คนดังที่ต้องทนทุกข์กับอาการเกลียดรูปร่างหน้าตาของตัวเอง (Body Dysmorphic Disorder)
candy 18 6
รูปโฉมอันสวยงามของบรรดาคนดังมักทำให้ผู้คนมองพวกเค้าด้วยความประทับใจระคนไปด้วยความอิจฉา เพราะไม่เพียงแต่จะมีเสน่ห์สะกดสายตา สถานะทางการเงินอันมั่งคั่งของคนดังก็ช่วยให้เข้าถึงสารพัด options เพื่อยกระดับความงามให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็น makeup artist และ stylist ชั้นนำของวงการ คลีนิคความงามที่ชาร์จค่าบริการสูงลิบลิ่ว เทรนเนอร์ เชฟ นักโภชนาการ ฯลฯ บางคนไม่จำเป็นต้องก้าวออกจากบ้านซะด้วยซ้ำ เพียงแค่เรียกตัว beauty sqaud มาถึงห้องแต่งตัวก็ช่วยเนรมิตความงามไร้ที่ติได้อย่างสะดวกสบาย
ในสายตาของหลายๆคน มันจึงไม่ใช่เรื่อง่ายนักที่จะทำความเข้าใจถึงอาการเกลียดรูปร่างหน้าตาของตัวเองในหมู่คนดัง (Body Dysmorphic Disorder หรือเรียกย่อๆว่า BDD) เราสามารถจินตนาการภาพได้ชัดเจนเลยว่า เซเลบที่ดูเริ่ดจากหัวจรดเท้านั้นย่อมได้รับคำชื่นชมในทุกแห่งทุกหนที่พวกเค้าปรากฏกาย ทั้งๆที่ถูกยกว่ามีความงามประดุจได้รับประทานพรจากพระเจ้า เป็นไปได้ด้วยเหรอที่พวกเค้าจะจิตตกเรื่องรูปร่างหน้าตา?
แต่ปมความไม่มั่นใจที่ฝังรากลึกก็นำไปสู่พฤติกรรมหมกมุ่นกับข้อบกพร่องที่ได้เห็นผ่านเงาสะท้อนในกระจก เกิดเป็นความเชื่อว่า นี่คือตัวตนที่ไม่น่าพึงปรารถนาและมันได้บั่นทอนคุณค่าของพวกเค้าลงไป แม้จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ยังไม่สามารถเติมเต็มจิตใจให้มีความสุขอย่างเต็มที่ได้
ในสายตาของหลายๆคน มันจึงไม่ใช่เรื่อง่ายนักที่จะทำความเข้าใจถึงอาการเกลียดรูปร่างหน้าตาของตัวเองในหมู่คนดัง (Body Dysmorphic Disorder หรือเรียกย่อๆว่า BDD) เราสามารถจินตนาการภาพได้ชัดเจนเลยว่า เซเลบที่ดูเริ่ดจากหัวจรดเท้านั้นย่อมได้รับคำชื่นชมในทุกแห่งทุกหนที่พวกเค้าปรากฏกาย ทั้งๆที่ถูกยกว่ามีความงามประดุจได้รับประทานพรจากพระเจ้า เป็นไปได้ด้วยเหรอที่พวกเค้าจะจิตตกเรื่องรูปร่างหน้าตา?
