ตะลุยเดี่ยวin Tokyo : ไปขอพรเรื่องความรักที่ศาลเจ้าเมจิกันเถอะ
k.yujeen 12 3สวัสดีค่าสาวๆ จีบันทุกคน
วันนี้มีกระทู้รีวิวสถานที่เที่ยวอีกแล้วค่ะ ┌( ಠ‿ಠ)┘
ครั้งก่อนเราลงกระทู้เดินเที่ยวในย่านอาซะกุสะ ที่วัดเซนโซจิไปแล้ว
วันนี้มาต่อด้วยการเดินเที่ยว ตะลุยเดี่ยวในศาลเจ้าเมจิ
Meiji Shrine หรือ Meiji Jingu (明治神宮) กันบ้าง
สืบเนื่องมาจากกระทู้ก่อนหน้า หลังจากเดินเที่ยวที่วัดเซนโซจิเสร็จแล้ว
เรากับเพื่อนก็มุ่งหน้าไปที่โยโกฮาม่าต่อกันทันที และความจริงแล้วตามแผนเดิมคือ
เราจะไปเดินเที่ยวในโยโกฮาม่า แต่เรากลับลืมของไว้ที่โรงแรมย่านอาซะกุสะ
เลยมีเหตุให้เราต้องลุยเดี่ยวเข้าโตเกียวคนเดียวเพื่อไปเอาของ และไหนๆ ก็นั่งรถไฟมาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว.. ก็เดินเที่ยวในโตเกียวนี่เลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว
และเนื่องจากเป็นทริปมูเตลูแบบลุยเดี่ยว เราเลยเลือกที่จะไปเดินเที่ยวที่ศาลเจ้า
ซึ่งก็คือ วัดเซนโซจิ > ศาลฮิกานอินาริ > ศาลเจ้าเมจิ > ศาลไคจู
(วัดเซนโซจิและศาลฮิกานอินาริ อยู่ในกระทู้นี้ค่ะ )
วันนี้เรามาต่อกันที่ศาลเจ้าเมจิเลยค่ะ ลุยยยยยย
ที่สถานีรถไฟใต้ดิน จะมีจอแผนที่ช่วยเหลือในการเดินทางของเราอยู่
อันนี้เป็นวิธีการเดินทางจากวัดเซนโซจิ ไปยัง ศาลเจ้าเมจิ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 37 นาที (มีการเปลี่ยนขบวน 1ครั้ง)
พอไปถึงสถานี Meiji Jingumae Harajuku แล้ว
ก็เดินไปออกที่ทางออก Omotesando
ออกจากสถานีมาแล้ว ให้เดินไปทางขวามืออีกนิดหน่อย ก็จะเจอทางเข้าศาลเจ้า
เป็นสะพานกว้างๆ ซึ่งตอนเย็นๆ จะมีการแสดงหลายอย่างตรงนี้
ที่เห็นเยอะก็มีทั้งวงดนตรี และนักร้องเปิดหมวก
ร้องเพลงเพราะด้วย บางกลุ่มก็เหมือนจะมีแฟนคลับเป็นของตัวเองด้วย
เราเดินเข้ามาด้านใน เจอเสาโทริขนาดใหญ่ สูงชะลูดเชียว
ถนนด้านในมีขนาดกว้างมาก ต้นไม้ที่อยู่ในสวนก็ต้นสูงใหญ่
ทำให้การเดินเข้า-ออก ไม่มีการติดขัด แม้ว่าคนจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ
เราเดินเข้าไปเรื่อยๆ จะเจอกับถังเหล้าสาเก และถังไวน์
เรียงรายอยู่มากมาย แต่ละถังก็ขนาดใหญ่ๆ ทั้งนั้น
เดินเข้ามาสักระยะ ด้านซ้ายมือจะมีสวน Meiji Shrine Inner Garden
หรือสวน โชบุดะ (菖蒲田)่
ไฮไลท์ของสวนนี้ก็คือบรรดาดอกไอริส หรือ ดอกอายาเมะ
ที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่ดอกไอริสบาน เรื่องดีๆ ก็กำลังจะตามมา
เราก็เข้าไปชื่นชมเรื่องดีๆ กันข้างในบ้างดีกว่า
โดยที่จะเสียค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 500 เยน
ดอกไอริสจะบานในช่วง พฤษภาคม – กรกฎาคม
ในสวนนี้ มีดอกไอริสมากถึง 150 ชนิด เบ่งบานมากถึง 2000 ดอก
ใครอยากมาชมดูความสวยงาม เคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ลองแวะมาดูนะคะ
เราแวะเข้ามาเดินเที่ยวตรงนี้อยู่พักใหญ่ๆ เกือบสองชั่วโมงได้
เพราะสวนด้านในมีขนาดใหญ่จริงๆ และไม่ได้มีแค่ต้นไอริส
ยังมีสวนแบบญี่ปุ่น และสัตว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องคอยมองหาเอาเองอีกด้วย
ต้นไม้ด้านในก็ต้นใหญ่ๆ ให้ความร่มรื่นไปตลอดทาง
แต่อากาศวันนั้นค่อนข้างร้อนและอับลมไปหน่อย
ใครจะไปเที่ยว นอกจากเสื้อกันฝนไว้ป้องกันตัวจากสายฝนที่อาจจะตกในช่วงนั้น
ก็อย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู่เปียกไปด้วยนะคะ เหนียวตัวจริงๆ
นอกจากสวนดอกไอริสแล้ว ด้านในสวนก็ยังมีไฮไลท์อีกอย่างหนึ่ง
นั่นคือ บ่อน้ำของคิโยมาสะ ซึ่งเป็นปากน้ำ (หรือตาน้ำ?)
