ปัญหาอิทธิพลมืดค่ายยักษ์ใหญ่วงการK-Pop
candy 37 13
การหวนคืนสู่วงการ K Pop ของ Girls' Generation ย่อมสร้างความตื่นเต้นยินดีให้เหล่าโซวอนที่ร่วมสนับสนุน girl group ในตำนานอย่างเหนียวแน่น แม้พวกเธอจะผ่านการเดบิวต์มาถึง 15 ปี สาวๆต้องเผชิญกับอุปสรรคมาสารพัด ไม่เพียงแต่แรงกดดันมหาศาลที่ต้องแบกรับเพื่อรักษาชื่อเสียงของไอดอลผู้สมบูรณ์แบบ ก็ยังมี scandal หนักหนาสาหัสจนกลายเป็นความทรงจำโหดร้าย กว่าจะก้าวมาครอบครอง status ไอดอลในตำนานที่ได้รับความรักจากคนมากมาย
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเธอจะแยกย้ายไปทำงานตามถนัด ทั้งออกผลงาน solo จับมือกับศิลปินคนอื่นฟอร์มวงใหม่ขึ้นมา งานแสดง งาน DJ แต่เมื่อกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ได้ตอกย้ำถึงความสำเร็จจนถูกยกย่องเป็นต้นแบบให้กับไอดอลใน generation ใหม่
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเธอจะแยกย้ายไปทำงานตามถนัด ทั้งออกผลงาน solo จับมือกับศิลปินคนอื่นฟอร์มวงใหม่ขึ้นมา งานแสดง งาน DJ แต่เมื่อกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ได้ตอกย้ำถึงความสำเร็จจนถูกยกย่องเป็นต้นแบบให้กับไอดอลใน generation ใหม่
15 ปีของ Girls' Generation อาจจะเป็นเป็นเส้นทางในฝันของศิลปินK-Popหลายคน เพราะพวกเราต่างรู้กันว่า ที่ผ่านมาไอดอลคืออาชีพที่มีอายุขัยไม่มากนัก แม้จะเป็นวงที่ประสบความสำเร็จในจุด peak จนเกิดกระแสคลั่งไคล้ไปทั่ว แต่เมื่อเวลาผันเปลี่ยนไป ค่ายดนตรีจะส่งคลื่นรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่าพร้อมกับ concept ที่แปลกใหม่ดึงดูดความสนใจจากแฟนๆจนวงที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกค่อยๆเงียบหายไปเป็นสัจธรรมของวงการนี้ สำหรับไอดอลในวัยเลข 3ที่สามารถต่อยอดความสำเร็จจนโลดแล่นในวงการได้ไม่สะดุดย่อมสื่อถึงความแกร่งกล้า เพราะนอกจากพวกเค้าจะต่อสู้กับแรงกดดันที่มาพร้อมกัยชื่อเสียงเงินทอง ก็ยังมีด้านมืดที่ถูกกล่าวขานมานาน นั่นคือด้านมืดของอิทธิพลนายทุน หรือค่ายดนตรีผู้ที่ปั้นให้ไอดอลโด่งดังนั่นเอง
ในขณะที่การ come back ของ SNSD ได้กลายเป็น viralที่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดาจากแฟนๆ แต่ด้วยจังหวะเวลาที่คาบเกี่ยวกับการเข้าร่วมแข่งขัน survival showในประเทศจีนของ Jessica Jung ก็ทำให้หลายคนจับตามองเช่นเดียวกัน
Jessica ไม่ได้ใช่สมาชิก SNSD ผู้เดียวที่ยุติสัญญากับ SM entertainment แต่ที่ผ่านมา โลกinternet ก็มักเสียงวิเคราะห์ถกเถียงถึงต้นตอสาเหตุที่เธอไม่ไปต่อกับวงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี มันเกิดจากการตัดสินใจของเธอเองที่จะสยายปีกออกไปเพื่อไล่ตามความฝันบนเส้นทางใหม่ หรือเป็นเพราะว่าเธอเป็นเหยื่อของ abuse of power ซึ่งเป็นปัญหาปลูกรากฝังลึกในสังคมเกาหลี ?
ธุรกิจ fashion line ที่กำลังเติบโตของ Jessica ถูกยกมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอต้องลาจากGirls’ Generation’s โดยมีคำชี้แจงฝ่ายต้นสังกัดว่า การจัดสรรเวลาให้กับธุรกิจทำให้ Jessica ห่างหายไปจากการเข้าร่วมกิจกรรมของวง แม้ว่าจะมีการพูดคุยเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้งก็ไม่สามารถจัดการให้ลงตัว และในที่สุด Girls’ Generation’sก็ต้องก้าวต่อไปด้วยสมาชิกที่เหลืออีกแปดคน แต่นั่นสวนทางจากมุมมองของ Jessica ที่ยืนยันว่า เธอถูกบีบให้ออกจากวง แม้ว่าจะขอคำปรึกษาจากต้นสังกัดและเพื่อนร่วมวง ทั้งยังได้รับอนุญาตให้เปิดตัว fashion line แต่เพียงหนึ่งเดือนต่อมา ท่าทีของเพื่อนๆกลับเปลี่ยนแปลงไป ระหว่างการเข้าประชุมเพื่อหาทางออก พวกเค้ายื่นคำขาดให้เธอเลือกระหว่างจะปิดตัวธุรกิจหรือจะยุติบทบาทกับGeneration’s และ Jessica ยืนยันว่า เธอไม่ได้ละทิ้งการทำงานไอดอล แต่จะให้เลิกทำ fashion line ไปดื้อๆก็ไม่ได้ เพราะเธอลงชื่อสัญญากับหุ้นส่วนไว้แลล้ว เธอจึงจำใจต้องจาก Generation’sไป ทั้งๆที่ไม่ได้เตรียมใจคิดเรื่องออกจากวงมาก่อน
Jessica อาจจะไม่ได้หายหน้าหายตาไปจากวงการ K-Pop และผลงาน solo ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากแฟนๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีชาวเน็ทอีกไม่น้อยที่มองเธอด้วยสายตาอคติ การถอนตัวจาก girl group ที่ได้รับความนิยมสูงถึงขั้นที่มีคำว่า 'แห่งชาติ' เป็นคำบรรยายนั้นย่อมตามมาพร้อมกับกระแสจับผิดจากรอบข้าง รวมถึงข่าวลือต่างๆนานา
- สมาชิกในวงหลายคนไม่พอใจกับการที่ธุรกิจของ Jessica ส่งผลกระทบต่อการทำงานและ vote ให้เธอลาออก ( Dispatch ตีข่าวเรื่องเธอถูกเพื่อนๆ boycott แล้วลบออกภายหลัง)
- คำกล่าวหาว่าเธอต้องการจะสละโสดกับแฟนหนุ่มจนละทิ้งความรับผิดชอบการร่วมงานในฐานะสมาชิก Generation’s
- แต่ก็มีผู้ที่โอนเอียงเชื่อไปทาง Jessica ว่า เธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
- หลายคนยังเชื่อว่า เธอไม่ได้รับโอกาสให้แสดงความสามารถผ่านรายการ TV มากนัก เพราะมี SM อยู่เบื้องหลัง
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วหลายปี แต่ก็ยังเป็นเรื่องราวค้างคาใจแฟนๆ จนกระทั่งล่าสุดเมื่อ Jessica ได้ประพันธ์นวนิยาย Bright ที่ถ่ายทอดชีวิตของไอดอลสาวผู้โด่งดังแห่งวง Girls Forever ก็ทำให้ชาวเน็ทต้องโจษจัน เมื่อ storyline หนึ่งเผยถึงความพลิกผัน เมื่อนางเอกหันมาสนใจธุรกิจfashion แต่ภายหลังเพื่อนร่วมวงกลับยื่นคำขาดให้เธอเลือกเอาระหว่างการเป็นสมาชิก girl group ชื่อดังระดับโลกกับการทำธุรกิจ
reaction ของชาวเน็ทนั้นเป็นไปในทางเดียวกัน...นี่มันไม่ใช่นวนิยายที่สร้างขึ้นจากจินตนาการซะแล้ว!
คำบรรยายในหนังสือที่ว่าด้วยการกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่จะไม่ได้มีภาพถ่ายสมาชิกทั้ง 9 คน อีกต่อไปดูจะสอดคล้องกับประเด็นร้อนแรงจากรายการ You Quiz On The Block ที่เชื้อเชิญGirls' Generation ทั้ง 8 คนมาพูดคุยอย่างสนุกสนาน แต่มาสะดุดตอนที่โชว์ภาพจากในอดีตที่กำลังpeak แต่ภาพของJessica กลับถูกรีทัชออกไปราวกับเธอไม่ได้มีตัวตนในประวัติศาสตร์ของวง
ชาวเน็ทบางคนนำภาวะหนี้สินของแบรนด์ Blanc & Eclare ที่เคยตกเป็นข่าวฉาวมาโจมตี Jessica ว่า เธอพยายามสร้างกระแสเพื่อขายหนังสือด้วยการ play victim ด้วยการชี้ว่าเป็นความผิดของอดีตเพื่อนร่วมวง และตักเตือนให้เธอปล่อยวางอดีตไปได้แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีผู้ที่เชื่อว่า เธอไม่ได้มีโอกาสออกรายการ TV เพื่อโพรโมทผลงานมากนักก็เป็นเพราะใครบางคนไม่ปล่อยวางเช่นเดียวกัน!
สำหรับวงการK-Pop ที่ผงาดขึ้นมากวาดความนิยมจากทั่วโลก ข้อปฏิบัติเช่นนี้อาจจะสวนทางความรู้สึกของแฟนๆนานาชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อว่า นี่เป็นอุตสาหกรรมที่พัฒนาอย่างกระโดดจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่แนวคิดค่านิยมที่เข้มงวดถึงขนาดลบเอาภาพอดีตสมาชิกออกไปนั้น อาจจะไม่สื่อถึงสปิริตแต่อย่างใด หรือจะเป็นแฟน K-Pop ที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันสิ้นเชิงอย่างใน USA จากกรณีที่ไอดอลบางคนยุติสัญญาและหันไปทำงาน solo ทิ้งให้สมาชิกในวงต้องเจ็บใจ แม้จะเลี่ยงคำวิจารณ์ในแง่ลบไปไม่ได้ แต่กลับประสบความสำเร็จยอดขายเปรี้ยงปัง และพวกเค้ายังมีอิสระในการพูดถึงประเด็นความแตกแยก รวมถึงเรียกร้องให้สังคมเคารพในการตัดสินใจในการเลือกเส้นทางของตัวเอง
แฟนๆ K- Pop อาจจะเคยได้ยินเสียงร่ำลือมาก่อนว่า Jessica ต้องพบกับอุปสรรคในการโพรโมทผลงาน solo หลังจากถอนตัวจากวง SNSD แบบ 'จบไม่สวย' กับต้นสังกัดยักษ์ใหญ่ เนื่องจากแฟนๆไม่ค่อยจะได้เห็นเธอปรากฏตัวในรายการแสดงดนตรีชื่อดัง ซึ่งเป็น platform สำคัญที่บรรดาไอดอลใช้จุดกระแสโพรโมทผลงาน
แม้ว่าจะไม่มีการกล่าวหากันตรงๆ แต่ทั้งสื่อและชาวเน็ทต่างตีความคำพูดของ Jessica ใน fan meeting ย้อนไปเมื่อปี 2016ว่าสื่อถึงการถูก boycott หลังจากใครบางคนส่งคำถามถึงเธอว่า ไม่อยากจะไปออกรายการดนตรีทาง TVแล้วหรือไร? เธอหัวเราะแห้งๆและต้องครุ่นคิดกับคำถามที่ไม่สามารถตอบออกมาตรงๆได้ จนมาลงเอยกับคำตอบที่เหมือนจะละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า
"ฉันก็อยากจะไปออกรายการมากๆเหมือนกันค่ะ ถ้าพูดแบบนี้แล้วก็คงเข้าใจกันนะว่าหมายความว่าอะไร"
เสียงพึมพำตอบรับด้วยความเสียดายจากแฟนๆนั้นอาจจะตรงใจกับอีกหลายคน ใครกันล่ะที่จะมี power ในการกีดกันไม่ให้ไอดอลโพรโมทงานได้อย่างเต็มที่?
KBS ให้เหตุผลว่า แบนเพลงหนึ่งของ Jessica เพราะในเนื้อเพลงของเธอพูดถึงแบรนด์รถยนต์ Fordและ Mercedes-Benz แต่ก็ไม่ทำให้ชาวเน็ทหยุดความสงสัยได้ เพราะเหตุการณ์ที่ไอดอลถูก boycott จากรายการ TV เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
มีเสียงแย้งว่า SM กับ Jessica ไม่ได้ขัดแย้งกันรุนแรงขนาดที่ต้องใช้การต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรม ผลงานในฐานะศิลปิน solo ก็มีแฟนๆต้อนรับอย่างอบอุ่น เสียงกล่าวหาว่าเธอเป็นเป้าหมายที่อดีตต้นสังกัดตามจไล่ต้อนก็น่าจะเป็นเพียงข่าวลือ
จนกระทั่งที่เธอตัดสินใจเข้าร่วม Sisters Who Make Waves survival show สัญชาติจีนและแสดงผลงานได้ดีจนถูกวางตัวให้เป็นกลุ่มไอดอลที่จะได้เดบิวต์ ปฎิกิริยาจากแฟน K-Pop นั้นหลากหลายเลยทีเดียว หลายคนมองว่า เธออยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าจะมาประกวดรายการเฟ้นหาไอดอล บ้างก็โจมตีว่า เธอจะทำให้ภาพลักษณ์ของ Girls' Generation ดูแย่ลง (แม้จะไม่ใช่ memberแล้ว) แต่ก็มีเสียงโต้แย้งว่า ผู้เข้าแข่งขันในรายการนี้เต็มไปด้วยศิลปินชื่อดังทั้งนั้น และเชื่อว่าเส้นทางใหม่ในวงการ C-Pop จะทำให้เธอหวนสู่ความรุ่งโรจน์ หลังจากที่ Jessica ทุ่มเทแสดงอย่างสุดตัวจนได้รับคำชื่นชม เธอถึงกับซาบซึ้งใจกับกำลังใจที่หลั่งไหลเข้ามาจนร่ำไห้กลางรายการ
เรื่องนี้ก็ได้จุดกระแสความสงสัยให้กับชาวเน็ทได้ไม่น้อย ทั้งเหตุผลที่เธอตอบรับเข้าร่วมประกวดในจีน ประเทศที่จำกัดการโพรโมทผลงานจากคนดังเกาหลีในช่วงไม่กี่ปีมานี้จากชนวนความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งยังควบคุมการแสดงออกของ fandomตามsocial media ในขณะที่มีYoutuber ออกมาวิเคราะห์ว่า เธอจะกอบโกยรายได้มากมายจากการก้าวสู่เส้นทางความเป็นดาวในวงการ C-Pop แต่แฟนๆหลายคนเชื่อว่า เธอได้รับการปฏิบัติแบบกึ่ง blacklist ในเกาหลีใต้มาหลายปี ย่อมไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะกลับมาสร้างความโด่งดัง
หลายๆครั้งที่แฟนๆพยายาม call out ต้นสังกัด เมื่อตั้งข้อสงสัยว่าไอดอลขวัญใจพวกเค้าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แม้แต่เรียกร้องให้ไอดอลดังก้าวออกมาจากค่ายเดิม เพราะเชื่อมั่นว่า พวกเค้าจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยไม่ต้องทุกข์ใจกับเรื่องpower harassment
แต่เมื่อลองใคร่ครวญกันดีๆ จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า การเดินออกจากต้นสังกัดที่ทรงอิทธิพลนั้นตามมาด้วยความเสี่ยงเช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นการจากกันแบบแตกหักรุนแรง สำหรับวงการบันเทิงที่มีด้านมืดจนถูกขุดคุ้ยมาแล้วหลายครั้ง วิธีการการตัดอนาคตศิลปินนั้นไม่ใช่เรื่องชวนแปลกใจเลย
จอง ชางฮวาน อดีต CEO ฝ่าย Culture & Contents ของ SM ได้ชี้ว่า scandal ที่ทำลายชื่อเสียงของไอดอลคือบทเรียนที่สำคัญสำหรับไอดอลคนอื่นๆที่ต้องตระหนักถึงพฤติกรรมต้องห้าม
"สิ่งที่เป็นครูที่ดีที่สุดสำหรับไอดอลรุ่นใหม่คือการได้รับรู้ว่าไอดอลที่เผชิญข่าวฉาวโฉ่จนต้องหายไปจากวงการ"
ที่ผ่านมานั้นผู้คนต่างมองว่า ต้นสังกัดได้ทำหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของศิลปินเพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน แต่อาจจะมีบางครั้งที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายทุนทรงอิทธิพลจะเป็นผู้วางแผนทำลายอนาคตของไอดอลที่ไม่เชื่อฟังซะเอง? เรื่องแบบนี้จะเป็นเพียงพล็อทละครหรือ webtoon หรือว่ามีมูลความจริงที่รู้ๆกันในวงการ เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ
คำถามค้างคาใจจากโลก Internet ว่า Jessica เจอ blacklist หรือไม่นั้นถูกจับไปเปรียบเทียบกับกรณีของ JYJ สามหนุ่มที่ต่อทางกฎหมายกับ SM entertainment จนสามารถปลดปล่อยตัวเองจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่หลายคนเรียกว่า'สัญญาทาส' (noye gyeyak) แม้ว่าพวกเค้าจะมี fanbase ที่แข็งแกร่งจากช่วงที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังเป็นประวัติการณ์กับ TVXQ แต่แม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสัญญากับ SM เพื่อรับรองว่า ทั้งต้นสังกัดเก่าและต้นสังกัดใหม่จะไม่ยื่นมือไปเกี่ยวข้องกันอีก แต่ผู้คนกลับโจษจันกับเรื่อง blacklist ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง ราวกับว่าไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับอิทธิพลค่ายดังได้ แม้พวกเค้าจะสามารถสร้างความสำเร็จในในญี่ปุ่น แต่ความอัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถหวนคืนสู่วงการบันเทิงเกาหลีได้อย่างเต็มตัวโดยไม่ถูกอำนาจมืดกีดกัน ก็ทำให้จุนซูประกาศกลางคอนเสิร์ตทั้งน้ำตาว่า
"อย่างน้อย ตอนที่ผมได้ปล่อยผลงานใหม่ออกมา ขอแค่สักคครั้งหรือสองครั้งก็ยังดี ผมอยากจะร้องเพลงของผมทาง TV ผมไม่ได้คาดหวังจะเป็นผู้ชนะรายการ แต่มันช่างเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน"
ใช่แล้วล่ะ ไอดอลที่เคยถูกยกให้เป็นสมาชิก boyband ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคบุกเบิกของKorean Wave ต้องหายหน้าหายตาไปจากรายการ TV เกาหลีร่วมๆสิบปี และถึงขนาดที่ต้องแสดงความสำนึกที่ช่อง EBS ให้โอกาสเขาได้ไปแสดง ซึ่งนับเป็นเวลาถึงหกปีหลังจากแยกตัวจาก SM แต่ก็ไม่ได้รับเชิญไปออกรายการอื่นๆอีกหลายปี ทั้งๆที่ได้ร่วมงานกับศิลปินชั้นนำของเกาหลีและแสดงละครเวทีติดหลายปีจนคว้ารางวัล
"อย่างน้อย ตอนที่ผมได้ปล่อยผลงานใหม่ออกมา ขอแค่สักคครั้งหรือสองครั้งก็ยังดี ผมอยากจะร้องเพลงของผมทาง TV ผมไม่ได้คาดหวังจะเป็นผู้ชนะรายการ แต่มันช่างเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน"
ใช่แล้วล่ะ ไอดอลที่เคยถูกยกให้เป็นสมาชิก boyband ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคบุกเบิกของKorean Wave ต้องหายหน้าหายตาไปจากรายการ TV เกาหลีร่วมๆสิบปี และถึงขนาดที่ต้องแสดงความสำนึกที่ช่อง EBS ให้โอกาสเขาได้ไปแสดง ซึ่งนับเป็นเวลาถึงหกปีหลังจากแยกตัวจาก SM แต่ก็ไม่ได้รับเชิญไปออกรายการอื่นๆอีกหลายปี ทั้งๆที่ได้ร่วมงานกับศิลปินชั้นนำของเกาหลีและแสดงละครเวทีติดหลายปีจนคว้ารางวัล
แม้ว่าพวกเค้าจะยุติสัญญาได้ถูกต้องตามกฎหมาย และถูกยกให้เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการผ่านกฏหมายเพื่อต่อต้านการ blacklist ศิลปินจาก 'บุคคลที่ 3' แต่ในทางปฏิบัติ ตลอดหลายปีมานี้JYJ ก็ยังไม่สามารถสานต่อความสำเร็จที่บ้านเกิดได้อย่างเต็มที่ แจจุงอาจจะดูไปได้สวยแบบไม่แผ่ว ระหว่างที่สร้างชื่อโด่งดังที่ญี่ปุ่นก็ยังสลับมารับงานแสดงที่บ้านเกิด ส่วนงานดนตรีก็ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 มาแล้ว แต่กว่าเขาจะได้มาร้องเพลงในรายการ TV เกาหลีได้ก็ผ่านไปถึงสิบปี จนทำให้แฟนๆตื้นตันไปยกใหญ่! และหลายคนก็ยังแสดงความคาดหวังต่อไปว่า การปล่อยอัลบั้มเต็มในอีกไม่นานนี้ เขาจะหวนคืนสู่ music show ชื่อดังเพื่อประชันความสามารถกับไอดอลรุ่นน้องหรือไม่
ถึงกระนั้น มันก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับศิลปินที่มีศักยภาพสูง หากไร้เรื่อง blacklist แล้ว พวกเค้าอาจจะไปได้ไกลกว่านี้จนพวกเรานึกไม่ถึงก็เป็นได้
ที่ผ่านมา พวกเราอาจจะมองว่า มีเฉพาะศิลปินที่ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่หรือทำผิดกฎหมายเท่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับการถูก ban แต่ตัวอย่างของไอดอลที่ต้องฝ่าฟันกับอำนาจของค่ายยักษ์ใหญ่ก็อาจจะทำให้เกิดความระแวงสงสัยว่า หากไอดอลคนโปรดของคุณเกิดข้อพิพาทจนแตกหักกับต้นสังกัด เปลี่ยนจากลูกรักมาเป็นหนามยอกอก มีความเสี่ยงมากเพียงใดที่พวกเค้าจะถูกกีดกันไม่ให้ประสบความสำเร็จในวงการ?
แฟนๆ K-Pop อาจจะตั้งความหวังว่า ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอาจจะทำให้สังคมเรียกร้องการบริหารงานที่โปร่งใสในอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้มากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่แฟนๆสังเกตเห็นสัญญาณความหมกเม็ดไม่เป็นธรรม ที่ส่อถึง abuse of power ก็จะร่วม call out ถึงขนาดร่วมลงชื่อเพื่อกดดันให้เอาผิดกับผู้บริหารมาแล้ว นี่อาจจะแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
แต่อีกนานเท่าใดกันล่ะ ที่ความโปร่งใสอย่างแท้จริงจะมาถึง?