ย้อนรอยวิสัยทัศน์ของ Karl Lagerfeld ผ่าน 'Karl's Girls' muse คนโปรด
candy 29 11'Karl Lagerfeld: A Line of Beauty' theme ของ MET Gala ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่นานี้ ได้จุดประกาย debate ในสังคมถึงความเหมาะสมในการเชิดชูดีไซน์เนอร์ผู้เป็นตำนานแห่งโลกแฟชั่น luxury นั่นเป็นเพราะว่า นอกจากจะสร้างชื่อเลื่องลือจากผลงานการตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงาม การใช้วาจาฟาดฟันบุคคลที่เขาไม่ชอบใจโดยไม่แคร์ว่าจะเสียภาพลักษณ์ คือหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้เขาเป็น public figure ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เสมอมา แม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ทั้งคอมเมนท์ fat-shaming body-shaming การแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน เหยื่อจากความเคลื่อนไหว MeToo นักสิทธิสตรี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเคยยอมรับเรื่องนิสัยปากจัดที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว แต่มีเพียงน้อยครั้งที่จะได้เห็นเขาเอ่ยปากขอโทษ หรือแสดงออกว่ารู้สึกผิดที่สร้างความระคายใจให้กับคนอื่น สื่อหลายเจ้าจึงได้ขุดคอมเเมนท์ที่ฟังดู problematic ของเขามาอธิบายดราม่าความไม่พอใจของผู้คนจาก theme ในปีล่าสุด เพราะพวกเค้าเชื่อว่า การเชิดชูดีไซน์เนอร์ผู้เป็นตำนานแห่งโลกแฟชั่น luxury ผู้นี้ ไม่ต่างจากการยกย่องพฤติกรรม bully
แต่ยังมีผู้ที่เห็นต่างว่า คำพูดที่สร้าง controversy ของ Lagerfeld ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถเลิศล้ำของเขา และให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ทางการสร้างผลงานศิลปะซึ่งทำให้เขาถูกเรียกขานว่า Kaiser Karl' และ 'Fashion Meister' รวมถึงกลุ่มสาวงามที่เขาดึงตัวมาเป็น muse หรือที่ใครๆต่างเรียกพวกเธอว่า Karl's Girls (เปรียบได้ว่าเป็นลูกรักของ Karl) ทั้งนางแบบที่เขาจับมาปั้นจนประสบความสำเร็จได้ชื่อว่าเป็น supermodel และคนดังระดับ A List ที่ได้รับข้อเสนอให้ทำหน้าที่โพรโมทแบรนด์
มาติดตามวิสัยทัศน์ของ Karl Lagerfeld ผ่าน Karl's Girls กับเราได้เลยค่ะ
Inès de La Fressange
นางแบบสาวคนแรกที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อเซ็นสัญญาร่วมงานกับ Chanel
ก่อนที่ Lagerfeld ก้าวเข้ามารับหน้าที่ creative director แห่ง Chanel เขาได้ค้นพบเสน่ห์แบบ "La Parisienne' ของ Inès de La Fressange นางแบบสาวฝรั่งเศสสายเลือดขุนนางเก่ามาตั้งแต่ที่เขายังกุมบังเหียนการดีไซน์ให้กับ Chloé และจุดประกายไอเดียสร้างพันธมิตรทางแฟชั่นด้วยการปั้นนางแบบวัย 25 ให้โด่งดังไปกับแบรนด์ในฐานะ The Face Of Chanel ซึ่งช่วงเวลาสี่สิบปีก่อนนั้น แนวคิดการแต่งตั้ง brand ambassador ยังเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ หลายฝ่ายยกให้เธอเป็นนางแบบคนแรกที่ตกลงเซ็นต์สัญญาเพื่อร่วมงานกับ luxury brand หรือเป็น brand ambassador รุ่น original นั่นเอง