แต่ปมความไม่มั่นใจที่ฝังรากลึกก็นำไปสู่พฤติกรรมหมกมุ่นกับข้อบกพร่องที่ได้เห็นผ่านเงาสะท้อนในกระจก เกิดเป็นความเชื่อว่า นี่คือตัวตนที่ไม่น่าพึงปรารถนาและมันได้บั่นทอนคุณค่าของพวกเค้าลงไป แม้จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ยังไม่สามารถเติมเต็มจิตใจให้มีความสุขอย่างเต็มที่ได้
Body Dysmorphic Disorder เกิดจากความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจในรูปร่างและหน้าตาของตนเองเกินปกติ นับเป็นอาการย้ำคิดย้ำทำรูปแบบหนึ่ง ความไม่พอใจที่ก่อตัวขึ้นมาจะทำให้ผู้มีอาการนี้ต้องคอยสำรวรจตรวจตราตัวเองจากการส่องกระจก ไถ่ถามความเห็นจากคนอื่นบ่อยๆ และชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ยิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองจนขาดความสมเหตุสมผล หากเกิดความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเพียงเล็กน้อยก็อาจจะสร้างความวิตกกังวล ไม่มั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ผลที่ตามมาอาจจะหนักถึงขั้นเสพติดศัลยกรรมหรือโรคซึมเศร้า
Megan Fox
นางเอกที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าสวยร้อนแรงที่สุดใน Hollywood ที่ต้องตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์จากรูปโฉมที่เปลี่ยนไป
ย้อนไปยังยุค 2000s ที่หนังมหาวิบัติจักรกลสังหารถูกปล่อยตัวออกมากอบโกยรายได้ทั่วโลก ชื่อของ Megan ก็พุ่งสู่ทำเนียบสาวสุดแซ่บแห่ง Hollywood ถึงขั้นที่มีผู้เปรียบเทียบว่า เธออาจจะก้าวขึ้นมาเป็น Angelina Jolie คนใหม่ ด้วยเค้าโครงใบหน้าที่งามเลิศเลอ ดวงตาสวยสะกดใจประดุจใช้เวทมนตร์ คิ้วเข้มได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวน ทำให้หลายคนมั่นใจว่า แม้เธอจะเดินออกจากบ้านแบบหน้าสดก็สวยฉ่ำราวกับว่าไม่เคยพบพานคำว่ายุคมืดมาก่อน เสน่ห์ที่ร้อนแรงของเธอได้รับการพิสูจน์จากการจัดอันดับสาว sexy และชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอคือ crush ที่พวกเค้าหลงไหล แม้แต่อดีตคู่หมั้นของเธอ Machine Gun Kelly ย้อนไปยังวัยเรียนก็เคยติดรูปเธอไว้ในห้องนอน
แต่ transformation ของ Megan ในช่วงหลังจากการหย่าร้างจากสามีคนแรกสร้างเสียงวิจารณ์ครึกโครม หนุ่มๆยังยกให้เธอเป็น first crush ที่ตราตรึงใจ แต่ขยายความต่อว่า จะต้องเป็น Megan ในช่วงก่อนเริ่มต้นความสัมพันธ์กับ MGK เท่านั้น! หรือหมายความว่า ลุคใหม่ในปัจจุบันของเธอไม่โดนใจพวกเค้านัก ทั้งสื่อและชาวเน็ทต่างตั้งข้อสันนิษฐานว่าเธอได้เลือกวิธีศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนรูปโฉมเพิ่มพูนความมั่นใจ แต่ผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับทำให้ชาวเน็ทหลายคนร้องด้วยความเสียดายรูปร่างหน้าตาที่เฉียดกับความไร้ที่ติแบบเดิม ในที่สุด เธอก็ได้ออกมาเปิดใจถึงความรู้สึกทุกข์ภายในจิตใจที่เธอเชื่อว่า คงไม่มีวันจบสิ้น