ที่ไหลไปยังลำธาร และสระน้ำทิศใต้ ที่เราเพิ่งเดินผ่านมา
บ่อน้ำคิโยมาสะที่ว่านี้ อยู่สุดทางเดิน เราแค่เดินตามคนอื่นๆ ไป
ตรงบริเวณบ่อน้ำจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ด้วย
เพราะมีความเชื่อว่า บ่อน้ำแห่งนี้คือบ่อน้ำแห่งขุมพลัง
ที่จะมอบพลังด้านบวก และเพิ่มพลังโชคลาภด้านอื่นๆ อีกด้วย
โดยวิธีก็คือ.. การถ่ายภาพบ่อน้ำเก็บไว้ นั่นเอง... ฟังดูง่ายดีค่ะ 5555
คนอื่นเค้าบอกว่า ใช้มือถือถ่ายรูปบ่อน้ำ แล้วตั้งเป็นภาพหน้าจอ จะช่วยเพิ่มโชคลาภ
แต่เราดันใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายมา ก็ไม่รู้วิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือเปล่า
แต่ก็ได้รูปสวยๆ มาฝากทุกคนด้วยค่ะ ^^ เผื่อใครจะเซฟไปเป็นวอลเปเปอร์ ใช้ได้ทั้ง PC และ มือถือทั่วไป
ตอนแรกที่เราต่อแถว เราต่ออยู่ด้านหลังหนุ่ม(ใหญ่)ชาวฝรั่งอยู่สองคน
ได้ลงไปจุ่มมือในน้ำพร้อมกัน น้ำใสมาก และเย็นมากกกกก ทั้งที่อากาศในวันนั้นร้อนอบอ้าวมาก แต่น้ำตรงบริเวณนั้น เย็นเหมือนน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งเลย สดชื่นจนอยากวักมาล้างหน้า ถ้าไม่ติดที่ว่าเกรงใจเจ้าหน้าที่และคนอื่นๆ ที่ยือรอต่อคิวอีกยาวเหยียดก็คงทำไปแล้ว 5555
ตอนที่เดินออกมาแล้ว หนุ่มฝรั่งก็ถามเราทันทีว่า ได้ถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้มั้ย เผื่อจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น ตอนนั้นเราตอบเค้าไปแค่ว่า น่าจะได้(รูป)นะ แต่สงสัยกับคำพูดของเค้ามาก เลยมาค้นหาข้อมูลเพิ่มทีหลัง ถึงได้รู้ว่า จริงๆ มันคือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง!!
ใครมีโอกาสไปเดินเล่นที่ศาลเจ้าเมจิ ไปขอพรเรื่องความรักและการแต่งงานแล้ว
อย่าลืมแวะมาเพิ่มพลังงานด้านบวก เสริมโชคให้ตัวเองที่บ่อน้ำด้วยนะคะ ^^
เดินออกจากสวน ก็เดินต่อกันอีกหน่อยค่ะ.. ระยะทางที่ต้องเดิน
สามารถกดดูในรูปได้เลย เป็นศาลเจ้าที่ต้องเดินเยอะจริงๆ
ใครจะไป แนะนำว่าใส่รองเท้าที่ซัพพอร์ตการเดิน/วิ่ง จะดีมากกว่า
เพราะเดินเยอะจริงอะไรจริง
ศาลเมจิ จินกู (Meiji jingu / Mejij ) ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรด้านความรักค่ะ
ซึ่งคนญี่ปุ่นก็นิยมไปขอพรที่วัดนี้ไม่น้อย ดังนั้นเครื่องรางจากวัดนี้ (เท่าเราที่รู้มา) คือ เครื่องรางความรักจะขายดีมากๆ (มีแต่คนฝากเราซื้อเครื่องรางความรัก)
เพราะศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีค่ะ สร้างเสร็จปี ค.ศ. 1920 แต่ว่าในปี ค.ศ.1945 ถูกทำลายในช่วงสงคราม และเพิ่งมีการบูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1958 ตอนที่เราไป ด้านในศาลก็ยังมีประกาศว่าอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปี 2019 คงจะเร่งบูรณะให้เสร็จก่อนที่จะถึงวันครบรอบ 100 ปีของศาลเจ้าแน่ๆ เชื่อได้เลยว่าในปี 2020 ต้องมีคนไปขอพรเยอะกว่านี้แน่ๆ
ด้านหน้าของศาลหลัก มีประกาศห้ามถ่ายรูปค่ะ เลยเรารีบเดินไปที่จุดเด่นอีกจุดหนึ่งของศาลเจ้า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ โถงหลัก นั่นก็คือ Meotokusu หรือต้นสามีภรรยา
ต้นการบูรสองต้นนี้ ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้บริสุทธิ์ ห้ามจับหรือลูบต้นไม้เด็ดขาดเลย
(ไม่งั้นอาจจะขอพรแล้วไม่ได้ผล) เลยมีการล้อมบริเวณโดยรอบเอาไว้
การขอพรเรื่องความรักกับต้นสามีภรรยา ใช้ได้ทั้งคนโสดที่อยากขอพรเรื่องเนื้อคู่ และคู่รักที่คบกันมานานแล้วอยากแต่งงาน หรือคู่สามีภรรยาที่อยากให้ครอบครัวมีความสุข
ลองไปทำตามนี้ดูนะคะ (ตอนนั้นเราจำวิธีจากเวปท่องเที่ยวเอานะคะ)
หลังจากไปขอพรที่ศาลเจ้าหลัก (โถงด้านหน้า) เสร็จแล้ว ให้มาขอพรอีกครั้งที่นี่
โดยยืนอยู่ใต้ต้นการบูร หันหน้าไปทางโถงหลัก แล้วขอพรเรื่องความรักค่ะ ซึ่งเชื่อกันว่าทำแบบนี้แล้วจะสมหวังค่ะ ᕕ( ಠ‿ಠ)ᕗ
ลองดูไม่เสียหายนะคะ
และอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ก็คือ เป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานค่ะ
คู่รักบางคู่ หากขอพรแล้วสมหวัง ก็จะกลับมาจัดงานแต่งงานที่นี่
ซึ่งเป็นพิธีแบบชินโต ส่วนใหญ่ที่นี่จะมีการจัดงานอยู่เกือบทุกวัน
แต่ไม่รู้ว่าวันที่เราไปมันเป็นวันฤกษ์ดีหรือยังไง
เพราะมีโอกาสได้ดูขบวนแต่งงานตั้ง 4-5 ขบวนเลยค่ะ
ดูเรียบง่ายแต่ก็หรูหรา อลังการในแบบญี่ปุ่นๆ
จากตอนแรก ที่ขอพรกับต้นการบูรเสร็จแล้ว เราตั้งใจว่าจะไปเขียนคำขอพร
พอเจอกับขบวนแต่งงานแล้ว ถึงกับลืมเรื่องนั้นไปซะสนิท
เจ้าสาวสวยมาก เจ้าบ่าวก็หล่อ เป็นอีกคู่ที่เหมาะสมกันมาก ♥
ขบวนจะจัดไว้ที่ประตูฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็จะเดินข้ามลานกว้างๆ ของศาลเจ้า
วิธีการเดินของเค้าสวยงามมากค่ะ อยากให้มาเห็นกันจริงๆ
โดยเจ้าสาวจะมีพี่เลี้ยง (กิโมโนสีม่วง) คอยดูแลความเรียบร้อยของชุดอยู่ตลอด
แล้วก็มีคนในครอบครัวช่วยประคองระหว่างเดินด้วย
เห็นแล้วอดตื่นเต้นไม่ได้ เป็นพิธีแต่งงานที่เห็นแล้วชวนให้คนอยากแต่งตามไปเลย
วันที่เราไป มีงานแต่งงานหลายคู่มากๆ รูปอาจจะปนๆ กันหน่อยนะคะ
สังเกตได้จากเครื่องหัวของเจ้าสาว จะมีหลายแบบ แต่เราอาจจะลงรูปไม่หมด
เพราะมันเยอะมาก วิ่งตามถ่ายขบวนงานแต่ง ประหนึ่งเค้าจ้างเราไปเป็นตากล้องงั้นแหละ 55555
จริงๆ ที่ฝั่งซ้ายของศาลหลัก (ฝั่งที่แขวนแผ่นไม้เอมะ) จะมีโถงทำพิธีแต่งงาน
ซึ่งสามารถเข้าไปชมด้านในได้ แต่ว่าต้องแต่งกายให้เรียบร้อย และห้ามถ่ายรูปค่ะ
วันนั้นเราแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยสำหรับงานแต่ง เลยไม่กล้าเข้าไปดู
ได้แค่ถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกมาฝากทุกคน หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ
ไว้ถ้ามีโอกาสหน้า จะพาไปเที่ยวอีกค่ะ (ღ˘⌣˘ღ)