การตัดสินร่วมงานกับ Lagerfeld ด้วยการทำข้อสัญญาผูกขาดว่าจะต้องนำเสนอแฟชั่นชั้นสูงภายใต้ชื่อ Chanel ไม่มี luxury brand อื่นมาเกี่ยวข้องนั้นได้สร้างความกังวลใจให้กับคนรอบตัว Inès ในขณะนั้น เธอมีอายุ 25 ปี ประสบการณ์ในอุตสาหกรรมแฟชั่นชั้นสูง 8 ปี และชื่อเสียงของสาวสุดเริ่ดในสังคมผู้ดีทำให้มีผู้มองว่า เธอมีศักยภาพสูงเกินจะร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ดังหลายคน ไม่ควรจำกัดตัวเองไว้ที่ Chanel ที่ถูกมองว่า เป็น fashion house อยู่ในภาวะจวนจะเจ๊ง แต่เธอกลับมุ่งมั่นที่จะรับความเสี่ยง
คนเหล่านั้นไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า Lagerfeld จะปลุกชีวิตให้กับ Chanel ให้ประสบความสำเร็จระดับนานาชาติจนพุ่งทะยานไปสู่เส้นทางทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น และการสร้างพันธมิตรครั้งนี้ได้กลายมาเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ Inès ก้าวสู่สถานะตำนานแฟชั่นฝรั่งเศสตลอดกาล
ช่วงเวลาเริ่มแรก Lagerfeld ได้ชี้ให้ทุกคนได้เห็นถึงความโดดเด่นของเธอซึ่งทำให้นึกถึง Coco Chanel และปลาบปลื้มเธอมากถึงขนาดยอมรับว่า ได้นำความคิดเห็นของเธอเพื่อปรับใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน เธอได้ให้นิยามตัวตนของดีไซน์เนอร์ผู้ล่วงลับไว้ว่า
"เขาคือคนที่ชื่นชอบการเล่นมุกตลกขบขันเสมอ ถึงแม้จะเลิกยิ้มต่อหน้ากล้องไปแล้ว เขาไม่เคยพอใจกับผลงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่สักครั้ง แม้ว่าจะมีความภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นมา เขาทำงานหนักมาก แต่ไม่ต้องการจะเปิดเผยให้ใครรู้ เขามีความขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นก็เป็นลักษณะเดียวกันกับเหล่าผู้มีความสามารถชั้นเลิศอีกหลายคนใช่มั้ยล่ะ?"
ร่วมงานกันมาราวๆ 6 ปีมิตรภาพของทั้งสองก็เกิดรอยร้าว หลังจากที่เธอไม่ได้กรากฏตัวใน Chanel show เหมือนที่เคย สื่อต่างวิเคราะห์ว่า ความไม่ลงรอยนี้เกิดขึ้นเพราะ Inès ดึงดูดความสนใจจากวงการแฟชั่นชั้นสูงอย่างล้นหลาม และเมื่อเธอได้รับคัดเลือกถ่ายทอดบทบาท Marianne สัญลักษณ์ประจำชาติฝรั่งเศส ซึ่งนับเป็นเกียรติยศได้รับการสืบทอดจากสตรีชื่อดังระดับ A List อย่าง Catherine Deneuve และ Brigitte Bardot แต่ดีไซน์เนอร์คู่ใจกลับต่อต้านงานนี้ และวิจารณ์ว่า นี่คือผลงานที่แสนน่าเบื่อ ดูเหมือนชนชั้นกลางธรรมดาๆ และดูบ้านนอก! ฝ่าย Inès ฟาดกลับแรงไม่แพ้กันว่า Lageerfeld อาจจะไม่พอใจที่ที่เห็นความรุ่งโรจน์ของเธอ และมันได้เผยด้านจอมบงการสมกับฉายา Kaiser ของเขา
ความขัดแย้งของทั้งสองดูร้าวลึกถึงขั้นที่ดีไซน์เนอร์ดังประกาศว่า ไม่ขอร่วมงานกับเธออีก เพราะเธอไม่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาอีกต่อไป ถึงเธอจะเป็นคนที่สวยมาก แต่ถ่ายรูปไม่ขึ้น ไม่เข้ากับเทรนด์ใหม่ที่ผู้คนอยากจะเห็นนางแบบที่ดูเซ็กซี่กว่าเดิม และยังเย้ยหยันว่าว่า หากเขาไม่จับเธอมาปั้นให้เป็นดาว เธอคงต้องวิ่งวุ่นเพื่อออดิชั่นงาน หลังจากนั้น Inès ต้องว่าจ้างทนายเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากสัญญากับ Chanel นับว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างดงาม แต่ปิดฉากด้วยความเจ็บปวด
แต่ถึงจะขัดแย้งกันอย่างรุนแรง พวกเค้าไม่ได้ตัดขาดกันอย่างถาวร เมื่อคลายความขุ่นเคืองใจลงไป ก็ใช้จดหมายสื่อแทนใจหากัน และใช้เวลาหลายปีเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ จนกระทั่งปี 2011 Inèsในวัย 53 ปี ก็ได้ come back ร่วมเดินแบบใน Chanel อีกครั้ง เธอได้ชื่นชม Lagerfeld ที่มองเห็นคุณค่าความงามของผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในขณะนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องผู้คนยอมรับความงามที่หลากหลายยังไม่ได้สร้างความตื่นตัวในสังคมเหมือนกับในปัจจุบัน
สถานะตำนานแฟชั่นของ Lagerfeld และการแต่งกายที่เป็น signature นั้นทำให้ผู้คนมองเขาในภาพของ celebrity พวกเค้าแวะเวียนเข้ามาทำความรู้จักและขอถ่ายภาพ แต่มันทำให้ Inès รู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจตัวตนของเขาได้เท่าเธอ เธอได้ระลึกถึงความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันที่หลังเวที Chanel show ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปไม่กี่เดือนว่า
"เขาไมใช่คนที่ชอบแสดงความรักหรืออ่อนโยน แต่เขาจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย มันเป็นเรื่องยากที่จะจากมา ฉันจึงอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกประมาณชั่วโมงหรือสองชั่วโมงได้ มีคนมากมายที่เข้ามาทักทายเขา พวกคนดังที่เพิ่งจะทำความรู้จักกับเขาได้ห้านาที ฉันจึงได้พบว่า ฉันคือคนที่เข้าใจตัวตนของเขา ความหมายของสิ่งที่เขาพูดถึง ใครๆต่างก็ปลาบปลื้มชื่นชมเขา เพราะเขาช่างเก่งกาจและมีอารมณ์ขัน แต่ฉันคิดว่า ตัวเองคือคนที่มีความรักใคร่อ่อนโยนให้กับเขาจริงๆ"
"เขาไมใช่คนที่ชอบแสดงความรักหรืออ่อนโยน แต่เขาจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย มันเป็นเรื่องยากที่จะจากมา ฉันจึงอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกประมาณชั่วโมงหรือสองชั่วโมงได้ มีคนมากมายที่เข้ามาทักทายเขา พวกคนดังที่เพิ่งจะทำความรู้จักกับเขาได้ห้านาที ฉันจึงได้พบว่า ฉันคือคนที่เข้าใจตัวตนของเขา ความหมายของสิ่งที่เขาพูดถึง ใครๆต่างก็ปลาบปลื้มชื่นชมเขา เพราะเขาช่างเก่งกาจและมีอารมณ์ขัน แต่ฉันคิดว่า ตัวเองคือคนที่มีความรักใคร่อ่อนโยนให้กับเขาจริงๆ"
Claudia Schiffer
สร้างชื่อในวงการแฟขั่นชั้นสูงด้วยการร่วมงานกับ Lagerfeld
Lagerfeld อาจจะเคยโจมตี Heidi Klum นางแบบสัญชาติเดียวกันว่า เธอมีร่างหนาและหน้าอกอึ๋มเกินไปที่จะเป็นนางแบบบนรันเวย์ และเธอก็ส่งยิ้มที่ดูงี่เง่าเสมอ ไม่ได้เป็นลุคที่สวยล้ำ เหมาะกับการทำงาน commercial แต่ในยุค 90s เขาก็เคยปั้นนางแบบเยอรมันที่สร้างชื่อจากวงการ commercial ให้กลายเป็นดาวเด่นในโลกแฟชั่นชั้นสูงได้สำเร็จ เมื่อได้เห็น Claudia Schiffer วัย 18 บนปกนิตยสารแฟชั่น และติดต่อเธอให้มาร่วมงานในคอลเลคชั่นใหม่อย่างฉับไว เธอยืนยันว่า นี่คือการร่วมงานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล และมันเป็นประสบการณ์ล้ำค่าในความทรงจำ
"Karl เรียกฉันว่า Clodia! พวกเราพูดคุยด้วยภาษาเยอรมันกันบ่อยๆ ซึ่งเขาชอบที่คนอื่นที่อยู่รอบข้างฟังไม่ออกฉันสัมผัสได้ถึงแง่มุมที่ซับซ้อนในตัวเขาและปลาบปลื้มในอารมณ์ขันของเขาค่ะ จำได้ว่า เรื่องที่ทำให้เราเกิดความใกล้ชิดสนิทสนมก็คือ จะมีแต่พวกเราเพียงสองคนที่สามารถทำงานไปจนถึงช่วงใกล้เช้าและยังเปี่ยมไปด้วยพลังงาน Karl กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลาและฉันก็หลั่งอะดรีนาลีนเต็มที่ ฉันชื่นชอบทุกวินาทีที่ได้ร่วมงานกับเขาค่ะ"
"Karl ได้ช่วยขัดสีฉวีวรรณตัวฉันให้เปลี่ยนจากสาวเยอรมันขี้อายให้เฉิดฉายเป็น supermodel เขาคือผู้ที่สั่งสอนฉันให้เรียนรู้เรื่องแฟชั่นและสามารถเอาตัวรอดจากธุรกิจนี้มาได้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้สีขาวดำดูมีสีสันสะดุดตา"
Claudia ได้ตกลงทำสััญญาทำหน้าที่ Face Of Chanel ในปี 90 และกลายมาเป็นนางแบบเนื้อหอมที่ luxury brands ต่างๆพยายามดึงตัวมาร่วมงาน จากตัวเลขสถิตืที่เธอขึ้นปกนิตยสารมาแล้วเกินพันครั้งก็ย่อมการันตีว่าเธอขายดีมากแค่ไหน เธอเผยความรู้สึกซาบซึ้งต่อโอกาสที่ Lagerfeld หยิบยื่นให้ไม่เสื่อมคลาย ช่วงเวลายาวนานกว่าสามสิบปีในวงการแฟชั่น เธอร่วมงานกับ Chanel มาแล้วมากมาย และถูกมองในภาพลูกรักลำดับต้นๆของเขาเลยทีเดียว
.”
Lagerfeld เปรียบเหมือบกับ Andy Warhol แห่งโลกแฟชั่น
"ขอบเขตการสร้างสรรค์ผลงานไม่เพียงแต่จะมีพัฒนาการ เขายังสามารถคิดค้นนิยามใหม่ ซึ่งเห็นได้จาก key player ที่สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยของแต่ละซีซัน วิสัยทัศน์ของเขาช่างเลิศล้ำ ฉันมักจะเปรียบเปรยว่าเขาเป็นเหมือนกับ Andy Warhol แห่งวงการแฟชั่น เพราะผลงานของเขามีความเหมือนกับ Warhol ตรงที่การใช้สื่อได้อย่างหลากหลาย เขามีความเข้าใจถ่องแท้เรื่องความเชื่อมโยงของเทคนิคการถ่ายภาพและการแสดงออกทางศิลปะ วัฒนธรรม celebrity และการโฆษณา เขามีความสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมและเข้าใจความเคลื่อนไหวของแฟชั่น ทุกๆอย่างที่เขาสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติ Chanel จนโด่งดัง หรือ Fendi ไปจนถึง KL ซึ่งเป็น brand ของเขาเอง"
(อย่างไรก็ตาม Lagerfeld เคยเหยียด Warhol ว่ามีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดมาแล้ว)
แต่การร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ที่ขึ้นชื่อว่า controversial มากที่สุดคนหนึ่งก็นำมาสู่ดราม่า เมื่อผลงาน collab กับ Lagerfeld ชิ้นนี้ถูกประนามว่าเป็นพฤติกรรม blackface และ yellowface ดูหมิ่นคนผิวดำและคนเอเชียน แม้จะมีคำชี้แจงว่า เป็นผลงานที่สื่อถึงแฟนตาซีของเพศชาย ไม่ได้จงใจสร้างความขุ่นเคืองให้กับใคร แต่ก็เกิดกระแสโจมตีว่าได้ล้ำเส้นและยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งเรื่องเชื้อชาติ ซึ่งปัจจุบัน fashion house ต่างๆต้องระมัดระวังไม่แตะต้องประเด็นต้องห้ามนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ cancel จากโลกออนไลน์
Devon Aoki
นางแบบสาวผู้มีความงามสุด unique จนถูกยกให้เป็น the face of 2000s
กระแส 'อีกี้' ที่สร้างความฮือฮาในโบกออนไลน์ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาทำให้ชาวเน็ทบ้านเราได้นึกถึงความเปรี้ยวแซ่บของ Devon Aoki ในหนัง 2 FAST 2 FURIOUS รวมถึงแฟชั่นสีสันลูกกวาดเมื่อ Jeremy Scott ยกย่องให้เธอเป็น muse ตลอดกาล แต่ก่อนหน้านั้น ผู้ที่มีส่วนผลักดันให้เธอสร้างชื่อเสียงโด่งดังในวงการแฟชั่นชั้นสูงจะต้องมีชื่อ Lagerfeld รวมอยู่ด้วย แม้ว่าตัว Devon ในวัย 16 ะคว้าสัญญาเพื่อทำหน้าที่ The Face Of Versace มาได้แล้ว แต่ภาพของ Devon ในลุค Chanel bride เดินเคียงข้าง Lagerfeld เพื่อปิดแฟชั่นโชว์หลายครั้งก็ถูกยกให้เป็นหนึ่งใน moments ชวนตื่นเต้นในช่วง Y2K ด้วยเสน่ห์แตกต่างไปจากเพื่อนนางแบบร่วมรันเวย์ ทั้งรูปลักษณ์แบบลูกผสมและออร่าของสาวเย็นชาที่สะกดใจจนหยุดมองไม่ได้เลย!
ในยุคที่นางแบบ nepo baby ยังไม่ได้เฟื่องฟูดังในอัจจุบัน ด้วยส่วนสูง 165 cm Devon นับเป็นนางแบบร่างเล็กที่สุดในขณะนั้น ตัวเธอเองไม่ได้คาดหวังว่าจะกลายเป็นนางแบบเนื้อหอมได้ เพราะนอกจากจะตัวไม่สูง ลุคของเธอยังดูแตกต่างไปจากเพื่อนนางแบบคนอื่น และมักถูกจับให้นำเสนอภาพลักษณ์ที่ดูแปลกแหวกแนว ทั้งๆที่เธอคิดว่า ตัวเองไม่ได้ดูแปลกแต่อย่างใด
"ฉันถูกจับแต่งให้เหมือนตัวประหลาดอยู่เสมอ ฉันไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นเลย ตัวตนของฉันมาจากส่วนผสมของหลายสิ่งเข้าด้วยกัน แต่การนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดูประหลาดกว่านางแบบคนอื่นๆคงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับพวกนางแบบผิวขาว"
แต่สำหรับแฟชั่นโชว์ของ Chanel Devon ถูกเปลี่ยนโฉมให้เป็นนางเอกของงานในลุค Chanel bride ที่โดดเด่นด้วยความนุ่มนวลดู feminine และ vibe แบบเจ้าหญิง exotic แตกต่างจากฉายา cult model ที่สื่อมักใช้นิยามตัวเธอ ซึ่งดูไม่แตกต่างไปจากตอนที่ Lagerfeld ดึงตัว Kimora Lee Simmons นางแบบลูกครึ่งเกาหลี/ญี่ปุ่นและแอฟริกันอเมริกันวัยเพียง 13 ปี มาเซ็นต์สัญญา Kimora ได้บอกเล่าความประทับใจที่ Lagerfeld ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงว่า
"เขาดึงฉันออกมาจากเมืองเล็กๆ ใน Midwest และติดปีกให้ฉันโบยบิน ฝ่าย casting จากทุกเอเจนซี่ตอกหน้าฉันว่า ฉันอัปลักษณ์และฉันไม่ได้มีลุคที่จะสร้างความสำเร็จจากอาชีพนางแบบได้"