"ฉันไม่เคยมองเห็นตัวเองเป็นแบบเดียวกับที่คนอื่นมองเห็นในตัวฉันเลย"
แต่ transformation ของ Megan ในช่วงหลังจากการหย่าร้างจากสามีคนแรกสร้างเสียงวิจารณ์ครึกโครม หนุ่มๆยังยกให้เธอเป็น first crush ที่ตราตรึงใจ แต่ขยายความต่อว่า จะต้องเป็น Megan ในช่วงก่อนเริ่มต้นความสัมพันธ์กับ MGK เท่านั้น! หรือหมายความว่า ลุคใหม่ในปัจจุบันของเธอไม่โดนใจพวกเค้านัก ทั้งสื่อและชาวเน็ทต่างตั้งข้อสันนิษฐานว่าเธอได้เลือกวิธีศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนรูปโฉมเพิ่มพูนความมั่นใจ แต่ผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับทำให้ชาวเน็ทหลายคนร้องด้วยความเสียดายรูปร่างหน้าตาที่เฉียดกับความไร้ที่ติแบบเดิม ในที่สุด เธอก็ได้ออกมาเปิดใจถึงความรู้สึกทุกข์ภายในจิตใจที่เธอเชื่อว่า คงไม่มีวันจบสิ้น
"ฉันไม่เคยมองเห็นตัวเองเป็นแบบเดียวกับที่คนอื่นมองเห็นในตัวฉันเลย"
"ฉันมีอาการ body dysmorphia ไม่เคยมีสักครั้งในชีวิตที่ฉันรู้สึกชื่นชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเอง"
"ตอนที่ฉันยังเด็กก็เริ่มมีความหมกมุ่นว่า ฉันควรจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีแบบไหน ฉันไม่แน่ใจว่า เพราะอะไรจึงรู้สึกตื่นตัวเรื่องรูปร่างหน้าตาตั้งแต่ยังอายุน้อยขนาดนั้น แต่มันไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เพราะฉันเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูที่เคร่งศาสนา ซึ่งไม่ได้เปิดหูเปิดตาเรื่องร่างกายกันเท่าใดนัก"
"สำหรับฉัน เส้นทางสู่การเปิดใจให้รักตัวเองนั้นคงไม่มีวันจะสิ้นสุด"
Megan อธิบายว่า คนอื่นมักเข้าใจว่า ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีคงใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการใช้ชีวิตจนอะไรก็ดูง่ายไปหมด แต่แท้จริงแล้ว เธอขาดความมั่นใจสารพัดสิ่ง คำพูดนี้เองที่ทำให้ชาวเน็ทสันนิษฐานว่า มันอาจเป็นแรงผลักดันให้เธอลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังจากหย่าร้างกับสามีคนแรก
Megan ยอมรับเรื่องการทำจมูกในช่วงอายุยี่สิบนิดๆ เคยทำหน้าอกมาก่อนที่จะมีลูก และตัดสินใจทำอีกครั้งหลังจากรูปทรงเปลี่ยนหลังให้นมลูกๆ จากนั้นก็แก้ไขอีกครั้งหนึ่ง รวมแล้วผ่าตัดเสริมหน้าอกสามรอบ ฟังดูแล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉีกกรอบ Hollywood แม้แต่น้อย แต่เธอมักจะถูกกล่าวหาว่า เสพติดศัลยกรรมจนดูแย่กว่าก่อนทำ ซึ่งเธอได้โต้กลับว่า การตัดสินใจใช้มีดหมอเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ เพราะร่างกายเธอตอบสนองต่อการดมยาสลบได้ไม่ดีนัก และมักพบกับผลข้างเคียงแย่ๆจนทำให้รู้สึกผวาว่าอาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
"ฉันขอเปิดเผยว่าทำศัลยกรรมส่วนใดมาบ้าง ฉันคิดว่าเรื่องนี้ถูกมองเป็นว่าเป็นตราบาปมัวหมอง แต่ถึงยังไงฉันก็ดูผิดไปหมดในสายตาคนอื่นอยู่แล้ว ได้แต่หวังว่าการแสดงออกชัดเจนเช่นนี้จะเป็นการช่วยให้บางคนปลดล็อคตัวเองได้"
Megan ยืนยันว่า เธอไม่ได้ปลาบปลื้มกับสถานะ sex symbol ที่ถูกหยิบยื่นให้ในช่วงหลายปีมานี้ เพราะมันยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับคนที่มีอาการ body dysmorphia เพราะเธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเช่นที่คนอื่นมองเห็น และยังผิดหวังที่ใครๆต่างมองข้ามที่จะยอมรับความคิดจิตใจและความฉลาดเฉลียวของเธอ แต่หันไปยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ไม่ใช่ตัวเธอเลย
หลังจากที่ต้องเผชิญกับ cyberbullying มาหลายครั้ง Megan ก็ตั้งความหวังว่า คนอื่นจะพยายามทำความเข้าใจถึงความยากลำบากของเธอ ก่อนที่จะวิจารณ์กันเรื่องรูปร่างหน้าตา
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ได้เกิดภาพ viral ที่ทำให้ Megan ถูกชาวเน็ทโจมตีว่าทำหน้ามาจนเสียความงามตามธรรมชาติไป ถึงขั้นที่เปรียบว่า เธอดูเหมือน sex doll แต่เธอฟาดกลับว่า ภาพที่ดูแตกต่างจนแทบจำไม่ได้นั้นเกิดจากแสงเงาที่แตกต่าง ในเวลาต่อมา เธอก็ได้เผยใบหน้าที่ผ่านการแต่งเติมเพียงเบาๆ พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า เธอไม่ได้หน้าเปลี่ยนไปมากมายตามที่ตกเป็นข่าว แต่เป็นเพียงวิธีการแต่งหน้าและการถ่ายภาพในมุมไม่ดีท่านั้น
แต่ viral นี้ก็ทำให้บางคนรู้สึกท้อแท้กับเรื่อง beauty standard อันสูงเกินเอื้อมของสังคม และวิจารณ์ว่า หากระดับ Megan Fox ยังถูก bully เรื่องหน้าตาได้ คนทั่วไปคงลืมความคาดหวังไปได้เลย
ยังมีแฟนที่ปกป้อง Megan ว่า เรื่องความงามเป็นเรื่องรสนิยมชมชอบส่วนบุคคล ถึงหลายคนจะชื่นชอบลุคเก่าของนางเอกสาว แต่ไม่ควรพิพากษาเธอว่า ทำศัลยกรรมพลาดจนหมดสวย เพราะความพอใจของเธอต่างหากที่สำคัญ เธอยืนยันว่า อยากจะได้หน้าอกกลมใหญ่แบบดาวโป๊ยุค 90s เธอก็มีสิทธิ์ใช้บริการจากคลีนิคความงามเพื่อความปรารถนาเป็นจริง หรือหากเธอจะอยากทดลองสไตล์การแต่งหน้าที่แตกต่างไปจากอดีต ก็คงไม่ต่างจากผู้คนอีกมากมายทั่วโลกที่ไม่ได้หยุดตัวเองไว้ที่ลุคเดิมในสมัยเรียนมัธยม
แต่ viral นี้ก็ทำให้บางคนรู้สึกท้อแท้กับเรื่อง beauty standard อันสูงเกินเอื้อมของสังคม และวิจารณ์ว่า หากระดับ Megan Fox ยังถูก bully เรื่องหน้าตาได้ คนทั่วไปคงลืมความคาดหวังไปได้เลย
ยังมีแฟนที่ปกป้อง Megan ว่า เรื่องความงามเป็นเรื่องรสนิยมชมชอบส่วนบุคคล ถึงหลายคนจะชื่นชอบลุคเก่าของนางเอกสาว แต่ไม่ควรพิพากษาเธอว่า ทำศัลยกรรมพลาดจนหมดสวย เพราะความพอใจของเธอต่างหากที่สำคัญ เธอยืนยันว่า อยากจะได้หน้าอกกลมใหญ่แบบดาวโป๊ยุค 90s เธอก็มีสิทธิ์ใช้บริการจากคลีนิคความงามเพื่อความปรารถนาเป็นจริง หรือหากเธอจะอยากทดลองสไตล์การแต่งหน้าที่แตกต่างไปจากอดีต ก็คงไม่ต่างจากผู้คนอีกมากมายทั่วโลกที่ไม่ได้หยุดตัวเองไว้ที่ลุคเดิมในสมัยเรียนมัธยม
Billie Eilish
แผลในใจที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก
แม้ว่า Billie ใช้ชีวิตด้วยการโอบอุ้มด้วยความรักจากคนในครอบครัว แต่จิตใจที่เปราะบางของสาวน้อยที่ก้าวสู่สังคมภายนอกก็ถูกสั่นคลอน จากเดิมที่เธอต้องเป็นทุกข์จากอาการวิตกกังวลต่อการแยกจาก(Separation Anxiety Disorder หรือ SAD) ที่ทำให้เธอต้องนอนร่วมเตียงกับพ่อแม่และพี่ชายจนอายุ 11 และรับการศึกษานอกระบบด้วยวิธี homeschool แต่เมื่อเธอได้ก้าวออกจากอ้อมกอดของครอบครัวเข้าสู่สังคมภายนอก ก็ต้องพบกับความยากลำบากจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อได้เห็นบรรดาเด็กสาวร่วมคลาสเต้นของเธอที่สวยเริ่ดรูปร่างผอมเพรียว พวกเธอใส่ชุดนักเต้นไซส์เล็กรัดรูปได้อย่างมั่นใจ แตกต่างจากเธอที่ไม่เคยรู้สึกสบายใจกับชุดตัวเล็กๆพวกนั้น
"ฉันวิตกกังวลกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองเสมอ ตอนที่ต้องผจญกับอาการ body dysmorphia หนักสุดก็ส่องกระจกไม่ได้เลยค่ะ"
คงพอเดากันออกว่า Billie เจิญเติบโตเป็นสาวค่อนข้างไวเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ภาวะนี้ทำให้เด็กหลายคนรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ความมั่นใจเพราะพวกเค้ายังไม่ได้เตรียมใจมาพร้อมกับการมีสัดส่วนที่คล้ายกับผู้หญิงเต็มตัว และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Billie รับตัวเองไม่ได้
"ฉันเกลียดรูปร่างตัวเองมาก ฉันทำได้ทุกทางเพื่อจะไม่ดูเป็นแบบนี้ ฉันอยากจะเป็นนางแบบมากจริงๆค่ะ แต่ฉันทั้งตุ้ยนุ้ยและเตี้ย ฉันเป็นสาวเร็วมาก มีหน้าอกตั้งแต่ 9 ขวบ เป็นประจำเดือนตอน 11 ขวบ ร่างกายของฉันมันพัฒนาไปไวกว่าสมองซะอีก"
"มันบ้าดีที่ตอนที่เราเป็นเด็ก เราไม่นึกถึงเรื่องร่างกายเราเลย แต่อยู่ดีๆ พอก้มมองตัวเองก็เอาแต่คิดว่า จะต้องทำยังไงถึงจะทำให้ไอ้สิ่งเหล่านี้มันหายไปได้?"
การก้าวสู่วงการดนตรีตั้งแต่อายุ 16 ทำให้เธอยิ่งถูกจับจ้อง ประเด็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ดูเกินวัยรุ่นนั้นถูกจับมาถกเถียงในโลกออนไลน์หลายครั้ง และ FC ต่างลงความเห็นว่า เข้าใจความรู้สึกของ Billie ที่ต้องอำพรางตัวเองในเสื้อผ้า oversized แต่เมื่อเธอรวบรวมความกล้ส หันมาแต่งตัวแนว feminine และเปิดเผยสัดส่วนมากขึ้น ก็ถูกจิกกัดรุนแรงว่าเป็นแบบอย่างไม่ดีต่อเด็กๆ
แต่เส้นทางสู่การยอมรับตัวตนที่เธอเป็นก็ยังดำเนินต่อไป แม้จะต้องต่อสู้กับโรคเกลียดรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาตลอดชีวิต Billie ก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านผลงานเพลงถึงการเดินทางนี้ผ่านเพลง 'Skinny' ในอัลบั้มล่าสุดไว้ว่า
"ผู้คนต่างบอกว่าฉันดูมีความสุขเพียงเพราะฉันผอมลง"
"แต่ฉันในแบบเดิมตอนนั้นก็ยังเป็นตัวฉันอยู่ดี และนั่นอาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉันก็ได้"
"และฉันคิดว่า ตัวตนของเธอคนเดิมนั้นสวยน่ารัก"
"แต่ฉันก็ยังร้องไห้อยู่ดี"
นี่อาจจะสะท้อนถึงปัญหา body image ที่ก่อตัวขึ้นจากแนวคิดเรื่องความงามในอุดมคติที่บีบให้สาวๆบูชาความผอม หลังจากที่เธอต้องเผชิญกับ body-shaming มาตั้งแต่แจ้งเกิดในวงการ แม้จะพยายามสร้างเสริม self-love จนแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากเย็นที่จะไม่สนใจเสียงวิจารณ์
"ถ้าเกิดว่า คนในโลก internet รุมจิกกัดฉันตอนมีอายุแค่ 11 ปีเหมือนกับที่ฉันกำลังเจออยู่ในตอนนี้ ฉันไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะอยู่รอดต่อไปได้ ฉันรู้สึกชอบตัวเองมากกว่าแต่ก่อนนะ และฉันก็ใส่ใจกับความรู้สึกตัวเองมากกว่าความคิดของคนอื่นบ้างแล้ว แต่มันอาจจะเป็นเรื่องทำใจเชื่อได้ยากไปเลย เพราะเสียงวิจารณ์พวกนั้นยังทำให้ฉันเจ็บปวดสุดๆ ให้ตายสิ"
Lili Reinhart
ใช้เวลามากมายไปกับความหมกมุ่นเรื่องรูปร่างที่ไม่ perfect
บางคนอาจจะรู้สึกแปลกใจที่ได้รับรู้ถึงความวิตกกังวลในเรื่องรูปลักษณ์ของ Lili Reinhart เพราะมองว่า เธอเป็นตัวแทนของความงามแบบ Classic Hollywood ที่แท้จริง นางเอกแห่ง Riverdale ถูกจับเปรียบเทียบว่ามีรูปโฉมโดดเด่นไม่แพ้ Amber Heard ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความตรงตาม beauty standard เธอมีดวงตาสีเขียวสะดุดตา ริมฝีปากสวยน่าจุมพิต รูปร่างเฟิร์ม เมื่อลองส่องภาพในวัยเยาว์ก็เห็นได้ชัดว่า เธอสวยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ตอนที่ไม่ได้แต่งหน้าก็ดูดีจนน่าอิจฉา
แต่ความเป็นจริงก็คือ Lili ต้องต่อสู้กับ Body Dysmorphic Disorder มายาวนาน แม้จะรับรู้ว่า เธอกำลังบั่นทอนจิตใจตัวเองด้วยความคิดในแง่ลบ แต่ก็หยุดยั้งความคิดเหล่านั้นไม่ได้ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ได้แต่สงสัยว่า ชีวิตเธอจะดีแค่ไหนหากไม่ต้องเจออาการนี้?
แต่ความเป็นจริงก็คือ Lili ต้องต่อสู้กับ Body Dysmorphic Disorder มายาวนาน แม้จะรับรู้ว่า เธอกำลังบั่นทอนจิตใจตัวเองด้วยความคิดในแง่ลบ แต่ก็หยุดยั้งความคิดเหล่านั้นไม่ได้ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ได้แต่สงสัยว่า ชีวิตเธอจะดีแค่ไหนหากไม่ต้องเจออาการนี้?
แม้เราจะได้เห็นภาพหน้าสดที่สวยแบบธรรมชาติของ Lili บ่อยๆ แต่เธอก็เคยเผยเบื้องหลังที่ต้องคอยจิตตกกับสิวซีสต์ที่อักเสบและแดงเป็นปื้นซึ่งเป็นปัญหาที่เธอพยายามแก้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เมื่อสร้างชื่อโด่งดังในวงการบันเทิงก็ยิ่งกดดันเพราะปัญหาสิวอาจจะกระทบต่อการทำงานหน้ากล้อง แม้ใครๆจะมองว่า สถานะการเงินที่มั่นคงของคนดังจะทำให้เข้าถึงตัวช่วยต่างๆเพื่อกำจัดสิวไปอย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น สิวเห่อขึ้นมาเมื่อไรก็ทนมองตัวเองในกระจกไม่ได้เป็นเดือนๆ เธอหมกมุ่นกับมันมากจนหวาดหวั่นว่า คนทั้งโลกกำลังจ้องมองผิวพรรณที่เป็นสิวของเธออยู่
"ฉันพยายามเปิดใจยอมรับมัน ตอนที่โปะครีมทาสิวก็แชร์ทาง Instagram Stories และแซวตัวเองเท่าที่ใจมันจะรับไหว ในที่สุดแล้วฉันก็ต้องเตือนตัวเองว่า ถ้าเดินไปตามถนนหนทางหรือนั่งกินอาหารกลางวันอยู่ คนอื่นก็ไม่ได้มาสนใจหรอกว่าผิวของฉันมันดูเป็นยังไง มีแต่ตัวฉันนั้นแหละที่หมกมุ่นอยู่คนเดียว"
"ฉันพยายามเปิดใจยอมรับมัน ตอนที่โปะครีมทาสิวก็แชร์ทาง Instagram Stories และแซวตัวเองเท่าที่ใจมันจะรับไหว ในที่สุดแล้วฉันก็ต้องเตือนตัวเองว่า ถ้าเดินไปตามถนนหนทางหรือนั่งกินอาหารกลางวันอยู่ คนอื่นก็ไม่ได้มาสนใจหรอกว่าผิวของฉันมันดูเป็นยังไง มีแต่ตัวฉันนั้นแหละที่หมกมุ่นอยู่คนเดียว"
ไม่เพียงแต่ปัญหาผิวพรรณที่ฉุดรั้งความมั่นใจให้ถดถอย Lili ยังจิตตกเรื่องรูปร่างอย่างหนัก ถึงขั้นที่รู้สึกหวาดหวั่นในหุ่นสวยเฟิร์มของเพื่อนนักแสดง Riverdale ระหว่างถ่ายทำฉากที่ต้องโชว์รูปร่าง แม้จะถูกค่อนแคะว่า เธอดูผอมสวยเกินไปที่จะออกมาคร่ำครวญว่าน้ำหนักขึ้นจนไร้ความมั่นใจ แต่เธอยืนยันว่า อาชีพในวงการบันเทิงได้บีบให้เธอหมกมุ่นกับความผอมจนยากจะควบคุมจิตใจได้
"หลายปีมานี้ ฉันพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวที่ดีดขึ้นๆลงๆและยังเคยถูกโจมตีเมื่อฉันได้ออกมาเปิดใจเรื่องปัญหา body image คนเหล่านั้นตอกกลับมาว่า ฉันไม่มีสิทธิ์จะระบายเรื่องความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างเพราะฉันดูผอมเพรียว ที่จริงฉันก็เข้าใจว่า หากคนที่มีไซส์ธรรมดาพูดถึงปัญหาน้ำหนักขึ้น มันก็ฟังดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่จุดประสงค์ที่ฉันพูดถึงเรื่องนี้ก็คือ ฉันไม่เคยคิดมากมาก่อนเลยว่า รูปร่างฉันมันแย่ตรงไหน จนกระทั่งก้าวสู่วงการซึ่งเป็นสถานที่ที่เอาแต่ยกย่องคนที่มีเอวบางร่างน้อยเกินกว่าที่ฉันจะพยายามไขว่คว้ามาได้"
"ฉันเอาแต่จับตามองรูปร่างตัวเองว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เมื่อมองภาพถ่ายก็ตระหนักชัดว่า มีความเปลี่ยนแปลงกับรูปร่างของฉันเข้าแล้ว ทำให้ฉันนึกระแวงว่า คนอื่นๆจะเห็นมันเหมือนกันรึเปล่า?
"ฉันรู้สึกท้อใจไปเลยเมื่อเห็นหลายคนบอกว่า เธอออกจะผอมนี่นา หุบปากเรื่องความพยายามเพื่อยอมรับรูปร่างของตัวเองสักทีเถอะ พวกนั้นพูดราวกับว่าอาการ body dysmorphia ของฉันมันไร้ความสำคัญ หาว่าฉันไม่อวบอั๋นพอหรือไม่ผอมบางมากพอที่จะแสดงออกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง"
"ความเจ็บป่วยทางจิตใจจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีกหากคนอื่นมาตอกย้ำว่า คุณไม่มีสิทธิ์จะรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเอง โปรดอย่าได้สนับสนุนพฤติกรรมเช่นนี้ มันเป็นบ่อนทำลายจิตใจ ส่งผลร้ายแรงกว่าที่คุณคาดคิด คุณอาจจะไม่เข้าใจถึงความไม่มั่นใจในตัวเองของคนอื่น แต่ขอให้แสดงความนับถือกันบ้างก็พอ"
แม้ Lili จะคอยเตือนใจตัวเองไม่ให้ย้ำคิดย้ำทำ แต่อาการ body dysmorphia ก็ชักจูงให้เธอหมกมุ่นกับขนาดของต้นแขน เมื่อรู้ตัวอีกที เธอก็เอาแต่ครุ่นคิดว่า แขนของเธอควรจะเล็กเรียวกว่านี้สักครึ่งหนึ่ง เธอเสียเวลามากมายจนน่าตกใจไปกับความกังวลเรื่องไซส์แขน แม้แฟนๆต่างมองว่า อวัยวะส่วนนี้ของเธอดูแน่นกระชับน่าอิจฉา ถึงจะรู้ดีว่า แขนผอมบอบบางที่ดึงดูดเสียงชื่นชมจากคนอื่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มีกัน แต่เป็นลักษณะของของเด็กที่ยังไม่เติบโตเป็นหนุ่มสาวเต็มตัว แต่เธอก็ห้ามความกังวลใจไม่ได้ เธอจึงประกาศให้ผู้ติดตามทาง social media ได้รับรู้ว่า พวกเค้าไม่ได้รู้สึกจิตตกอยู่คนเดียว ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาแชร์ความรู้สึกทุกข์ใจกับปมด้อยเรื่องลำแขนอวบใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนยังส่งกำลังใจถึง Lili เพื่อให้เธอได้หันมามองตัวเองในมุมใหม่ที่สวยเริ่ดโดยไม่จำเป็นต้องมีแขนเล็ก
Lili เคยเล่าถึงเบื้องหลังของภาพอันเลิศเลอของคนในวงการที่ใช้ตัวช่วยสารพัดเพื่อปรุงแต่งความงามแต่เต็มไปด้วยความกดดันแข่งขันว่า ครั้งหนึ่ง ผู้กำกับเคยสั่งให้เธอแขม่วหน้าท้องระหว่างเข้าฉาก ซึ่งการระมัดระวังไม่ให้หน้าท้องยื่นต่อหน้ากล้องเป็นสิ่งที่เธอต้องคอยใส่ใจเสมอในการทำงานแสดง เธอยืนยันว่าการกำหนด beauty standard ในวงการบันเทิงได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธออย่างหนัก
"ฉันต้องส่องกระจกสำรวจตรวจตราตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็คิดเหมือนกันว่า ฉันเข้มงวดกับตัวเองมากไปหน่อย ทุกอย่างก็ดูดีนี่นา สัดส่วนฉันก็เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้นก็กลับมาส่องกระจกอีก และพบว่า หน้าท้องฉันมันดูไม่เหมือนเดิม ทำให้สงสัยว่า ภาพสะท้อนในกระจกมันหลอกตารึเปล่า? ภายในวันเดียวกัน ทำไมรูปร่างฉันจึงเปลี่ยนไปขนาดนี้? แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกผิดจนอยากจะขอโทษชาวโลกกับความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง?"
"ฉันบอกตัวเองว่า ถ้าตัวฉันเห็นจุดที่เปลี่ยนไป คนอื่นๆก็จะสังเกตได้เหมือนกัน เงาสะท้อนในกระจกไม่ได้บิดเบือนสักหน่อย หรือว่าจริงๆมันเป็นไปได้กันแน่? นี่เป็นผลมาจากอาการ body dysmorphia ใช่มั้ย? หรือที่จริง มันเป็นสิ่งที่เกิดในชีวิตผู้หญิงแต่กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงมันมากนัก"
"ฉันนึกถึงตอนที่ตัวเองมีลูกในอนาคต ลูกสาวของฉันจะหมดความมั่นใจเพราะน้ำหนักตัวขึ้นรึเปล่านะ? เธอจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องความเปลี่ยนแปลงของร่างกายให้คนอื่นเข้าใจรึเปล่า? มันจำเป็นด้วยเหรอที่เธอจะต้องคอยขอโทษขอโพยคนรอบข้างและชี้แจงว่า ปกติแล้วรูปร่างของฉันไม่ได้ดูแย่แบบนี้ ฉันแค่ตัวใหญ่ขึ้นมาแค่นิดหน่อยเอง มันช่างฟังดูเหลวไหลที่พวกเราต้องมาขอให้คนอื่นรับฟังเรื่องธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย"