รีวิว Chanel Les Beiges Water Fresh Tint ดีจริงหรือถูกสะกดจิต?
Uncle Bank 87 25สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมจะมารีวิว
Chanel Les Beiges Water Fresh Tint
ซึ่งต้องบอกเลยว่าต้านกระแสไม่ไหวจริงๆ
ถูกป้ายยาจนเบลอไปหมดแล้ว เลยไปสอยมาจนได้นะครับ
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
หลังจากทดลองใช้ต่อเนื่องมาซักระยะ เลยมารีวิวให้ดูกันนะครับ
ว่าดีจริงอย่างที่เค้าว่าไหม
หากชอบฟังและดูภาพเคลื่อนไหวของผิว กดดูรีวิวตามลิงค์ข้างล่างได้เลย
หรือถ้าชอบการอ่านมากกว่า ก็เลื่อนลงมาพร้อมกันเลยครับ
สภาพผิวของผมเป็นคนผิวมัน มีปัญหาเรื่องรอยแดง รอยสิวนะครับ
เรามาดูคำเคลมของเค้ากันนะครับ
“Provide fresh sensation for radiant-healthy looking skin with long lasting hydration and comfort.”
คำเคลมเธอดูน่าสนใจมาก ขอหยิบขวดมา selfie เพื่อสัมผัสถึงความ Luxury หน่อย
ราคา 2,800 บาท (ผมซื้อจากduty free สุวรรณภูมิ ราคา 2,380 บาท)
ปริมาณ 30 ml.
เฉดสีที่ซื้อมาคือสี Medium
Packaging
เป็นขวดพลาสติกที่มีหัวปั้ม เป็นแบบสูญญากาศ โดยเมื่อเราปั้มผลิตภัณฑ์ออกมา เค้าจะค่อยๆดันตัวผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเรื่อยๆ เวลาเราใช้หมดก็คือจะหมดเกลี้ยงจริงๆ
นอกจากนี้เรายังจะได้แปรงมาเพื่อด้วยกันอีกด้วย! ซึ่งแปรงจะทำจากขนสังเคราห์ และมีความตัดเฉียงเพื่อรับกับองศาของหน้า แบบนี้จะสะดวกเวลาเราเกลี่ยบนผิวมากขึ้น
คุณภาพของแปรงผมให้อยู่ในระดับโอเค ไม่ได้ “ว้าว อิ่ทซ์อเมซิ่ง” (เสียงยาย่า) เพราะอันที่ผมมียังไม่เนี๊ยบเท่าไหร่ มีขนเด่ๆออกมาด้วย (จากรูปขวาล่าง....เธอผ่านQC มาได้ยังไง?)
คุณภาพของแปรงผมให้อยู่ในระดับโอเค ไม่ได้ “ว้าว อิ่ทซ์อเมซิ่ง” (เสียงยาย่า) เพราะอันที่ผมมียังไม่เนี๊ยบเท่าไหร่ มีขนเด่ๆออกมาด้วย (จากรูปขวาล่าง....เธอผ่านQC มาได้ยังไง?)
เนื้อผลิตภัณฑ์
และเมื่อเราเกลี่ย เจ้าMicro pigment ก็จะแตกตัวมาผสมกับตัวเซรั่ม เพิ่มสีพิกเมนท์ลงบนผิวของเรา
ขอสารภาพว่าตอนก่อนจะตัดสินใจซื้อ เคยไปทดลองเอาเซรั่มที่มีมาผสมรองพื้น ด้วยความงกว่าถ้ามันwork เราจะได้ไม่เสียตัง แต่สรุปคือไม่รอด ไม่ผ่าน เละเทะ เพราะเนื้อเซรั่มกับตัวรองพื้นไม่ยอมผสมกลมกลืนกัน
ขอสารภาพว่าตอนก่อนจะตัดสินใจซื้อ เคยไปทดลองเอาเซรั่มที่มีมาผสมรองพื้น ด้วยความงกว่าถ้ามันwork เราจะได้ไม่เสียตัง แต่สรุปคือไม่รอด ไม่ผ่าน เละเทะ เพราะเนื้อเซรั่มกับตัวรองพื้นไม่ยอมผสมกลมกลืนกัน
สำหรับใครที่ไม่เคยลอง ตอนแรกที่เห็นเนื้อจะรู้สึกถึงความแปลกใหม่ ถึงแม้หน้าตามันจะประหลาดแบบเหมือนอะไรผมไม่พูดแล้วกัน....
แต่ว่า เนื้อผลิตภัณฑ์แบบนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งนะครับ เกลี่ยง่ายแถมเบาสบายผิวและยังชื้นตลอดวันอย่างคำเคลม
มีกลิ่นหอมอ่อนๆแบบผู้ดีสไตล์ Chanel แต่ไม่แรงเท่าพวก CC Cream ทาไปบนหน้าไม่นานกลิ่นจะจางหายไป
แต่ว่า เนื้อผลิตภัณฑ์แบบนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งนะครับ เกลี่ยง่ายแถมเบาสบายผิวและยังชื้นตลอดวันอย่างคำเคลม
กลิ่น
วิธีใช้
ผมจะปั้ม1ปั้มไว้ที่หลังมือ แล้วแต้มครึ่งหน้า จากนั้นนำแปรงที่ให้มามาบัฟเกลี่ยๆให้กลืนไปกับผิว ซึ่งสำหรับผม 1 ปั้มสามารถเกลี่ยได้ครึ่งหน้า (เคยลองทาทั่วหน้าแล้วไม่ทั่ว)
จะสังเกตได้ว่านอกจากจะดูเป็นธรรมชาติแล้วนั้น ยังจะช่วยปรับให้สีผิว
ดูสม่ำเสมอขึ้นมาด้วย รอยแดงข้างจมูกลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ผิวจะดูสุขภาพดีอย่างไร้สาเหตุ
Wear Test
ในการทดสอบนั้น ผมไม่ได้ใช้ primer หรือเซ็ทด้วยแป้งใดๆเพื่อดูประสิทธิภาพของตัว Chanel Les Beiges Water Fresh Tint อย่างเต็มที่
*ขออนุญาตแค๊ปภาพจากในวีดีโอมานะครับ
7 ชั่วโมง (ในอากาศเย็น) ความรู้สึกบนหน้าจะรู้สึกหนึบขึ้นเล็กน้อย ฟีลลิ่งเหมือนวันไหนที่ทาเซรั่มเพิ่มความชุ่มชื้นบนหน้าแล้วแต่งหน้าทับออกจากบ้าน แบบนั้นเลยครับ แต่ว่าไม่ได้ดูสังขยา ไม่ได้คราบ ไม่เละ ไม่อี๊ววววว
พอหมดวันจะสังเกตได้ว่าความมันบนหน้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ T-Zone นี่คืออยู่ในอากาศเย็นของญี่ปุ่นช่วงปลายปีนะครับ โดยไม่ได้ซับมันระหว่างวันเลย
ส่วนที่ลองใช้ที่เมืองไทยคือเปียกฉ่ำตั้งแต่ 8 - 10 ชั่วโมง ฮ่าๆ เพราะอากาศบ้านเรามันร้อนอะเนอะ รวมไปถึงวันนั้นผมทำกิจกรรมนอกห้องแอร์เยอะด้วย จึงอยู่ในสภาพนี้
ภาพเคลื่อนไหวจะมันกว่าในรูปนะครับ แต่ว่าเค้าไม่ได้เละ ไม่ได้ตกหลุมตกร่องจนน่าเกลียดนะครับ
พอทดลองเอากระดาษซับความันออก หน้าก็กลับมาดูดีเหมือนเดิม แต่จะมีเลือนหายไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะครับ
เรามาดูข้อดีข้อเสียกันบ้าง
ตอนลองใช้ที่ญี่ปุ่นคือหน้าดูสุขภาพดีมากกกกฉ่ำโกลว ส่วนตอนใช้ที่ไทยต้องเซ็ทด้วยแป้งถึงจะไม่รู้สึกมันมาก แนะนำสำหรับผู้ชาย หรือเพื่อนๆคนไหนที่ชอบความเป็นยธรรมชาติ ความบางเบา อยากจะ Makeup no makeup ไม่อยากให้โป๊ะ ตัวนี้ตอบโจทย์
แต่ใครสายงานหน้าแน่น หน้าเป๊ะปัง ตัวนี้ไม่ตอบโจทย์ และผมคิดว่าถ้าต้องซื้อมาเพื่อทารองพื้นทับอีกที....มันเกินจำเป็นไปนะ
เอาหละหวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์ในการตัดสินใจของเพื่อนๆนะครับ
นอกจากมีสตางค์แล้วต้องมีสติด้วย
ยังไงเจอกันกระทู้หน้านะครับ
ภาพเคลื่อนไหวจะมันกว่าในรูปนะครับ แต่ว่าเค้าไม่ได้เละ ไม่ได้ตกหลุมตกร่องจนน่าเกลียดนะครับ
พอทดลองเอากระดาษซับความันออก หน้าก็กลับมาดูดีเหมือนเดิม แต่จะมีเลือนหายไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะครับ
เรามาดูข้อดีข้อเสียกันบ้าง
ข้อดี
packaging ดี หรูหรา มีหัวปั้ม และได้แปรงด้วย
มีความ Luxury มีคุณค่าทางจิตใจเพราะนี่คือ Chanel (อย่าลืมเอาลิ้นออกมา)
ทาแล้วผิวดูธรรมชาติ ผิวหน้าสุขภาพดี โดยไม่โป๊ะไม่หนา
ผู้ชายใช้แล้วรอด
มอบความชุ่มชื้นยาวนาน
ข้อเสีย
ราคาแพง
เปลือง เพราะต้องใช้ 2 ปั้มถึงทาทั่วหน้า
ควรใช้คู่แปรง เพราะใช้นิ้วเกลี่ยแล้วสีจะไปติดที่นิ้วแทน ยิ่งเปลือง
การปกปิด Light coverage ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว หรือต้องการปกปิดจุดบกพร่องต่างๆบนใบหน้า
ไม่ควบคุมความมัน (แต่ผมทดลองเซ็ทด้วยแป้งฝุ่นแล้วดีขึ้นนะครับ)
transfer เห็นบางๆเหมือนไม่แต่งแบบนี้ เอากระดาษซับหน้าทีติดสีมาเยอะเหมือนกันนะตัวเธอ เพราะฉะนั้นใครใส่เสื้อขาวต้องระวัง
สรุป
หลังจากใช้ติดต่อกันมานะครับ รู้สึกชอบมาก ถึงแม้เค้าจะมีข้อเสียอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่ผมว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นมันมาหักล้างข้อเสียต่างๆออกไปเลย สมแล้วที่หลายๆคนป้ายยากันนะครับตอนลองใช้ที่ญี่ปุ่นคือหน้าดูสุขภาพดีมากกกกฉ่ำโกลว ส่วนตอนใช้ที่ไทยต้องเซ็ทด้วยแป้งถึงจะไม่รู้สึกมันมาก แนะนำสำหรับผู้ชาย หรือเพื่อนๆคนไหนที่ชอบความเป็นยธรรมชาติ ความบางเบา อยากจะ Makeup no makeup ไม่อยากให้โป๊ะ ตัวนี้ตอบโจทย์
แต่ใครสายงานหน้าแน่น หน้าเป๊ะปัง ตัวนี้ไม่ตอบโจทย์ และผมคิดว่าถ้าต้องซื้อมาเพื่อทารองพื้นทับอีกที....มันเกินจำเป็นไปนะ
เอาหละหวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์ในการตัดสินใจของเพื่อนๆนะครับ
นอกจากมีสตางค์แล้วต้องมีสติด้วย
ยังไงเจอกันกระทู้หน้านะครับ
ขอบคุณครับ