"Karl ได้เลือกนำเสนอนางแบบลูกครึ่งบนรันเวย์ Parisian ก่อนดีไซน์เนอร์คนอื่น เมื่อเขาเป็รแบบอย่าง ฉันก็ได้เรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อสร้างโชคชะตาของตัวเอง ฝันที่จะประสบความสำเร็จให้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยคิดว่าทำได้ และมุ่งมั่นเพื่อทำมันให้เป็นจริง"
ในยุคนั้นมีนางแบบเชื้อสายเอเชียนที่ก้าวสู่ความสำเร็จอยู่น้อยคน ซึ่ง Kimora ชี้ว่าด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำหน้าของ Lagerfeld ทำให้เขากล้าได้กล้าเสี่ยงที่จะเลือกนางแบบต่างเชื้อชาติมาถ่ายทอดผลงานศิลปะเสื้อผ้าอาภรณ์ในช่วงสามทศวรรษก่อนซึ่่งยังไม่มีใครเปิดประเด็นเรื่องการยอมรับความความหลากหลายทางเชื้อชาติในวงการแฟชั่นชั้นสูง
จากที่เคยเป็น muse ให้กับ Lagerfeld ในยุค Millennium ล่าสุดมีรายงาน Devon าจะเข้าร่วม Met Gala เพื่อร่วมรำลึกถึงดีไซน์เนอร์ในตำนาน (จากการตั้งสันนิษฐานภาพจาก social media ที่เธอได้ชมนิทรศการก่อนเริ่มงานแล้ว) เรื่องที่ชวนประหลาดใจก็คือ เธอคือนางแบบที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงมาหลายปี แม้จะถอยห่างจากวงการแฟชั่นไปสร้างครอบครัวระยะหนึ่ง ก็ยังได้สร้าง connection กับดีไซน์เนอร์ดัง แต่ Devon กลับไม่เคยปรากฏตัวบนพรมแดง Met gala มาก่อน ในขณะที่นางแบบชื่อดังต่างร่วมงานนี้กันถ้วนหน้า ทำให้หลายคนจับตามอง Devon ในวัยสี่สิบที่จะเดบิวท์ใน Met gala
เธอจะมาในลุคเจ้าสาวรึเปล่านะ??
Kristen Stewart
นางเอกผู้มีจิตวิญญาณหัวขบถกลายมาเป็นคนโปรดของ Lagerfeld
ภาพลักษณ์ขบถสังคมที่ดูไม่หวั่นไหวกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของ Kristen Stewart ด้วยสไตล์แบบไม่ระบุเพศ หลายครั้งก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องความงาม ผมเผ้ายุ่งเหยิงตอนออกไปข้างนอก ยิ่งทำให้เธอฉีกกรอบไปจาก brand ambassador ที่ดูหรูเริ่ดคนอื่นๆของ Chanel แต่ความมีเอกลักษณ์ของนางเอกชื่อดัง ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับ brand นี้แนบแน่นมานานหลายปี หรืออาจจะพูดได้ว่า ต่างฝ่ายต่างเติมเต็มกันได้อย่างลงตัว
ตัวตนของ Lagerfeld ที่แตกต่างไปจากจินตนาการ
Kristen ยืนยันว่า ตัวตนที่แท้จริงของดีไซน์เนอร์ดังช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ภาพยนอกที่ดูเย่อหยิ่งตามที่ผู้คนคิดกัน
"มันเป็นเรื่องประหลาดที่ได้เห็นเขาได้เผยตัวตนในด้านที่เข้มงวดและชวนหวาดหวั่นใจ แต่ที่จริงเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย"
"เขามีความเป็นกันเองอย่างน่าตกใจ และไร้ซึ่งความเสแสร้งจนชวนตะลึง"
"เขาเป็นเจ้าคนที่ติดความหรูเลิศ แต่นั่นเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา มันเกือบๆจะเหมือนว่า เขารู้ตัวดีว่าเขาดูน่าเกรงขาม แต่เขายืนยันว่า จิตใจที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์มันเป็นเรื่องน่ากลัว แต่จงทุ่มเทให้หนักกว่านี้ เอาให้แรงขึ้นไปอีก"
"ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานกัน Karl ชักนำให้ฉันเชื่อว่า การยึดมั่นในความเป็นตัวฉันเองคือสิ่งที่ถูกที่ควร และสำหรับโลกแฟชั่น มันคือเรื่องที่หาได้ยาก เขาคือศิลปินที่ชอบกดดันตัวเองและหมกมุ่น และมันเป็นสิ่งที่แพร่สู่กันได้ เขาเป็นคนใจดีนะ ที่เขาเป็นคนแบบนี้ก็เพราะมันมีเหตุผลอธิบายในตัวเองเสมอ ฉันรู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้เข้าในอยู่ใกล้ชิดในวงจรเดียวกันกับเขาบ่อยๆ"
Kristen รู้ดีว่า ภาพลักษณ์ของเธอดูต่างจากนางเอกสุด glamourous รายอื่นๆที่ถูกดึงตัวให้ทำสัญญาเป็น brand ambassador ให้กับ fashion house ชื่อดัง
"ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมองฉันว่าเป็น muse ให้กับ luxury brand กันสักเท่าไรนัก ตอนที่อายุยังน้อย ฉันไม่เคยฝันมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นจริง แต่เมื่อได้ร่วมงานกับ Karl Lagerfeld และ Virginie Viard ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าต้องเสแสร้งทำตัวเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เมื่อฉันได้สร้างความสัมพันธ์กับ Chanel ฉันก็ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆจากตัวตนภายใน ซึ่งปกติแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ฉันทำงานแสดงหนัง มันเยี่ยมไปเลย"
ในขณะที่ Lagerfeld เชื่อว่า Kristen เป็นผู้ที่นำเสนอภาพลักษณ์ของ Chanel ได้อย่างสมบูรณ์แบบในยุคนี้ โดยไม่คิดจะนำเธอไปเปรียบเทียบกับนางเอกคนอื่นๆ เพราะมองเห็นความเป็นตัวจริงและความโมเดิร์นของเธอ Kristenก็มั่นใจต่อแนวคิดการทำงานของเขา
"Karl ไม่เคยพยายามเปลี่ยนแปลงตัวตนของฉันให้เป็นแบบอื่น เขาเป็นเหมือนกับ director ที่เก่งกาจทั้งหลาย เขามีความสามารถที่จะดึงศักยภาพของคนอื่นมาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อาจจะไม่ปรากฏชัดเจนจากตัวพวกเค้า"
"Karl ได้สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านผลงาน และมันเป็นวิธีการทำงานที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เขาจะเป็นผู้คอยกำกับแนะนำเสมอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ได้เกิดจากความพยายามอย่างจงใจจนเกินไปเพราะมันไม่ตรงกับหลักการสร้างผลงานศิลปะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ"
สำหรับหลายคน หลากหลายคำพูดจากดีไซน์เนอร์ผู้ล่วงลับอาจจะไม่ได้ทิ้งความทรงจำที่น่าประทับใจ แต่ legacy ที่เขาได้สร้างสมไว้เป็นเวลาหลายสิบปีก่อนจากโลกนี้ไปก็ได้สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับโลกแฟชั่นจนไม่สามารถมองข้ามไปได้ และแน่นอนว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่รอคอยติดตามว่า เหล่าคนดังจะประชันแฟชั่นบนแพรมแดงเพื่อร่วมรำลึกถึง Karl Lagerfeld กันอลังการสักแค่ไหน!