จริงหรือที่กระแสต่อต้าน Rachel Zegler เกิดจาก Hollywood's Annoying Woman Syndrome ???

24 13
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการสร้าง Snow White Live-Action  ของ  Disney นั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นที่มีคนปล่อยข่าวออกมาซ้ำๆว่า  ไม่เพียงแต่ค่ายยักษ์ใหญ่จะเลื่อนตารางส่งหนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ตกลงใจปลด Rachel Zegler ออกจากบทนางเอกและ cast นักแสดงที่ดูตรงตามต้นฉบับเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อภาวะขาดทุนมหาศาล  โดยเฉพาะเว็บเพจที่อ้างว่าได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข่าววงใน  อย่างไรก็ตาม สื่อวิจารณ์หนังอย่าง Cinimablend ก็ได้ชี้ว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็นการขยายความเกินจริง  กระทั่งตัว Rachel เอง ก็โพสต์ข้อความทาง X ที่ฟังเหมือนการประชดประชันขำๆว่า  "ข่าวลือนั้นเป็นความจริง ฉันตัวเล็กพอๆกับแอปเปิลสามลูก"  




 

ดูเหมือนว่า ข่าวเรื่องปลดนางเอกลูกครึ่ง Colombian-Polish จากบท Snow White จะไม่แตกต่างกับช่วงที่ Amber Heard เผชิญกับแรงกดดันจาก social media เมื่อเกิดเสียงเรียกร้องจากแฟนหนังและข่าวลือออกมาหลายครั้งว่า นักสร้างหนังตัดสินใจตัดเธอออกจาก Aquaman แต่ลงท้ายแล้ว เธอก็ยังได้ร่วมแสดงในหนัง superhero ฟอร์มยักษ์ อย่างไรก็ตาม กระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นก็สั่นคลอน Live-Action project นี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า หนังถูกเลื่อนฉายยาวเป็นปีนั้นไม่ได้มีสาเหตุจากการประท้วง SAG-AFTRA เพียงเท่านั้น แต่ Disney พยายามปรับเปลี่ยนทิศทางของหนังเพื่อสร้างแรงดึงดูดใจแฟนๆอีกครั้ง และความพยายามนี้อาจจะทำให้กลุ่ม 'anti-woke' ที่เปิด war ดุเดือดมาตั้งแต่ประกาศชื่อนักแสดงได้หันมาเปิดใจยอมรับ


แต่ท่ามกลางเสียโจมตีว่า Rachel ไม่มีความเหมาะสมต่อบท Snow White อย่างสิ้นเชิง และเธอสมควรที่จะได้รับบทเรียนจากการแสดงออกที่ขัดใจผู้คน ก็มีนักวิจารณ์บางคนออกมาตั้งข้อสังเกตว่า เธอคือเหยื่อรายใหม่ของสิ่งที่เรียกว่า Annoying Woman Syndrome ที่เคยบีบคั้นสาวคนดังอย่าง Anne Hathaway และ Taylor Swiftมาก่อน

Annoying Woman Syndrome มีรูปแบบเช่นไร? จริงหรือที่ Rachel เป็นเหยื่อของสิ่งนี้? มาติดตามกับเราได้เลยค่ะ

เมื่อได้เห็นคนจับคำว่า syndrome มาประยุกต์ใช้เป็น slang โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการโรคก็คงรู้ได้ทันทีว่า เป็นการเล่นคำแบบประชดประชัน เช่น princess syndrome และ special snowflake syndrome ซึ่งไม่ได้มีความหมายในทางที่ดีนัก

ส่วนที่มาของ annoying woman syndrome นั้นก็สื่อความหมายแทบจะตรงตัว จากการบรรยายถึงผู้หญิงมีลักษระท่าทางและการแสดงออกที่ขัดหูขัดตาหลายคน ถึงจะพูดจาโชว์พลังบวกสักแค่ไหน ก็ถูกจับผิดว่าดูน่ารำคาญ ไปถึงขั้นที่มีคนที่ยอมรับว่า แได้ค่เห็นก็รู้สึกหมั่นไส้ทั้งๆไม่มีเหตุผลชัดเจน หากจะให้อธิบายให้เห็นภาพ ก็ต้องย้อนไปที่กระแสความเกลียดชัง Hathahate ที่ Anne Hathaway ต้องฝ่าฟันในช่วง Oscar campaign เมื่อหลายปีก่อน ท่าทางมุ่งมั่นและการแชร์ประสบการณ์ที่ต้องทุ่มเทเพื่อแสดงบท Fantine ใน Les Misérables ได้ไปกระตุกต่อมความรำคาญของคนกลุ่มหนึ่ง นำมาด้วยคำกล่าวหาว่า เธอเป็นนางเอกหลงตัวเองที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง ไม่ยอมปิดบังความทะเยอะทะยานที่อยากได้รางวัล Oscar จนตัวสั่น แม้แต่ speech ในการขึ้นรับรางวัลและการจ้องมองเจ้ารูปปั้นสีทองในมือก็ถูกตีความออกมาว่า ดัดจริตและใช้คำพูดประดิษฐ์น่าขนลุก รวมถึงสื่อเองก็ตามน้ำรุมแดกดันเธอไปด้วย แม้เธอจะรวบรวมกำลังใจและเมินแรงเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลและก้าวสู่สถานะนางเอกคนโปรดของมหาชนนปัจจุบัน แต่แรงกดดันในตอนนั้นนับว่าหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว





annoying woman syndrome ยังปรากฏอยู่ในผลงานผ่านจอที่โด่งดัง อย่าง Rachel Berry แห่ง Glee ที่ Lea Michel สวมบทบาทเด็กการละครที่ถูกรุมเกลียด Reese Witherspoon ในบท Tracy Enid Flick แห่ง Election หรือแม้แต่บท iconic อย่าง Hermione Granger แม่มดผู้เก่งกาจด้านการเรียน และไม่หวั่นที่จะเปิดเผยสติปัญญา แต่กลับเริ่มต้นชีวิตในโรงเรียนผู้วิเศษอย่างเศร้าหมองเพราะเธอแทบไม่มีเพื่อน

แต่กระแสต่อต้านในตัว Rachel Zegler นั้นจะเข้าข่าย syndrome หรือไม่??

ฝั่ง anti มั่นใจว่า เธอทำตัวเองล้วนๆ 
แต่ฝั่งเห็นต่างกลับเชื่อว่า  เธอเป็นเหยื่อของอคติของผู้คนที่ไม่ปลื้ม casting ที่ห่างไกลจากต้นฉบับ จนทำให้ตีความคำพูดของเธอในแง่ลบจนสถานการณ์บานปลาย


Rachel กับภาพลักษณ์ 'Thetre Kids' Stereotype ที่ผู้คนมีอคติ


ก่อนที่จะได้รับการคัดเลือกให้แสดงเป็นเจ้าหญิงสุด iconic จากการ์ตูนดังในปี 1937 Rachel ได้พิสูจน์ฝีมือในการแสดงและขับร้องจนถูกเปรียบให้เป็นนางเอกคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง การแจ้งเกิดจาก West Side Story นับเป็นผลงานที่ทำให้ profile ของเธอดูสวยงาม เพราะตัวเธอที่ยังเป็นเด็กสาววัยเพียง 16 ปีได้เอาชนะคู่แข่งนับสามหมื่นคนจาก audition และถือเป็นการการันตีจาก Steven Spielberg พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์ เรียกได้ว่า อนาคตสดใสได้รออยู่ไม่ไกลแล้ว


ก่อนที่จะสร้างชื่อเสียงใน Hollywood   Rachel ได้ฝึกปรือฝีมือด้าน  musical กับคณะละครเวทีมาตั้งแต่ยังเป็นสาววัยใส และเป็นดาวเด่นจากบทนำมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงบทเจ้าหญิง Disney นั่นคือ  Bell และ Ariell  มาแล้ว   นั่นหมายความว่า เธอมีภาพลักษณ์ของ  Theatre Kid มาแต่ไหนแต่ไร  แต่แม้ว่า  มีนักแสดงดังที่ผ่านประสบการณ์ในชมรมการแสดงในสมัยเรียน   พวกเค้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง stereotype ในแง่ลบไปได้  เพราะเมื่อกล่าวถึง theatre kid แล้ว ก็ทำให้ถูกอคติว่า เป็นกลุ่มเด็กการละครที่มีความสามารถและกล้าแสดงออกไปจนถึงขั้น 'มั่นหน้า'  อินกับการแสดงละครเวทีจนวันๆหนึ่งต้องใช้บทพูดหรือร้องเพลงขึ้นมาในบทสนทนาจนดูแปลกแยก  และอาจแสดงพฤติกรรมขัดแย้งความรู้สึกคนอื่นแบบ out of touch   ทั้งยังทะเยอะทะยานเพราะเคยชินกับการประชันแข่งขันเพื่อบทเด่นมาตลอด   และมีคำยืนยันจากชาวเน็ทที่มีประสบการณ์พบเห็นพฤติกรรมน่ารำคาญของ theatre kids  มาแล้วมากมาย จนมีคนลงความเห็นว่า  การเหมารวมเรื่อง theatre kids นั้นมีต้นสายปลายเหตุ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคนรอบข้างจะเกิดแรงเกลียดชังก่อตัวในใจ แม้จะรู้ว่า ไม่ควรตัดสินคนเพียงเพราะการเข้าร่วมชมรวมการแสดง และย่อมมี theatre kids ดีๆปะปนกับคนที่ดูน่ารำคาญ แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี
เมื่อ Rachel คว้าบทนำในหนัง West Side Story ย่อมเป็นการเอื้อมถึงความสำเร็จที่ theatre kids จำนวนมากเฝ้าฝันใฝ่  เธอคือเด็กมัธยมที่ได้ร่วมงาน musical กับผู้กำกับระดับตำนาน  แม้ว่าผลงานของเธอจะยังไม่ไปถึงระดับเข้าชิง Oscar ( ผู้ที่คว้ารางวัลยิ่งใหญ่จากหนังเรื่องนี้คือ Ariana DeBose ที่รับบทสมทบ) แต่ก็มีเสียงอวยว่า เธอจะเป็นนักแสดง Gen Z ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการหนัง การให้สัมภาษณ์และแสดงความเห็นผ่าน social media ของเธอไม่ได้ถูกจับมาเป็นประเด็นร้อนหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ เธอดูน่ารำคาญแบบ theatre kid

แต่นับตั้งแต่การประกาศรายชื่อนักแสดง Snow White ฉบับ live-action remake ในปี 2021 social media ได้หันมาเป็นศัตรูกับเธอ สถานการณ์ดูย่ำแย่ลงทุกครั้งที่เธอเปิดปากพูดจากถึง Snow White ต้นฉบับ จากเดิมที่แฟนๆหนังจำนวนมากมอง casting ครั้งนี้อย่างไม่แน่ใจ ก็เริ่มมีแนวคิดติดลบในตัวนางเอก กลายเป็นข่าวลือใหญ่โตว่า เธอคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของ Disney และคาดการณ์ถึงการขาดทุนครั้งยิ่งใหญ่ !


แฟนหนังชี้  พอจะมองข้ามเรื่องรูปลักษณ์ไปได้  แต่คำพูดของนางเอกยั่วยุให้เกิดกระแส anti ที่ยากจะเยียวยา

ประเด็น  Disney เลือกนักแสดงเจ้าหญิงไม่ตรง race กับต้นฉบับ animation ได้สร้างความขัดแย้งต่อเนื่องมาตั้งแต่หนัง Little Mermaid   แต่ชาวเน็ทหลายคนลงความเห็นตรงกันว่า   Halle  Berry อาจจะไม่ใช่เงือกน้อยที่ตรงใจ  แต่อย่างน้อย  เธอก็แสดงความชื่นชมในความ classic ของต้นฉบับและแสดงความตื้นตันใจที่ได้รับเลือกให้แสดงบทนี้   ในทางกลับกัน  Rachel กลับไม่ปิดบังว่า เธอดูหมิ่นต้นฉบับอันเป็นผลงานจากปี 1937   ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงที่ใฝ่ฝันถึงรักแท้  เจ้าชายที่เธอเปรียบว่าเป็นพวก stalker น่าขนลุก   เธอเคยชม Snow White เพียงครั้งเดียวและกลัวฝังใจจนไม่อยากกลับไปดูซ้ำ  เมื่อคว้าบทเจ้าหญิง Disney มาได้ เธอก็กลับไปดูอีก 1 รอบเท่านั้น และบรรยายความรู้สึกไว้ว่า นี่คือหนังที่  "ช่างล้าหลังหากนึกถึงแนวคิดยอมรับผู้หญิงให้เข้ามามีบทบาทผู้มีพลังอำนาจและผู้หญิงควรมีบทบาทใดที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในสังคม"


ซึ่งแฟนๆหนังมองว่า สิ่งที่เธอพูดอาจจะไม่ได้ผิดไปหมด ฉาก Snow White หลงป่าอาจจะทำให้เด็กๆหลายคนรู้สึกตกใจกลัว และเจ้าหญิงยุคใหม่ก็ไม่ได้เชิดชูเรื่องรักแรกพบและการกระโดดเข้าหาความสัมพันธ์จริงจังทั้งๆที่ยังไม่ได้รู้จักกันดี (ดังที่ปรากฏในพล็อทของ Frozen) แต่ในฐานะที่เป็นนางเอกที่ถูกเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี เธอควรจะแสดงความเห็นที่ไม่สร้างความกระทบกระเทือนใจแฟนๆที่รัก Snow White ต้นฉบับ และสรรหาถ้อยคำที่ฟังดูสร้างสรรค์มาอธิบายถึงการพัฒนาเนื้อเรื่องให้เหมาะกับยุคสมัย ไม่ใช่งิพากษ์วิจารณ์ว่าของเดิมดูแย่อย่างไร



ชาวเน็ทไม่พอใจ  Disney เลือกนางเอกที่ไม่ปลื้มบท Snow White มารับบท Snow White


การให้สัมภาษณ์ของ Rachel ถูกเปรียบว่า เป็น PR move ที่ย่ำแย่ และทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า เธอคือ theater kid สุดมั่นไม่แคร์สื่อ หลายคำพูดของเธอดูไม่เหมือนกับการกลั่นกรองจากคำให้ปรึกษาของ PR team จนอาจจะนำหายนะมาเยือนหนัง เป็นที่ทราบกันว่า ผู้คนยังคาดหวังให้หน้าใหม่แห่งวงการ Hollywood พูดจาอย่างประมาณตัว อาจจะไม่ถึงกับต้องแสดงออกราวกับเป็นแม่พระแสนดี แต่หากอยากจะไปรุ่งในวงการได้นานๆโดยไม่เริ่มต้นด้วยการสร้างกระแสยี้ การใช้คำพูดสร้างสรรค์และรักษาน้ำใจคนอื่นย่อมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด

หนึ่งในคำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนก็คือ  Rachel  มีท่าทีไม่อินกับ Snow White  เวอร์ชั่นเดิมอันเป็นตัวละครที่ผู้คนมากมายหลงรักอย่างชัดเจน   เพราะอะไรเธอจึงร่วมออดิชั่นและคว้าโอกาสที่สามารถพลิกชีวิตหนักแสดงหน้าใหม่ให้เข้าสู่ระดับ high profile  มาตั้งแต่แรก?  หรือที่ชาวเน็ทเรียกร้องกันจริงๆคือคำอธิบายจากนักสร้างหนังและผู้บริหาร Disney ที่ไม่เพียงแต่คัดเลือกนางเอกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากต้นฉบับ แต่ยังเป็นนางเอกที่ไม่ได้มีท่าทีว่าชื่นชม Snow White  ซึ่งดูสวนทางกับนางเอกที่ได้รับเลือกให้แสดงเป็นเจ้าหญิง Disney คนอื่นๆที่พูดถึง character ของพวกเธออย่างปลาบปลื้มใจและมันเปรียบเหมือนกับฝันที่เป็นจริงที่ได้นับบทเจ้าหญิงคนโปรด  


 ค่ายอื่นนำเสนอ Snow White  live-action มาก่อน แต่ไม่พบกับแรง anti หนักเหมือนเวอร์ชั่น Disney


บริบทของ Rachel ที่พยายามประกาศว่า เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเมื่อ 86 ปีก่อน (ที่แนวคิดในการใช้ชีวิตบางอย่างอาจจะล้าหลัง) และเจ้าหญิงยุคใหม่ก็สามารถสร้างความเป็นผู้นำได้นั้นไม่น่าจะเป็นประเด็นฉาวแต่อย่างใด แต่แฟนๆกลับสัมผัสได้ถึงโทนเสียงเย้ยหยัน animation ที่ classic และตำหนิเธอว่าหากมีแต่เรื่องแย่ๆจะพูดถึงต้นฉบับ ก็ควรจะเก็บไว้ในใจบ้างก็ได้ เพราะหนัง remake หลายต่อหลายเรื่องก็ยังสามารถดึงดูดใจผู้ชมด้วยการรักษาเนื้อหาหลักจากของเดิมที่ขึ้นหิ้งไว้ ที่สำคัญ Snow White สุด strong ก็ไม่ได้เป็นแนวคิดแปลกใหม่ เพราะค่ายหนังอื่นก็เคยสร้างตัวละครนี้โดยฉีกออกจากภาพลักษณ์เจ้าหญิงหวานใสไร้เดียงสามาก่อน ทั้งเวอร์ชั่นของ Kristen Stewart และ Lily Collins พวกเธอก็โชว์ Snow White ที่มีด้านความเป็นผู้นำและนักสู้ต่อความอยุติธรรมโดยที่ไม่ถูกชาวเน็ทรุมถล่ม

คำพูดในแง่ลบต่อต้นฉบับเดิมและการบรรยายความดีงามของเจ้าหญิงเวอร์ชั่นใหม่ทำให้ Rachel ถูกโจมตีว่า เธอได้รับเลือกให้แสดงบทบาทสุด iconic ทั้งๆที่เธอไม่ปกปิดว่ายี้ต้นฉบับ ในขณะที่ยังมีนักแสดงสาวที่มีความสามารถเพียบพร้อมและเคารพต่อผลงาน original นี่ไม่ใช่ remake adaptation ของค่ายหนังอื่นที่สร้างตัวละครเจ้าหญิง Snow White ที่ฉีกกรอบ แต่เป็น Disney ที่ได้สร้างความสำเร็จจาก animation ปี 1937 หากจะเปลี่ยนตัวตนของเจ้าหญิงทั้งภายนอกและภายใน จึงเกิดเป็นคำถามว่า เช่นนั้นจะเรียกว่า remake ไปเพื่อเหตุใด? เมื่อองค์ประกอบสำคัญดูเป็นหนังเรื่องใหม่ไปแล้ว




ชาวเน็ทที่ไม่สามารถเปิดใจยอมรับ Rachel ในบทบาท Snow White ยังได้เปรียบเทียบถึงความแตกต่างในการให้สัมภาษณ์ของเธอและ Lily Collins แม้ว่า Mirror Mirror จะไม่ใช่หนังฟอร์มที่กอบโกยรายได้สูงอลังการ แต่ Snow White ในเวอร์ชั่นนี้ก็ได้รับการยกย่องว่าดีงามตรึงตราใจ Lily โดดเด่นด้วยความสวยน่ารักตรงกับคำบรรยายของ Snow White ในนิทานและยังนำเสนอความสดใสมีชีวิตชีวา ยามที่ให้สัมภาษณ์ เธอได้กล่าวถึงตัวละครนี้ด้วย passion และโชว์พลังงานด้านบวกจากการตีความ Snow White แบบใหม่โดยที่ไม่ต้องพาดพิงถึงข้อเสียของ animation ที่เป็นตำนานหรือเหน็บแนมเจ้าชาย

สีหน้าท่าทางตอนที่ Rachel ที่บรรยายเจ้าชายว่า Weird ...Weird  รวมถึงการปล่อยมุกว่า ตัวละครนำชายที่รับบทโดย Andrew Burnap (ซึ่งช่วงเริ่มต้นนั้นเชื่อกันว่าจะมารับบทเจ้าชาย Charming) อาจจะถูกตัดออกไปจากหนังจนหมด  คล้ายกับจะบอกใบ้ว่า บทบาทของพระเอกไม่ได้มีความสำคัญใดๆกับหนังเลย ส่งผลให้ชาวเน็ทกล่าวหาว่า เธอถือตัวที่เป็นดาวเด่นของหนังจนไม่ให้เครดิตเพื่อนร่วมงานชายที่ตั้งอกตั้งใจจนได้แสดงหนังฟอร์มใหญ่ และเธอน่าจะเป็นนางเอก Disney คนแรกๆที่เผยทัศนคติที่ขัดแย้งกับต้นฉบับในดวงใจแฟนๆ 


ในโลกออนไลน์ยังเกิดความไม่พอใจกับคำพูดของ Rachel ที่สื่อความนัยให้คิดว่า Snow White แบบฉบับของเธอดีงามกว่าของเดิม แม้ว่าหนังจะยังไม่เข้าฉายก็ดูมั่นอกมั่นใจเต็มที่ และไม่กี่ประโยคของเธอทำให้ความน่าดูของหนังเรื่องนี้ลดน้อยถอยลงไปในสายตาแฟนๆ การฟันธงว่า Snow White ของเธอใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้นำ และสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้หากมีความกล้าหาญ ทีใจเที่ยงธรรม และซื่อตรง ก็ทำให้เธอถูกกล่าวหาว่าเป็น feminist ปลอมๆ จากหนึ่งในวีดีโอ viral ของ cosywithangie Tiktoker ที่ได้รับไปถึง 2.2 ล้าน likes ที่ฟาดฟันคอมเมนท์ของ Rachel ว่า การวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหญิง Disney ไม่ได้เป็นการแสดงออกที่สนับสนุนสิทธิสตรี เพียงเพราะผู้หญิงให้ความสำคัญกับสิ่งที่แตกต่างกัน ไม่ได้มีผู้หญิงทุกคนที่ต้องการอำนาจที่จะเป็นผู้นำ และมันไม่ใช่สิ่งเสียหาย ถึงจะเป็นแม่บ้านที่ไม่ได้ทำงานประจำ เป็นผู้หญิงที่อยากจะตกหลุมรัก มันไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะมีคุณค่าน้อยกว่าคนที่ต้องการจะเป็นผู้นำ แนวคิดที่ตัดสินผู้หญิงว่าขาดคุณค่าเพราะอยากจะมีความรัก และยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นแทนที่จะต่อสู้กับปัญหาด้วยตัวเองผู้เดียวไม่ใช่การคิดแบบสิทธิสตรีแต่อย่างใด

ช่วงเวลาที่ผ่านมา  แรงกดดันเรื่อง casting ไม่ตรงใจทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยว่า สถานการณ์นี้จะสร้างผลกระทบต่อการสร้างหนัง Snow White หรือไม่?   แต่ภาพล่าสุดที่ Disney  ได้เผยแพร่ออกมาน่าจะบ่งชี้ว่า นายทุนยักษ์ใหญ่แห่งวงการได้ยอมถอยตัวละครคนแคระทั้งเจ็ด ซึ่งในช่วงถ่ายทำมีภาพปรากฏเป็นนักแสดงที่เป็นคนในกลุ่มหลากหลาย ตัดเอาภาพเดิมๆของคนแคระทั้งเจ็ดออกไป   แต่เป็นไปได้ว่า หลังจากประชุมหาข้อสรุปกันแล้ว จึงนำคนแคระในความทรงจำของแฟนๆกลับมา  แต่ถึงประนั้น โลกออนไลน์ก็  flood ไปด้วยคอมเมนท์ในแง่ลบว่า Disney ควรพับ project นี้แล้วเก็บปิดตายไว้  เพราะการถ่ายทำแก้ไขย่อมผลาญงบประมาณไปอย่างไร้ค่า  เพราะพวกเค้าไม่สามารถเปลี่ยนตัวนางเอกที่ผู้ชมจำนวนมากรู้สึกไม่พึงใจ  ถึงขนาดมีคนฟันธงแรงๆว่า  หนัง flop ตั้งแต่ยังไม่ได้ฉาย หากเข็นสร้างต่อ ก็จะปลายเป้นประวัติเสียหายของ  Disney   และยังมีผู้กำกับและนักเขียนบท  ทั้งๆที่ดึงตัว Greta Garwig ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายจาก Barbie มาร่วมเขียนบทได้    เหล่า anti ก็ไม่ได้มองหนังเรื่องนี้ดีขึ้นแต่อย่างใด  
เป็นไปได้หรือไม่ว่า กระแสต่อต้านนี้จะกระทบไปถึง หนัง The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes ที่ Rachel ได้รับเลือกให้มารับบทนำ??  แม้ว่าหลายคนจะตั้งตารอคอยเพื่อชมหนังในจักรวาล The Hunger Games เรื่องใหม่ล่าสุด  แต่กลับมีคนที่ยืนยันว่า จะไม่เสียเงินไปชมในโรงภาพยนตร์เพราะไม่สามารถทำใจให้อินกับนางเอกได้   หลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์ว่า Rachel มีความเหมาะสมทุกประการที่จะรับบทบาท Lucy Gray Baird ทั้งฝีมือการแสดงและทักษะการขับร้องเพลงอันไพเราะ ทั้งยังมีนักแสดงแม่เหล็กอย่าง Viola Davis และ Peter Dinklage มาร่วมประชันบทบาท การเดินสายโพรโมทก็จัดเต็มหลายประเทศ จนกว่าจะได้เห็นตัวเลขรายได้ก็ไม่อาจจะตัดสินล่วงหน้าว่า หนังจะแป้กเพราะนางเอกเจอ backlash ติดต่อกันหลายเดือน


กลุ่มคนที่เห็นต่างขอสวนกระแส  'Rachel ถูกโจมตีเพราะผู้คนอคติเกินไป'


ในขณะที่ Rachel ถูกมองว่าเป็นนางเอกที่ใครๆก็เกลียด สื่อบางเจ้าก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสต่อต้านอันดุเดือดนี้ดูคล้ายกับกรณี Hathahate รุม Anne hathway และ #TaylorSwiftisOverParty ที่บีบให้ Taylor ปลีกตัวหายไปจากวงการพักใหญ่หรือไม่? สองสาวคือศิลปินที่เปิดเผยความกระหายต่อความสำเร็จโดยไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดูน่าอายหรือชวนกลอกตาบนรัวๆ แต่หลังจากถูกโจมตีในประเด็นหนึ่ง ก็ถูกตามจับผิดจิกกัดทุกความเคลื่อนไหว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อบางคนหันย้อนกลับไปที่ดราม่าเก่าๆก้อาจจะเกิดความรู้สึกว่า การแสดงออกของพวกเธอไม่ได้ร้ายแรงจนสมควรต้องตกเป็นเป้าหมาย cyberbullying

หากลองไล่เรียงถึงสาเหตุที่ Rachel มีภาพลักษณ์ที่ทำให้ชาวเน็ทไม่ชอบใจและข้อกล่าวหาต่างๆ นักวิจารณ์บางคนมองว่า นี่อาจจะเข้าข่ายดราม่าเรื่องเล็กๆที่ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่??

  • ข้อกล่าวหา ไม่ให้เกียรติต้นฉบับ Snow White 
เธอไม่ได้พูดจาฟาดฟันแรงๆว่า Snow White จากปี  1937 ย่ำแย่  แต่แสดงออกอย่างไม่เห็นด้วยกับตัวตนเจ้าหญิงที่ไม่เข้ากับยุคสมัยใหม่   ซึ่งแท้จริงแล้ว Disney ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทของเจ้าหญิงผู้โด่งดังให้แสดงด้านที่แข็งแกร่งและสามารถปกป้องตัวเองจากแนวคิดในแง่ลบ  ยกตัวอย่าง เจ้าหญิง Jasmine เวอร์ชั่น  Naomi Scott ที่ส่งสารอันทรงพลังผ่านเพลง Speechless จนโด่งดัง   ซึ่งการเพิ่มบทให้ Jasmine โชว์ความเข้มแข็งและเปล่งประกายไม่แพ้ Aladdin     ภาพของเจ้าหญิงที่มุ่งมั่นปรารถนาที่จะปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ธรรมเนียมดั้งเดิมที่บีบให้เธอต้องเลือกคู่และก้าวสู่บัลลังก์ปกครองบ้านเมืองในฐานะสุลต่านหญิงอย่างเต็มภาคภูมิได้ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนๆและนักวิจารณ์หนัง    และการพัฒนาเนื้อเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากคำพูดของ Rachel ที่ชี้ให้เห็นถึงไอเดียความเหลื่อมล้ำทางเพศจาก animation โด่งดังเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อนที่เจ้าหญิงมักถูกจำกัดบทบาทให้เป็นผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือจากเจ้าชาย  เธอพยายามโพรโมทเนื้อหาหนังเวอร์ชั่นโมเดิร์นว่า ไม่ใช่ love story  โดยที่ไม่ได้เหยียดหยันต้นฉบับที่เชิดชูแฟนตาซีของรักแท้ระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชายอย่างที่หลายคนตีความกันใหญ่โต  คำพูดของเธออาจจะไม่ได้นุ่มนวลได้ใจผู้คนไปทั้งหมด   แต่มันไม่น่าฟังดูเสียหายจนถึงขั้นต้อง boycott กัน  เนื่องจากเจตนาของเธอน่าจะเป็นการ empower ผู้หญิงด้วยภาพ Snow White สุด strong
  • ข้อหา พูดจาขวานผ่าซากและแสดงออกไม่เหมาะสมที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ
ภาพ Rachel ยกนิ้วกลางอย่างท้าทายและการแสดงคิดความเห็นที่ทำให้ชาวเน็ทหลายคนมองว่าเป็นถ้อยคำระคายหูที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์เจ้าหญิงขวัญใจเด็กๆ  บ้างก็วิจารณ์ว่า เธอพยายามแสดงความ woke จนเหนื่อยแทน   แต่ยังมีคนดังรุ่นราวคราวเดียวกันที่จุดประเด็นความขัดแย้งจากการพูดจาตรงๆจนอาจจะดูขวานผ่าซากเกินไปสายตาของคนบางกลุ่ม แต่กลับไม่ได้กระทบกระเทือนกับชื่อเสียงจนถูกแช่งชักว่าจะเป็นนางเอกหนังเจ๊ง  ตัวอย่างคือ Jenna Ortega  

เธอมีเชื้อสาย Latina เช่นเดียวกับ Rachel และเป็นหนึ่งในกลุ่มคนดัง Gen Z หัวก้าวหน้าที่ไม่หวาดหวั่นจะแสดงความคิดเห็นทำให้ถูกกล่าวหาว่า เธอมีพฤติกรรมดังแล้วหลงระเริง ถือว่าตัวเองสำคัญไม่ยอมเห็นหัวคนอื่น ซึ่ง Jenna ก็เคยออกมาอธิบายว่า เธอมีนิสัยยึดมั่นในความเห็นของตัวเองอย่างสูง หากเห็นสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่เก็บไว้ในใจ แม้แต่ตอนที่เห็นบทของ Wednesday ที่ไม่สมเหตุสมผล ก็จะไม่ยอมปล่อยผ่าน (จาดราม่าที่เธอถูกโจมตีว่า ยกตัวเองอยู่เหนือ Tim Burton ผู้กำกับที่ช่วยทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตก) การเคลื่อนไหวทาง poltical เช่น การสนับสนุนสิทธิในการทำแท้งและสิทธิความเท่าเทียมทางเพศทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมโจมตีเธออย่างดุเดือด แต่ถึงจะผ่านดราม่าแนวนี้มาแล้ว Jenna แต่ก็ยังรักษาความนิยมจากกลุ่มแฟนๆอย่างเหนียวแน่น หลายคนยังมั่นใจว่า Wednesday ซีซันสองจะต้องปังไม่แพ้กัน


กลับมาทางฝั่ง Rachel เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในฐานะที่เป็นนักแสดงเชื้อสาย Latina เธออยากจะบอกเพื่อนพ้องว่า

"ฉันได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ยากเย็นจนตระหนักได้ว่า เราจะต้องมีความกล้าหาญเพื่อแสดงความเห็นออกมาให้ดังกึกก้องเพื่อทำให้ผู้อื่นรับรู้เข้าถึง และจงเตรียมใจต่อกระแสโจมตี ซึ่งบางครั้งมันจะมาเยือนเมื่อเราได้เปิดเผยความคิดอย่างตรงไปตรงมา"





ข้อสังเกตน่าคิด มีการเลือกปฏิบัติกับพระเอกนางและเอกแบบสองมาตรฐานจริงหรือ?


ยังมีผู้ที่ตั้งข้อสังเกตว่า พระเอกระดับตำนานอย่าง Harrison Ford ได้เปิดเผยถึงความไม่ปลื้มตัวละคร Han Solon แบบไม่หวั่นเกรงจะเสียความนิยม ถึงขนาดที่เขาขอร้องให้ผู้กำกับฆ่าตัวละครนี้ออกไปจากหนังมหากาพย์ไซไฟซะ หรือจะเป็นหนุ่มหล่อ Robert Pattinson ที่ให้สัมภาษณ์เหน็บแหนมหนังรักแวมไพร์ที่สร้างชื่อเสียงให้ว่า เขาไม่เข้าใจว่าผู้คนชอบ Twilight กันไปได้อย่างไร และยังเคยเปรียบเทียบ Edward Cullen ว่าเป็นไอ้คนพิลึก (ลองนึกเสียง weird weird ของ Rachel ประกอบ) ซึ่งผู้หญิงอาจจะปลื้มตัวละครในนิยาย แต่ถ้ามีคนแบบนี้ในชีวิตจริง ก็น่าจะเข้าข่ายฆาตกรถือขวานจามเหยื่อมากว่า ชัดเจนว่า Rob สามารถวิจารณ์ franchise นี้อย่างไม่ปราณีปราศรัยเกินสิบครั้ง แต่แฟนๆไม่ได้ตื่นตัวกับกระแส cancel ผลงานหรือแช่งชักให้หนังเจ๊ง

แต่มองมายังนักแสดงหญิง Gen Z ไม่ว่าจะเป็น Millie Bobby Brown, Jenna Ortega และ Rachel Zegler ที่แสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมาเกี่ยวกับตัวละคร กลับต้องรับมือกับดราม่า และถูกกล่าวหาหนักๆว่า พวกเธอเป็นนางเอกจอมยโสโอหังที่ไม่เห็นคนอื่นในสายตา


Rachel Zegler เป็นเหยื่ออคติแบบ Annoying Woman Syndrome หรือว่าเป็น PR move ที่ย่ำแย่.... คุณคิดว่าอย่างไร??


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE