ติดตามข่าวคดี Diddy อย่างมีวิจารณญาณ

12 4
ในขณะที่ชาวเน็ทส่งต่อข้อมูลที่น่าตกตะลึงและทฤษฎีสมคบคิดสารพัดเกี่ยวกับคดีอาญาที่ทำให้ Diddy 'Sean Combs' ถูกคุมขัง พวกเราจะแยะแยะได้อย่างไรว่า เรื่องใดถูกใส่สีตีไข่เพื่อดึงดูดยอดเข้าชม และเรื่องใดดูมีมูลน่าเชื่อถือ?

ในยุคแห่ง AI สิ่งที่ถูกเรียกว่า 'หลักฐาน' อาจจะเป็นสิ่งที่มีผู้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนหลงเชื่อ fake news


หลายวันมานี้ TikTokers หลายคนได้แชร์ความรู้สึกสะเทือนใจต่อบทเพลงหนึ่งที่ฟังแล้วเหมือนกับ Justin Bieber เป็นผู้ขับร้องอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่ฟังเนื้อหาไม่กี่ประโยค FC ก็จินตการถึงความทุกข์ของซุปตาร์หนุ่มที่่ต้องพบพานกับเรื่องราวบัดซบ

"ฉันต้องสูญเสียตัวตนไปในพาร์ตี้ย์ของ Diddy/ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันงานแบบไหน/ ฉันก็แค่ไปร่วมงานเพราะอยากได้รถ Ferrari คันใหม่/ แต่สิ่งที่ฉันถูกพรากไปนั้นเป็นยิ่งกว่าจิตวิญญาณซะอีก/ มันคุ้มแล้วหรือที่ต้องแลกมันเพื่อเงินทองและชื่อเสียง

แต่ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า เพลงที่สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์มีความเกี่ยวข้องกับ JB เนื่องจากเขาไม่เคยปล่อยเพลงนี้สู่ streaming services รวมถึงช่องทางอื่นๆที่เป็นทางการ ชาวเน็ทบางคนก็ได้ตั้งข้อสังเกตร่วมกันว่า ฟังผ่านๆแล้วอาจจะเหมือนกับเสียงของศิลปินดัง แต่การขับร้องราบเรียบเกินไป ขาดอารมณ์ร่วมจนน่าสงสัยว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี AI สร้างเพลงนี้มา

แม้ว่า JฺB จะเคยถ่ายทอดอารมณ์เจ็บปวดที่ต้องแลกกับความสำเร็จระดับซุปตาร์ผ่านเพลง Lonely แต่เขาก็เคยอธิบายที่มาของเพลงอย่างชัดเจนว่า เคยผ่านช่วงเวลาอันย่ำแย่เพราะคนรอบตัวต่างป้อนคำยกยอจนหลงระเริงไปในทางที่ผิด เมื่อสังคมจ้องโจมตีความผิดพลาดของเขาไม่หยุด จึงเกิดเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย แม้ว่าจะโด่งดังและมีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเติมเต็มจิตใจที่โหยหาความสุขได้

Resemble AI ผู้จัดจำหน่ายเครื่องตรวจจับ AI Voice Generator และ Deepfake Audio ยืนยันข้อพิสูจน์ว่า มีความเป็นไปได้ที่เพลงนี้จะเป็น Deepfake ถึง 96% และสื่ออย่าง CBS News ก็ใช้อุปกรณ์ตรวจจับเสียงหลายชิ้นได้ผลไปในทางเดียวกัน  หมายความว่า ใครบางคนได้แต่งเนื้อร้องและเมโลดี้ และใช้เสียงโคลนของ JB เพื่อปล่อยเพลงนี้ออกมาในโลกออนไลจนกลายเป็นกระแสฮือฮา

แม้ว่ามันจะเป็นผลงานที่ทำให้ผู้คนแสดงความเห็นอกเห็นใจ Justin Bieber อย่างล้นหลาม แต่หากเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์บทเพลงนี้ แต่เป็นใครบางคนใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปั่นกระแสข่าวฉาวของ Diddy ให้ยิ่งดุเดือด มันคงจะไม่ได้ต่างจากการปั้นความเท็จเพื่อใส่ร้ายซุปตาร์หนุ่ม ชาวเน็ทจำนวนมากมายเชื่อกันว่า มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับ Justin และมันร้ายแรงจนส่งผลกระทบหนักต่อสภาพจิตใจของเขามาจนทุกวันนี้ ทั้งยังมีความพยายามตีความภาษาท่าทางและวิธีที่ Diddy ปฏิบัติต่อ Justin ที่ดูไม่เหมาะสมจนชวนให้คิดระแวงสงสัย แต่ก็มีคนบางกลุ่มนำกระแสข่าวลือนี้ไปล้อเลียน Justin ราวกับว่าพวกเค้าสนุกสนานกับการซ้ำเติมผู้ที่ประสบปัญหา mental health อยู่แล้ว


สื่อดังทั้งหลายพยายามติดต่อตัวแทนของ Justin แต่ไร้การตอบรับ ดูเหมือนว่า เขาตั้งใจจะวางตัวออกห่างจากข่าวอื้อฉาวสะเทือนวงการ ปล่อยให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องราวเลวร้ายที่ทำลายชีวิตของเขา แต่มันก็ยังเป็นทฤษฏีต่างๆที่เกิดจากการคาดเดาของชาวเน็ทและขาดหลักฐานเป็นรูปธรรมมากพอจะเคลียร์ข้อสงสัย

การส่งต่อข่าวลือเริ่มลุกลามไปไกล บางคนไม่ได้โฟกัสกันที่เรื่องข้อกล่าวหาการกระทำผิดทางอาญาของ Diddy แต่ร่วมวิจารณ์ขุดคุ้ยสนุกปากว่า มีใครบ้างในวงการนี้ที่มีรสนิยมทางเพศแบบชายรักชายที่ไปร่วมพาร์ตี้ย์ของ Diddy และจับคู่ Justin กับเพื่อนชายคนดังโดยที่ไม่แยแสว่า การแพร่ข่าวลือเช่นนี้จะทำร้ายจิตใจครอบครัวของเขาแค่ไหน


ไม่ควรปักใจเชื่อทฤษฎีต่างๆที่ได้ยินจากโลกออนไลน์แบบเฮตามกระแส 


อาจจะมีผู้ที่เกาะติดข่าว Diddy จนรู้สึกสับสนว่า ควรจะเชื่อฝ่ายใดดี? ชาวเน็ทหันมาสนอกสนใจเรื่องราวชวนช็อคจากปาก Jaguar Wright (นักร้องสาวที่ได้รับการปลุกปั้นจากวง The Roots ในยุค 90s และร่วมงานกับ Jay Z.ในฐานะนักร้อง backup) นั่นเป็นเพราะว่า เธอรับบทกระบอกเสียงโจมตี Diddy รวมถึงศิลปินทรงอิทธิพลแห่งวงวงการฮิปฮอปอีกหลายคน เธอดึงดูดความสนใจจากสังคมจากการแฉ Diddy มาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกเปิดโปงจากการยื่นฟ้องร้องของ Cassie ในปีที่แล้ว ทำให้หลายคนชื่นชมว่า Jaguar มีความกล้าหาญมากเกินกว่าเพื่อนร่วมวงการที่ไม่เพียงแต่เพิกเฉยต่อการกระทำผิดกฎหมาย แต่ยังรวมพลังสนับสนุน Diddy จนเหิมเกริมเย้ยกฎหมายมาช้านาน ส่วนเธอจะต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงว่า เธออาจจะถูกกลุ่มชายทรงอิทธิพลเล่นงานเพื่อปิดปาก

เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบุกตรวจค้นบ้านสองแห่งของ Diddy จนรวบรวมหลักฐานมากพอจะตั้งข้อกล่าวหาหนักเพื่อลากเขาเข้าคุก เหตุการณ์นี้ทำให้ Jaguar สร้างเสียงกล่าวขวัญในฐานะผูัที่หัวเราะทีหลังเสียงดังกว่า เพราะที่ผ่านมานั้น เธอมักถูกวิจารณ์ว่า เป็นศิลปินตกอับที่หาแสงจากการตั้งตัวเป็นเจ้าแม่กอสสิป เน้นแพร่กระจายข้อมูลที่ปลุกเร้าความสนใจจากผู้คนโดยที่ไม่มีหลักฐานหรือการเปิดเผยแหล่งข่าวใดมารองรับ แต่เมื่อ Diddy กำลังดำดิ่งสู่หายนะ ชาวเน็ทก็เริ่มมองเธออย่างเชื่อถือขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้มีผู้แชร์คำพูดของเธอในประเด็นด้านมืดของวงการตามมาอีกมากมาย


อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงทัดทานว่า Jaguar เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ หลังจากที่เธอเช่ารถแล้วไม่ยอมนำไปส่งคืน จึงถูกโจมตีว่า เธออาจจะไม่ใช่แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด และถึงแม้เธอจะเคยร่วมงานกับศิลปินระดับบิ๊กเบิ้มแห่งวงการฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี แต่ก็เกิดความขัดแย้งและไม่ได้ข้องเกี่ยวกันเป็นเวลานานหลายปี เมื่อเธอมาพร้อมกับข้อมูลอื้อฉาวสารพัดราวกับทำงานให้กับอัยการแห่งรัฐบาลกลาง แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การแฉในแบบฉบับ Jaguar ยังฟังดูเลื่อนลอยหลายจุด ดูคล้ายกับการจับแพะชนแกะจากข่าวลือที่แพร่หลายในโลกออนไลน์มานานแล้ว ไม่ได้มีแต่ประเด็นแปลกใหม่ชวนตะลึง

ตัวอย่างทฤษฎีด้านมืดของวงการบางส่วนจาก Jaguar Wright

  • Jaguar เคยกล่าวหา Rihanna ว่าเป็นเมียน้อย Jay Z และเหตุผลที่ Chris Brown ทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาวจนยับเยินเป็นเพราะว่า เขาจับได้ว่าเธอมีอะไรกับ Jay Z จนเอาโรคติดต่อทางเพศมาแพร่ใส่เขา (Jaguar ไม่ได้เป็นคนแรกที่แพร่ข่าวลือนี้ แต่มีคนพยายามทำลายชื่อเสียงของ Riri และยกรอยแผลที่ริมฝีปากของเธอมาโจมตีว่าเป็นผลมาจากโรคเริม แต่เธอยืนยันชี้ชัดว่า มันคือรอยแผลเป็นที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เริม มันกลายเป็นข่าวลือที่สร้างความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเธอ)

  • Jaguar ชี้นำว่า Jay Z เป็นผู้อยู่เบื้องหลังโศกนาฎกรรมเครื่องบินตกที่พรากชีวิต Aaliyah เพราะแค้นใจที่เธอไม่ยอมเป็นคู่ควงของเขา และเพราะเขามีมิตรภาพที่แนบแน่นกับ Diddy จึงทำให้เชื่อว่า แร็พเพอร์ดังทั้งสองสมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดกฎหมาย 

  • Jaguar ฟันธงว่า Diddy วางแผนฆาตกรรม Kim Porter แม่ของลูกๆที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรคปวดบวม เพราะเธอกำความลับดำมืดของเขาไว้และพร้อมจะออกมาแฉ และยังชี้ว่ายังมีเหยื่อฆาตกรรมอีกหลายคนที่ Diddy เป็นผู้บงการ




  • ไม่นานมานี้ Jaguar อ้างว่า ได้เห็นคลิปลับที่ Diddy แอบถ่ายพวกคนดังกนะกอบกามกิจไว้ และนำออกมาขายในเว็บมืดด้วยราคาสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ เพราะเขาต้องการเงินจำนวนมหาศาลไปวิ่งเต้นให้ตัวเองหลุดคดี เธอยืนยันชัดถ้อยชัดคำว่า เธอเห็นวีดีโอลับของคนดังชั้นนำอย่าง Justin Bieber, Nicki Minaj, Rihanna, Chris Brown และ Drake (ข้อกล่าวหานี้ทำให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใด Jaguar จึงเป็นคนนอกที่ได้เห็นวีดีโอลับเหล่านี้ และตัวเลขมูลค่าของมันก็มหาศาลซะจนถูกมองว่ามีความเป็น fiction มากกว่าจะเป็นการประมูลเทปลับคนดัง)

  • จากเรื่องคลิปแอบถ่ายคนดัง 500 ล้าน Jaguar ยังปล่อยข่าวต่อว่า Jay Z ร่วมมือกับ Diddy ลวง Beyonce ให้มาร่วมพาร์ตี้ย์ freak off แล้วแอบถ่ายเธอในขณะประกอบกามกิจ คล้ายคลึงกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับ Cassie 

  • Jaguar มั่นใจว่า คนที่อยู่รอบตัว Diddy ควรจะถูกตั้งข้อหาเพื่อเอาผิดให้หนักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Jay Z, Usher, Jennifer Lopez, Mary J Blige และอีกหลายคน 
Jaguar ยังนำเสนอทฤษฎีอีกหลายอย่างที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า หากคำพูดของเธอเป็นเรื่องจริง Diddy อาจจะต้องรับโทษหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต และเพื่อนฝูงของเขาอาจจะต้องเดินคอตกเข้าเรือนจำตามกันไปด้วย แต่ก็ยังมีคนคลางแคลงใจในคำพูดของเธอ เพราะดูเหมือนว่าเธอจะล่วงรู้ความลับดำมืดของคนในวงการไปซะหมด แต่ไม่ได้มีหลักฐานมายืนยันข้อกล่าวหาสารพัดอย่างที่สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ในช่วงนี้


อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามข่าวหลายคนได้เตือนว่า แม้ข้อกล่าวหาจาก Jaguar จะฟัง make sense เข้ากับสถานการณ์สักแค่ไหน แต่สไตล์แฉรายวันของเธอมีความแตกต่างกับทำงานของอัยการแห่งรัฐบาลกลางที่เผยข้อมูลเป็นรูปธรรมออกมาเพียงบางส่วน ไม่ได้ใช้สื่อเป็นตัวกลางเพื่อดิสเครดิตคู่กรณีเหมือนกับคดีแพ่ง แต่เป็นการรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนาที่สุดและยังเก็บงำทีเด็ดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามไหวตัวเสาะหาวิธีมาหักล้างข้อกล่าวหาในการพิจารณาคดีได้ทันใจ อัยการยังไม่ได้พาดพิงใดๆถึงการวางแผนฆาตกรรมปิดปากพยาน หรือเอ่ยนามของคนดังร่วมวงการที่พัวพันกับการค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณีในพาร์ตี้ย์ Freak Off ที่สำคัญคือการประกาศขอความร่วมมือให้พยานเข้ามาให้ปากคำ เพราะนี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อดำเนินคดีเอาผิดแร็พเพอร์ทรงอิทธิพลเท่านั้น


พิจารณาข้อมูลจากสื่อที่มีเครดิต


Fact-Checking ก่อนที่จะกดแชร์เป็นมาตรฐานของการติดตามข่าวอย่างมีวิจารณญาณ และการพิจารณาเครดิตของแหล่งข้อมูลก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน การโยงใยคดี sex trafficking ของเจ้าพ่อฮิปฮอปกับทฤษฎีฆาตกรรมอำพราง หรือการล่ารายชื่อคนดังที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอาจจะปลุกเร้าความน่าสนใจของคดีเป็นทวีคูณ แต่บางประเด็นอื้อฉาวที่สร้างสียงกล่าวขวัญในขณะนี้มาในรูปแบบข้อกล่าวหาลอยๆ เมื่อค้นหาว่าต้นตอข่าวมาจากที่ไหน ก็มักลงเอยด้วยคำว่า 'เค้าเล่าต่อกันมา'

หากต้องการข้อมูลที่ดูเป็นรูปธรรมมากขึ้น ก็อาจจะหันมาพิจารณาสกู๊ปจากสื่อชื่อดังที่สร้างเครดิตมายาวนานหลายปี บางเจ้าจะทุ่มงบประมาณสร้างสรรค์บทความแนวสืบสวน การลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างเข้มข้นเคยช่วยเปิดโปงพฤติกรรมคนมีชื่อเสียงมาแล้ว ตัวอย่างชัดเจนคือ The New York Times ที่ตีแผ่การก่ออาชญากรรมทางเพศของ Harvey Weinstein ด้วยการแกะรอยข้อกล่าวหาจากเหยื่อหลายรายนับตั้งแต่ยุค 90s ก่อให้เกิด shockwave ครั้งใหญ่ที่พลิกวงการด้วยความเคลื่อนไหว MeToo


ผู้เปิดประเด็นด้านมืดของ Diddy จนสังคมหันมาให้ความสนใจคือ Cassie เหยื่อความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ แต่บทความสืบสวนของ The Rolling Stone เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ช่วยยืนยันถึงแพทเทิร์นพฤติกรรม abusive ของ Diddy ย้อนไปตั้งแต่ที่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย สื่อดังพยายามติดต่อพยานที่น่าจะเกี่ยวข้องรู้เห็นเรื่องราวมากกว่า 300 คน แต่มีเพียง 50 คนที่ยินยอมบอกเล่าประสบการณ์ มีทั้งครอบครัวของเหยื่อ ผู้เห็นเหตุการณ์และตัวเหยื่อเอง มีความเป็นไปได้ว่า พวกเค้าเหล่านี้อาจจะยินยอมขึ้นให้การที่ศาล รวมถึงพยานที่ยังหวั่นเกรงอิทธิพลของ Diddy จนตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์สื่อ พวกเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมาทำหน้าที่พยานในการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งนี้ก็เป็นได้
 
ไม่ว่าข่าวลือเกี่ยวกับ Diddy จะไปไกลสักแค่ไหน แต่เจ้าหน้าที่รัฐคือผู้รวมรวมหลักฐานและพยานเพื่อจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดจริง  และพวกเราจะน่าจะได้รับรู้ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่จะสร้างความชัดเจนในเวลาอีกไม่นาน เชื่อกันว่า เรื่องเบบี้ออยล์พันขวดยังเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น!


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE