่อสลบไสล ในวันเดียวกัน เขาพุ่งไปชกหน้าชายชาวเวียดนามอีกคน แม้แต่ตอนที่ถูกตำรวจจับก็ยังไม่หยุดพ่นคำหยาบเหยียดผิวชาวเอเชียน แม้ว่าเขาจะพยายามแก้ต่างว่า เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจาการใช้ยา PCP แต่ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย ผลการตัดสินความผิดคือ โทษจำคุกสองปี (ถูกคุมขังจริงๆเพียง 45 วัน)
คงยากจะโต้แย้งว่า สิ่งที่เกิดไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังต่อคนผิวสี
ทั้งๆที่สร้างชื่อโด่งดังจากผลงานดนตรีในยุค 90s เขาก็ยังคงความบ้าระห่ำไม่แตกต่างจากตอนเป็นวัยทีน Mark ขัดแย้งกับเพื่อนบ้านจนทำร้ายร่างกายคู่กรณีจนกรามหัก แต่ตกลงชดเชยกันได้โดยที่ไม่ถูกส่งฟ้องคดีอาญา หากย้อนมองถึงบทบาทในหนัง Fear ปี 1996 ที่เขาจับคู่แสดงนำกับ Reese Witherspoon ในบทบาทแฟนหนุ่มสุด abusive ก็คงพูดได้ว่า หากเป็นยุคปัจจุบัน คงยากที่จะได้เห็นนักสร้างหนังจะเลือกพระเอกที่มีประวัติทำร้ายร่างกายหลายครั้งให้มารับบทผู้ชายโรคจิตที่หึงโหดจนลงมือฆาตกรรมคนรอบตัวหญิงคนรัก สังคมคงประนามกันอื้ออึงเลยทีเดียว
ผู้คนไม่ลืมเลือนแม้ผ่านไปเกือบสามสิบกว่าปีและเหยื่อคนหนึ่งให้อภัยแล้ว
หลายปีหลังจากหันมาสร้างชื่อในวงการ Hollywood Mark ได้ล้างภาพความรุนแรงออกไป และประสบความสำเร็จเข้าสู่ทำเนียบพระเอกค่าตัวแพง แต่เมื่อเขาพยายามยื่นคำร้องให้ทางการลบประวัติทางอาชญากรรมเมื่อปี 1988 กลุ่มปกป้องสิทธิชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียนและอีกหลายคนก็ออกมาต่อต้านสุดตัว หนึ่งในกลุ่มเหยื่อผิวดำที่ถูก Mark และกลุ่มเพื่อนผิวขาวคุกคามและปาหินใส่ได้เปิดใจว่า
"ฉันไม่คิดว่าเขาควรจะได้รับการยกเว้นโทษ ฉันไม่สนเลยว่าเขาจะเป็นคนดังขนาดไหน มันไม่ทำให้เขาได้รับการยกเว้น ถ้าคุณเป็นพวกเหยียดผิว ก็จะเหยียดผิวไปตลอด เรื่องที่เขาพยายามจะลบการกระทำของตัวเองออกไปมันเป็นเรื่องที่ผิดถนัด"
แต่ Johnny Trinh หนึ่งในเหยื่อชาวเวียดนามที่ถูก Mark ชกเบ้าตา ที่ไม่เคยเปิดเผยถึงความรู้สึกสื่อได้ตัดสินใจบอกเล่าถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตว่า
"จากข่าวลือว่า Mark Wahlberg ทำร้ายผมจนตาข้างหนึ่งบอด มันไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือเขา เขาทำร้ายร่างกายผมก็จริง แต่ดวงตาของผมเสียไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว"
"เขายังอายุน้อยและบ้าบิ่น แต่ตอนนี้ผมได้ให้อภัยเขา ทุกคนสมควรจะได้รับโอกาสที่สอง"
"ผมอยากเห็นเขาได้รับการยกเว้นโทษในอดีต เขาไม่ควรต้องถูกผูกติดกับอาชญากรรมอีกต่อไป"
"เขาได้ชดใช้ความผิดด้วยการถูกคุมขังในคุกไปแล้ว ผมไม่ได้จะบอกว่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยที่ถูกเขาต่อยหน้า แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว เขาได้เติบโตขึ้นกว่าเดิม ผมแน่ใจว่าเขาได้สร้างครอบครัวเป็นของตัวเองและเป็นผู้ชายที่รับผิดชอบ"
ถึงเหยื่อคนหนึ่งจะยืนยันว่าไม่จองเวร แต่ดูเหมือนว่า Mark จะสลัดความมัวหมองจากการกระทำในวัยรุ่นไปไม่ได้ เขาล้มเลิกการยื่นขอลบประวัติทางอาชญากรรมไปในที่สุด
ควรให้โอกาสแก้ไขตัวเอง เพราะอดีตควรเป็นอดีต? หรือตอกย้ำให้อับอายตลอดชีวิต?
เมื่อ Mark ได้ประกาศเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ George Floyd และเข้าร่วมความเคลื่อนไหว Black Lives Matter ชาวเน็ทก็ยกเอาพฤติกรรมในอดีตที่เขาเคยคุกคามคนผิวดำมาเยาะเย้ยว่า เขาเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ไม่ต่างจากภาพการประกาศรางวัล SAG Awards เมื่อต้นปีนี้ เมื่อ Mark ได้แสดงความยินดีกับทีมนักแสดง Everything Everywhere All at Once ที่คว้ารางวัลยิ่งใหญ่ ก็ทำให้โลกออนไลน์ลุกเป็นไฟ
หลายคนแสดงความโกรธเคืองผู้จัดงานที่คัดเลือกพระเอกดังผู้นี้มาประกาศรางวัล ทั้งๆที่รู้ดีว่า กลุ่มนักแสดงชาวเอเชียนจากหนังดังมีโอกาสอย่างสูงที่จะได้รับรางวัล แต่กลับดึงตัวผู้ที่มีประวัติอาชญากรรมทำร้ายชาวเอเชียนมาทำหน้าที่นี้! ชาวเน็ทบางคนโจมตีว่า นี่ไม่ต่างจากการตบหน้าชาวเอเชียนที่อาศัยในอเมริกา พวกเค้าต้องเผชิญกับความหวาดกลัวที่ต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยงต่อ hate crime มีผู้ต้องสังเวยชีวิตและทรัพย์สิน เห็นได้จากข่าวมาแล้วหลายครั้ง บ้างก็แดกดันเขาว่า กล้าดียังไงจึงทำท่ายิ้มแย้มแสดงความยินดีกับนักแสดงชาวเอเชียน ทั้งๆที่มีประวัติเหยียดผิวที่รุนแรงขนาดนั้น และยังมีคนที่ตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากความพยายามของทีม PR ของ Mark ที่ต้องการจะชักจูงใจผู้คนให้ยอมรับว่า เขาไม่ได้มีพฤติกรรมเหยียดผิวเหมือนในอดีต แต่มันกลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะผู้คนยิ่งขุดคุ้ยเอาเรื่องไม่ดีของเขามาประจาน
หลายคนแสดงความโกรธเคืองผู้จัดงานที่คัดเลือกพระเอกดังผู้นี้มาประกาศรางวัล ทั้งๆที่รู้ดีว่า กลุ่มนักแสดงชาวเอเชียนจากหนังดังมีโอกาสอย่างสูงที่จะได้รับรางวัล แต่กลับดึงตัวผู้ที่มีประวัติอาชญากรรมทำร้ายชาวเอเชียนมาทำหน้าที่นี้! ชาวเน็ทบางคนโจมตีว่า นี่ไม่ต่างจากการตบหน้าชาวเอเชียนที่อาศัยในอเมริกา พวกเค้าต้องเผชิญกับความหวาดกลัวที่ต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยงต่อ hate crime มีผู้ต้องสังเวยชีวิตและทรัพย์สิน เห็นได้จากข่าวมาแล้วหลายครั้ง บ้างก็แดกดันเขาว่า กล้าดียังไงจึงทำท่ายิ้มแย้มแสดงความยินดีกับนักแสดงชาวเอเชียน ทั้งๆที่มีประวัติเหยียดผิวที่รุนแรงขนาดนั้น และยังมีคนที่ตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากความพยายามของทีม PR ของ Mark ที่ต้องการจะชักจูงใจผู้คนให้ยอมรับว่า เขาไม่ได้มีพฤติกรรมเหยียดผิวเหมือนในอดีต แต่มันกลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะผู้คนยิ่งขุดคุ้ยเอาเรื่องไม่ดีของเขามาประจาน
Mark เคยแสดงความรู้สึกผิดต่อความรุนแรงที่เขาได้ก่อไว้ในอดีตมาแล้วหลายครั้ง เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเยาวชน ด้วยจุดมุ่งหมายในการแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เขาสามารถพลิกชีวิตให้กลายเป็นคนใหม่ที่ห่างไกลจากเด็กหนุ่มที่ก่อคดีความรุนแรงในปี 1988 และร่วมสนับสนุนเด็กๆเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง หลังจากเกิดเหตุมาแล้วหลายปี เขาก็ตัดสินใจขอเข้าพบหนึ่งในเหยื่อชาวเวียดนามเพื่อขอโทษโดยตรง แต่บางคนยังมองว่า นี่ยังไม่พอต่อการพิสูจน์ความจริงใจ
Giles Li ผู้อำนวยการบริหาร Boston Chinatown Neighborhood Center ได้แนะนำว่า
"ผมเชื่อว่าคนเราต่างก็สมควรจะได้รับโอกาสในการชดเชยความผิดในอดีต และหากคุณ Wahlberg ต้องการแบบนั้น ก้าวแรกที่เขาควรทำคือติดต่อบรรดาเหยื่อที่เขาเคยทำร้ายและกลุ่มชุมชนที่เขาได้สร้างความเสียหาย นี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้เป็นแบบอย่างต่อวงการเมนสตรีมในอเมริกา เพื่อจะใช้ประสบการณ์ที่เคยสร้างปัญหาและมีพฤติกรรมเหยียดหยามทางเชื้อชาติและอธิบายให้คนอื่นได้รับรู้"
Giles Li ผู้อำนวยการบริหาร Boston Chinatown Neighborhood Center ได้แนะนำว่า
"ผมเชื่อว่าคนเราต่างก็สมควรจะได้รับโอกาสในการชดเชยความผิดในอดีต และหากคุณ Wahlberg ต้องการแบบนั้น ก้าวแรกที่เขาควรทำคือติดต่อบรรดาเหยื่อที่เขาเคยทำร้ายและกลุ่มชุมชนที่เขาได้สร้างความเสียหาย นี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้เป็นแบบอย่างต่อวงการเมนสตรีมในอเมริกา เพื่อจะใช้ประสบการณ์ที่เคยสร้างปัญหาและมีพฤติกรรมเหยียดหยามทางเชื้อชาติและอธิบายให้คนอื่นได้รับรู้"
เทรนด์การเปิดโปงพฤติกรรม bully ของคนดังเกาหลี มีทั้งเรื่องจริง และการใส่ร้าย
นับตั้งแต่ปี 2021 ที่มีผู้เปิดโปงพฤติกรรม bully ของนักวอลเลย์ฝาแฝดทีมชาติเกาหลี ก็เกิดเป็นคลื่นความความเคลื่อนไหวสำคัญที่ได้พลิกโฉมวงการบันเทิง แม้จะเป็นเพียงคำพูดที่ปราศจากหลักฐานจากใครบางคนในโลกออนไลน์ ขอเพียงแต่กระแสสังคมเทความเชื่อถือไปฝั่งผู้ตั้งข้อกล่าวหา โอกาสที่เส้นทางในอาชีพการงานวงการบันเทิงจะถึงจุดจบก็มีอยู่สูงมาก จนบางครั้งทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยว่า หากมีผู้ที่มีความแค้นเป็นส่วนตัวหรือผูัไม่ประสงค์ดี เพียงข้อกล่าวหาลอยๆ ก็สามารถทำลายอนาคตของศิลปินดาราได้ย่อยยับ หรือหากต้นสังกัดพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการประกาศสืบหาข้อเท็จจริง และพิสูจน์ได้ว่าถูกใส่ร้าย ก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่เผยแพร่คำกล่าวหาจนคนดังเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ถึงกระนั้น พวกเค้าก็ยังหนีการจับผิดจากชาวเน็ทไปไม่พ้น ถึงขณะนี้ มีคนดังจำใจต้องพักงานและออกจากวงการไปหลายคน ทิ้งไว้แต่เสียงโต้เถียงว่า พวกเค้าคือเหยื่อที่ถูกทำร้ายด้วย fake news หรือผู้กระทำความผิดที่ไม่สมควรมีที่ยืนในสังคมกันแน่??
การัม แห่ง LE SSERAFIM: ถูก user กล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงกับเพื่อนจนได้ถูกคณะกรรมการต่อต้านความรุนแรงในโรงเรียนลงโทษในระดับ 5 แม้จะได้รับการปกป้องจากค่ายในระยะหนึ่ง และแฟนๆก็ยังเชื่อว่า หลักฐานที่ถูกปล่อยมาโจมตีเธอเป็นของปลอม เธอก็ต้องงดกิจกรรมร่วมกับวงทั้งๆที่กำลังแจ้งเกิด เธอได้ออกมาชี้แจงว่า มีเรื่องของการทะเลาะเบาะแว้งกันจริงๆ เพราะเธอต้องการปกป้องเพื่อนที่ถูกถ่ายภาพในขณะใส่ชุดชั้นในและเอาปล่อยใน internet แต่ยืนยันว่าไม่เคย bully ใครหรือดื่มเหล้าตามที่ถูกกล่าวหา แต่กระแสโจมตีก็รุนแรงไม่หยุดหย่อน จนต้องยุติสัญญากับ HYBE ในเวลาต่อมา
ซูจิน แห่ง (G)I-DLE: คล้ายกับกรณีการัม เธอยอมรับว่ามีปากเสียงกันกับผู้ที่อ้างว่าเป็นเหยื่อ bully แต่ไม่เคยทำร้ายร่างกายหรือขู่กรรโชกเอาเงินจากใคร และพยายามยื่นฟ้องคู่กรณี แต่เมื่ออดีตนักแสดงเด็กกล่าวหาว่าซูจินใช้คำพูดทำร้ายจิตใจสมัยที่เรียนชั้นเดียวกัน ก็ยิ่งสร้างเสียงถกเถียงในโลกออนไลน์ว่า ใครกันแน่ที่พูดจริง?? ลงท้ายเธอก็ไม่ได้ไปต่อกับวงและ Cube Entertainment
Lia แห่ง ITZY: ถูกอดีตเพื่อนสมัยเรียนมัธยมกล่าวหาเรื่อง cyberbully และยืมเงินแล้วไม่ยอมคืน ค่าย JYP ออกมาปฏิเสธแทนอย่างหนักแน่น และฟ้องหมิ่นประมาทกลับ แต่เพราะขาดหลักฐานจึงถูกยกฟ้องไป แม้จะต้องเผชิญกับความกดดันจากเสียงวิจารณ์ในแง่ลบ แต่เธอยังรักษาสถานะไอดอลชื่อดังไว้ได้ แตกต่างอีกสองคนด้านบน
นี่ยังเป็นคนดังเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาเรื่อง bully และแม้ว่าในภายหลังจะมีการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องเท็จ แต่ก็ระหว่างที่สืบสวนหาความจริง ก็ต้องถูกพักงาน และถูกมองด้วยสายตาอันคลางแคลงใจ หรือถูกกล่าวหาต่อว่า เคลียร์ตัวเองได้เพราะค่ายใช้อิทธิพลเพื่ออำพรางความจริง
ซูจิน แห่ง (G)I-DLE: คล้ายกับกรณีการัม เธอยอมรับว่ามีปากเสียงกันกับผู้ที่อ้างว่าเป็นเหยื่อ bully แต่ไม่เคยทำร้ายร่างกายหรือขู่กรรโชกเอาเงินจากใคร และพยายามยื่นฟ้องคู่กรณี แต่เมื่ออดีตนักแสดงเด็กกล่าวหาว่าซูจินใช้คำพูดทำร้ายจิตใจสมัยที่เรียนชั้นเดียวกัน ก็ยิ่งสร้างเสียงถกเถียงในโลกออนไลน์ว่า ใครกันแน่ที่พูดจริง?? ลงท้ายเธอก็ไม่ได้ไปต่อกับวงและ Cube Entertainment
Lia แห่ง ITZY: ถูกอดีตเพื่อนสมัยเรียนมัธยมกล่าวหาเรื่อง cyberbully และยืมเงินแล้วไม่ยอมคืน ค่าย JYP ออกมาปฏิเสธแทนอย่างหนักแน่น และฟ้องหมิ่นประมาทกลับ แต่เพราะขาดหลักฐานจึงถูกยกฟ้องไป แม้จะต้องเผชิญกับความกดดันจากเสียงวิจารณ์ในแง่ลบ แต่เธอยังรักษาสถานะไอดอลชื่อดังไว้ได้ แตกต่างอีกสองคนด้านบน
นี่ยังเป็นคนดังเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาเรื่อง bully และแม้ว่าในภายหลังจะมีการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องเท็จ แต่ก็ระหว่างที่สืบสวนหาความจริง ก็ต้องถูกพักงาน และถูกมองด้วยสายตาอันคลางแคลงใจ หรือถูกกล่าวหาต่อว่า เคลียร์ตัวเองได้เพราะค่ายใช้อิทธิพลเพื่ออำพรางความจริง
Glory ในชีวิตจริงจาก scandal รายการประกวดร้องเพลงชื่อดังของเกาหลี
สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกหลักฐานมัดตัวจนต้องขอโทษเหยื่อและสังคม เป็นไปได้ไหมว่า การถูกเปิดโปงจะเหมือนกับการตอกตะปูฝาโลงปิดฉากเส้นทางสู่ความเป็นดาวที่รุ่งโรจน์อย่างถาวร?
ไม่นานมานี้ก็มีเคสที่หลายคนวิจารณ์ว่า มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวในซีรีสแก้แค้น Glory แม้จะไม่ได้เกิดกับศิลปินระดับ superstar แต่ก็เป็นเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ตีแผ่สังคมเกาหลีได้จนน่าตกตะลึง
ไม่นานมานี้ก็มีเคสที่หลายคนวิจารณ์ว่า มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวในซีรีสแก้แค้น Glory แม้จะไม่ได้เกิดกับศิลปินระดับ superstar แต่ก็เป็นเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ตีแผ่สังคมเกาหลีได้จนน่าตกตะลึง
ฮวัง ยองอุง ตัวเก็งผู้ชนะรายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง Fire Trot ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงสมชื่อรายการ หลังจมีอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนออกมาเปิดเผยในโลกออนไลน์ว่า เขาตั้งตัวเป็นอันธพาลตามคุกคามทำร้ายเพื่อนรักเรียนที่อ่อนแอกว่า และยัง bully นักเรียนออทิสติก เธอรู้สึกย่ำแย่ที่เห็นเขามีชื่อเสียงและกำลังจะคว้ารางวัลเงินก้อนใหญ่จากรายการ และมี FC คอยสนับสนุน และเปรียบเทียบว่า เขามีความคล้ายคลึงกับ ซน มย็องโอ จอม bully ที่ก่อความรุนแรงเพื่อให้เพื่อนในแกงค์ยอมรับ
ใช้ความรุนแรงในโรงเรียนและทำร้ายร่างกายแฟนสาว
นอกจากอดีตเพื่อนในโรงเรียนที่ยืนยันว่า ฮวัง ยองอุงและกลุ่มเพื่อนจะเลือกคุกคามนักเรียนตัวเล็กๆหรือคนที่ดูอ่อนแอ แม้กระทั่งอดีตเพื่อนของเขาก็ออกมาเปิดเผยว่า ต้องช็อคที่ถูกฮวัง ยองอุงเตะต่อยจนบาดเจ็บในงานเลี้ยงวันเกิด ทั้งๆที่คิดว่าเป็นเพื่อนกัน เมื่อตำรวจนำตัวไปสอบสวน อีกฝ่ายก็แถว่าเป็นการทะเลาะวิวาทจากสองฝ่าย ทั้งๆที่เขาถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องราวจบที่เขาขอมรับเงินสามล้านวอนเพื่อชดเชยค่ารักษาพยาบาล ทุกวันนี้ฟันของเขาก็ยังเกไปด้านหนึ่ง และยังเกิดอาการเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่เคยได้รับคำขอโทษเลย
ยังมีเหยื่อคนอื่นๆออกมาเผยประสบการณ์ว่าถูกเขาทำร้ายร่างกาย โดยเฉพาะอดีตสาวคนรักที่ยืนยันว่า ถูกทุบตีอย่างหนัก แม้กระทั่งในที่สาธารณะก็ไม่ยกเว้น ถึงขั้นที่คนที่เดินผ่านต้องมาช่วยเหลือไม่ให้เจ็บตัวหนักไปกว่านั้น ถูกทำร้ายเธอได้เผยภาพรอยสักคู่เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ว่าเคยคบกันจริงๆ และอดีตคนรักอีกคนเผยว่า เมื่อ 11 ปีก่อน ฮวัง ยองอุงใช้แก้วโซจูปาใส่เธอ ก่อนหน้านี้ โพรดิวเซอร์รายการประกวดร้องเพลงกับเอเจนซี่ของเขาพยายามติดต่อเพื่อติดสินบนเธอไม่ให้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมย่ำแย่ของเขา
หลายคนเชื่อว่า รายการพยายามปิดข่าวให้มากที่สุด เพราะฮวัง ยองอุงคือผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชม ยอดตั๋วคอนเสิร์ตทั่วประเทศที่จะเปิดแสดงที่โซลจำนวน 18,000 ใบก็ขายจนหมดแล้ว หากเขาต้องถอนตัวออกไปเพราะ bully scandal ก็จะเสี่ยงกับความเสียหาย
เรียกร้องขอโอกาสเพื่อจะได้ร้องเพลงต่อไป และสัญญาจะขอโทษเหยื่อต่อหน้าทุกคน
คงเดากันออกว่า เมื่อมีพยานออกมาแฉหลายคน (และน่าจะมีคนที่เก็บหลักฐานไว้) ฮวัง ยองอุง ก็ไม่น่าจะหาทางลงอื่นได้ เขาจึงประกาศขอโทษขอโพยเหยื่อที่ต้องเกิดความทุกข์ทรมานในจิตใจ และแสดงเจตนาจะติดต่อเหยื่อเป็นรายตัวเพื่อจะได้รับการให้อภัย เขาขอร้องให้สังคมให้โอกาสเพื่อจะได้ร้องเพลงต่อไปและปรารถนาจะมีเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการปรับปรุงตัวเอง ฟังแล้วไม่แตกต่างจากการแก้ปัญหาของตัวละครในซีรีส์เกาหลีเลย
"ในช่วงวัยยี่สิบผมเคยทำงานในโรงงานอยู่หกปีเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์จริงใจ ผมปรารถนาจะทำฝันในวัยเด็กให้เป็นจริงด้วยการเข้าร่วมรายการ Burning Trotman และต้องการจะเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม โปรดให้โอกาสผมที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีกว่านี้ด้วยครับ"
ในขณะเดียวกัน ตัวอดีตแฟนสาวที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ถูกทำร้ายร่างกายก็ยังรู้สึกหวาดกลัว แต่ประกาศว่าจะไม่ให้อภัยเขาเป็นอันขาด!
แต่เมื่อรายการ Fire Trot ปล่อยให้เขากลับมาเข้าร่วมประกวดต่อ ทั้งๆที่เขาถูกตั้งข้อกล่าวหารุนแรง และยังมีรายงานว่า เขาถูกปรับเป็นเงินห้าแสนวอนจากข้อหาทำร้ายร่างกายในปี 2016 ชาวเน็ทต่างโกรธเกรี้ยว และเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากรายการทันที พวกเค้าไม่เชื่อว่า ชายหนุ่มที่ถูกตั้งข้อหาเมื่อ 7 ปีก่อน และเพิ่งจะถูกบีบให้ยอมรับเรื่องการใช้ความรุนแรงกับเพื่อนนักเรียนมัธยมและสาวคนรักเก่า จะกลับตัวได้ทันทีที่ถูกแฉ
และในที่สุด รายการดังก็ประกาศว่า เขาได้ถอนตัวออกไปอย่างสมัครใจ
"ในช่วงวัยยี่สิบผมเคยทำงานในโรงงานอยู่หกปีเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์จริงใจ ผมปรารถนาจะทำฝันในวัยเด็กให้เป็นจริงด้วยการเข้าร่วมรายการ Burning Trotman และต้องการจะเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม โปรดให้โอกาสผมที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีกว่านี้ด้วยครับ"
ในขณะเดียวกัน ตัวอดีตแฟนสาวที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ถูกทำร้ายร่างกายก็ยังรู้สึกหวาดกลัว แต่ประกาศว่าจะไม่ให้อภัยเขาเป็นอันขาด!
แต่เมื่อรายการ Fire Trot ปล่อยให้เขากลับมาเข้าร่วมประกวดต่อ ทั้งๆที่เขาถูกตั้งข้อกล่าวหารุนแรง และยังมีรายงานว่า เขาถูกปรับเป็นเงินห้าแสนวอนจากข้อหาทำร้ายร่างกายในปี 2016 ชาวเน็ทต่างโกรธเกรี้ยว และเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากรายการทันที พวกเค้าไม่เชื่อว่า ชายหนุ่มที่ถูกตั้งข้อหาเมื่อ 7 ปีก่อน และเพิ่งจะถูกบีบให้ยอมรับเรื่องการใช้ความรุนแรงกับเพื่อนนักเรียนมัธยมและสาวคนรักเก่า จะกลับตัวได้ทันทีที่ถูกแฉ
และในที่สุด รายการดังก็ประกาศว่า เขาได้ถอนตัวออกไปอย่างสมัครใจ
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ทั้งๆที่ฮวัง ยองอุงยอมรับเรื่องการทำร้ายคนอื่นแล้ว FC ของเขายังออกตัวปกป้องเต็มที่ ทั้งขู่รายการว่า จะยกเลิกการจองตั๋วชมคอนเสิร์ตทั้งหมด และวางแผนจะจัด fan meet กันเอง พวกเค้าเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทอดการประกวดเพื่อประท้วงที่บีบให้นักร้องขวัญใจต้องออกจากรายการ และชี้ว่าฮวัง ยองอุงเป็นเหยื่อของ fake news และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถของเขาในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องในอดีต! เมื่อ MBC ได้ปล่อยรายการสืบสวนข่าวการใช้ความรุนแรงของฮวัง ยองอุง FC ก็รุมประนามพิธีกรและช่องอย่างโกรธแค้น
ส่วนตัวนักร้องผู้อื้อฉาวก็แสดงความซาบซึ้งในแรงสนับสนุน และยังหวังว่า ตัวเองจะได้ส่งงานเพลงใหม่ออกมา
แม้หลายคนมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า เราควรให้โอกาสคนที่ใช้รุนแรงทำร้ายคนอ่อนแอมาตั้งแต่ยังอายุน้อยๆได้กลับตัว เพื่อสนับสนุนให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่คิดกลับไปใช้ชีวิตที่เป็นภัยต่อคนอื่น แต่คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่มองต่างไปจากนั้น การรับบำบัดเพื่อควบคุมโทสะและลดพฤติกรรม abusive น่าจะเป็นหนทางที่เห็นผลได้มากกว่าการให้คำสัญญาปากเปล่า คำถามก็คือ เพียงกล่าวคำขอโทษต่อหน้าเหยื่อที่ถูกเคยทำร้าย จนเกิดความสบายใจอยู่ฝ่ายเดียวว่า ความแค้นเคืองที่ผ่านมาก็หายกันไป ไม่ต้องจองเวรกันอีก แล้วก็ move on จากอดีตไปสร้างชื่อเสียงโด่งดังมีคนมากมายรุมรัก
แล้วใครกันจะเข้ามารับผิดชอบชีวิตเหยื่อที่ต้องเจ็บปวดฝังใจมาเนิ่นนาน?