เจาะลึกศึก Oscar Campaign
candy 56 16
คุณเคยสงสัยบ้างรึเปล่าว่า คุณสมบัติข้อใดที่ทำให้ฟันธงถึงโอกาสที่หนังเรื่องหนึ่งจะก้าวเข้าไปชิงรางวัล Oscar สิ่งที่การันตีถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยมของผลงานศิลปะบนจอที่คนในวงการหนังจำนวนมากใฝ่ฝันอยากคว้ามาครอบครอง
บางคนมองว่า หนังระดับรางวัล Oscar เป็นหลายเรื่องหนังที่ดูยาก ไม่ได้อยู่ในกลุ่มหนังทำเงินอลังการ แต่นำเสนอศิลปะที่ดึงดูดความสนใจจากคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น หรืออาจจะตัดสินจากหนังที่สร้างจากอัตชีวประวัติของบุคคลสำคัญหรือคนดังว่านี่คือความตั้งใจอย่างแจ่มแจ้งในการเข้าชิงรางวัลเวทีใหญ่ รวมไปถึงหนังที่แสดงความทะเยอทะยานด้วยการจับนักแสดงที่ดูแตกต่างห่างไกลจากบทหนังมากที่สุดมาแปลงโฉมและแสดงฝีมือให้โลกประจักษ์ ที่ผ่านมา คุณจะได้เห็นนักแสดงดังที่รับบทที่มีเพศ,สัญชาติ,สำเนียงภาษาและรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากตัวตนในชีวิตจริงเพื่่อทำให้ผู้ชมได้เชื่อว่าพวกเค้าเข้าถึงบบทบาทได้อย่างแนบเนียนที่สุด สิ่งที่ตามมาย่อมหนีไม่พ้นการทำนายว่า นี่คือตัวเห็งที่จะคว้ารางวัล Oscar ที่หลายคนถือให้เป็นจุดสูงสุดของอาชีพคนวงการหนัง
แต่คุณทราบหรือไม่ว่า หนังที่จะได้เข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ไม่ได้มาจากคุณภาพของการถ่ายทำและฝีมือการแสดงอันเลิศเลอเท่านั้น แต่มียังมีเรื่องของการใช้เครื่องมือของอิทธิพลstudio ที่ทรงอำนาจในวงการหนังมาแทรกแซงด้วย
Oscar Campaign คืออะไร?
คุณอาจจะคุ้นเคยกับการรณรงค์หาเสียงสำหรับผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งทางการเมือง หรือ election campaign แต่ในวงการหนังก็มีเรื่องของการเมืองไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เพื่อการันตีที่ว่างในกลุ่มผู้เข้าชิงรางวัล Oscar แล้ว แต่ละstudio ต้องระดมสมองคิดค้นยุทธวิธีที่ทำให้หนังมีเครดิตรางวัลชั้นนำพ่วงตามชื่อมาให้ได้ และงบประมาณของOscar Campaign ก็สูงจนน่าตกใจ หนังต่างประเทศอย่าง Parasiteที่ถูกมองว่าเป็นม้ามืดที่โค่นหนังตัวเก็งจากstudioดังได้ก็จำเป็นจับมือกับ PR agency เพื่อประชาสัมพันธ์หนังให้ Hollywood ยอมรับ ด้วยงบประมาณที่น้อยกว่าจึงอาจจะไม่สามารถสร้างกระแสจาก billboard ขนาดใหญ่หรือยิงโฆษณาถี่ แต่เลือกวิธีการตลาดจากสร้าง viral ในโลกonline แต่ถึงจะเป็นงบประมาณที่จำกัด ก็มีรายงานว่า สปอนเซอร์ได้สนับสนุนเงินให้ผู้สร้าง Parasite ถึง $8.5 ล้าน (studioปิดปากเงียบกับสื่อเมื่อถูกตั้งคำถามเรื่องงบOscar campaign) หากให้จินตนาการว่า studio ใช้เงินไปมากขนาดไหนเพื่อจะให้หนังเข้าชิง Oscar ให้ได้ ก็อาจจะเป็นเงินทุนที่สูงกว่าการสร้างหนังฟอร์มเล็กๆสักเรื่องซะอีก
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับซับซ้อนแต่อย่างใด คนวงใน ไม่ว่าจะอยู่เบื่องหลังหรือเป็นคนดังเฉิดฉายหน้า spotlight ก็เคยออกมาแสดงความคิดเห็นฟาดฟันกันมาแล้ว ที่ต้องเน้นเรื่องการฟาดฟันก็เป็นเพราะว่า นี่คือเรื่องการใช้การเมืองของผู้อำนาจที่ไม่ได้โปร่งใสน่าชื่นชมไปซะหมด นักสร้างหนังสุดฉาวที่ต้องจนมุมากข้อหาล่วงละเมิดทางเพศอย่าง Harvey Weinstein ก็คือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในวงการหนังที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง Oscar Campaign จนส่งหนังเข้าชิงรางวัลมาแล้วหลายเรื่อง ไม่น่าประหลาดใจว่า ทุกวันนี้ ทั้งผู้กำกับและนักแสดงระดับ A Listได้ออกโรง call out วงการหนังที่ปล่อยให้มีการใช้ Oscar Campaign สร้างกระแสจนอาจจะไม่ยุติธรรมกับนักสร้างหนังที่ไม่ได้มีงบประมาณสูงลิบลิ่ว
เพื่อจะก้าวออกจากกลุ่มของหนังที่ถูกจัดว่ามีคุณภาพเยี่ยมแต่ไร้รางวัลมาประดับ นอกจากจะมีเรื่องของความพยายามในการส่งหนังเข้าสู่เทศกาลหนังที่วงการหนังยอมรับ, โฆษณาในรูปแบบหลากหลาย,จัดอีเวนท์ต่างๆเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ลงคะแนนให้เข้ารอบเข้าชิง ยังมีเรื่องการเชื่อมโยงmessageของหนังกับประเด็นร้อนแรงในสังคมที่ทำให้ผู้คนตื่นตัว ตัวอย่างคือ Oscar Campaign ของหนัง Lion ที่ส่งโฆษณาเสียดสีนโยบายห้ามพลเมืองจากหลายชาติมุสลิมเดินทางเข้าอเมริกาของทรัมป์ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างกระแสฮือฮานี้ก็คือ Harvey Weinstein producerที่กำลังถูกคุมขังจากข้อหาล่วงละเมิดทางเพศนั่นเอง
กระแสฮือฮาแห่งปี หนึ่งในนางเอกตัวเก็งรางวัล Oscar Kristen Stewart ไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าชิง SAG Awards
Spencer หนึ่งในหนังที่กำลังถูกจับตามองในฐานะตัวเก็งที่จะก้าวไปถึง Oscar โดยเฉพาะ Kristen Stewart ที่สร้างความฮือฮาด้วยการรับบท Diana เจ้าหญิงแห่งปวงชนที่มีบรูปลักษณ์และบุคลิกทีห่างไกลจากตัวเธอ ว่ากันว่า หลังจากการฉายหนังรอบสื่อ ชื่อเสียงของ Kristen ที่มักเคยถูกปรามาสว่าเป็นนางเอกนัยน์ตาเลื่อนลอยที่แสดงแข็งทื่อจากภาพผลงานติดตาผู้คนในสมัยแสดงหนังรักแวมไพร์ในสมัยวัยรุ่นจะแปรเปลี่ยนเป็นนางเอกฝีมือฉกาจฉกรรจ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ กระแสความชื่นชมจากนักวิจารณ์นั้นดีซะจนทำให้หลายคนตีตั๋วหนังเข้าไปพิสูจน์วว่าเธอจะเปล่งประกายตามที่สื่อลงข่าวกันเกรียวกราวหรือไม่
หลายคนมักจะนำเปรียบเทียบภาพของ Kristen กับ Emma Corrin นางเอกที่โด่งดังจากบทเจ้าหญิง Diana จาก The Crown จนคว้ารางวัลใหญ่ แน่นอนว่า Kristen จะต้องผ่านการฝึกฝนการพูดสำเนียงและลักษณะท่าทางให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ แต่ผู้ที่ได้รับชม Spencer หลายคนยืนยันว่า นี่ไม่ใช่หนัง biopic ที่เคยชมกัน แต่เป็นการถ่ายทอดจินตนาการเรื่องราวของเจ้าหญิง Diana แบบนิยายที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องทางประวัติศาสตร์ ตีความชีวิตที่ถูกบีบคั้นจนต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยทางจิตใจของเจ้าหญิงคนงามในรูปแบบของ psychological drama ซึ่งต้องอาศัยฝีมือการแสดงชวนสะพรึงของนางเอก
แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องพลิคล็อค เมื่อ Kristen Stewart ที่ฝ่าเข้าไปชิงรางวัลนักแสดงหญิงนำยอดเยี่ยมแห่ง Golden Globes Awards เมื่อต้นเดือน กลับไม่ได้เข้าชิง SAG Awards อีกหนึ่งรางวัลใหญ่ที่รายชื่อผู้เข้าชิงมักไม่หนีไปจากรางวัล Oscar นัก สื่อหลายเจ้าแสดงความประหลาดใจกับการตัดชื่อเธอออกไป รวมถึงบรรดาแฟนๆผลงานของเธอใน Spencer ที่แสดงปฏิกิริยาผิดหวัง บางคนถึงกับยกให้เป็น Award Snub ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และสร้างความวิตกกังวลว่า เธอจะไม่ได้เข้าชิงรางวัล Oscar ที่จะมีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลในเดือนกุมภาพันธ์
ความเห็นจากKristen Stewart
"Oscar Campaign เป็นเรื่องน่าอับอายและน่าเบื่อหน่าย"
หนึ่งในยุทธวิธีดึงดูดความสนใจจากบรรดาสื่อและนักวิจารณ์คือการให้สัมภาษณ์ของนักแสดงนำนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นคนดังที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องหวงแหนความเป็นส่วนตัวและออกสื่อน้อยครั้ง แต่ก็ต้องเปิดใจกับสื่อในประเด็นต่างๆในช่วงโพรโมทหนัง ในฤดูกาลแห่งการประกาศรางวัล Kristen ได้ให้สัมภาษณ์กับหลากหลายสื่อ ทั้งเรื่องส่วนตัวอย่างประสบการณ์พบรักกลางกองถ่ายกับ Robert Pattinson และเรื่องฉาวเมื่อเธอเข้าไปพัวพันกับผู้กำกับหนุ่มใหญ่ที่มีภรรยาแล้ว แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงอดีตที่ไม่ไดสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมมากมายนัก หลายคนอยากจะทราบคงามในใจของเธอเกี่ยวกับเรื่องการเป็นนางเอกตัวเก็งที่จะคว้า Oscar ปี 2022 ต่างหาก และเธอก็ได้บรรยายความรู้สึกต่อกระบวนการ Oscar Campaign กับ New Yorker ว่า
"ฉันไม่เคยเข้าร่วมวิ่งเต้นเพื่อชิงรางวัล ถ้าจะให้พูดแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่อยากจะดูเป็นคนถือดีนะ แต่มันเป็นเรื่องน่าขายหน้าและช่างชวนเหนื่อยหน่าย ต้องใช้วิธีทางการทางการเมืองเข้ามาช่วยมาก จะต้องไปไปเจรจากับผู้คน ทำให้รู้สึกราวกับนักการทูตอย่างนั้นแหละ"
เธอยังให้สัมภาษณ์กับ Variety เพื่อแสดงจุดยืนชัดเจนว่า ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะคว้ารางวัล Oscar หรือไม่
" ฉันโคตรจะไม่สนเลย รางวัล Oscar น่ะเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ยังมีหนังและผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมอีกตั้งมากมายที่ไม่ค่อยมีใครได้ชม"
Kristen ชี้ว่า เธอยินดีเมื่อผลงานของเธอสร้างเสียงกล่าวขวัญ เพราะเธอให้ความสำคัญกับหนังที่เชื่อมโยงกับผู้ชม ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อล่ารางวัล
Kristen ไม่ใช่นักแสดงดังเพียงผู้เดียวที่แสดงความเห็นโจมตีเรื่อง Oscar campaign เพื่อนร่วมวงการของเธออีกหลายคนยังเคยต่อต้านการใช้เงินทุนและอิทธิพลในวงการเพื่อสร้างความได้เปรียบเพื่อก้าวสู่ชัยชนะในเวทีรางวัลระดับโลก ดังกรณี Joaquin Phoenix เคยประกาศว่า รังเกียจความรู้สึกที่ต้องร่วมกระบวนการวิ่งเต้นเพื่อรางวัลจากผลงานเรื่อง Walk The Line และไม่ต้องการจะกลับไปรู้สึกแบบเดิมๆอีก ในเวลาต่อมา ผลงานการแสดงจาก Joker ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครอบครอง จากที่เคยประกาศว่า ไม่อยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการวิ่งเต้นเพื่อรางวัลสีทองตัวนี้ แต่ก็มีรายงานจากสื่อตรงกันว่า Warner Bros ได้ทุ่มเทเต็มที่เพื่อจะให้ Joker กลายมาเป็นบทบาทที่ทำให้ Joaquin เอื้อมไปถึง Oscar ตัวแรกในชีวิต เรียกได้ว่า แม้จะรู้สึกขัดแย้งสักเพียงใด ก็ต้องไหลไปกับระบบ
Kristen ยอมรับ อยากได้รางวัล Oscar
แม้จะ Kristen จะเคยบอกสื่อว่า ไม่สนเรื่อง Oscar แต่ชาวเน็ทเชื่อว่า นั่นอาจจะเป็นคำพูดประชดประชันซะมากกว่า เพราะเมื่อพิธีกรดัง Howard Stern ถามเธอตรงๆว่า อยากจะได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่นี้หรือไม่ เธอก็ตอบได้อย่างไม่ลังเลหรือรักษาท่าทีว่า อยากได้สุดๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้รับเสียงชื่นชมว่าสร้างผลงานได้ควรค่ากับรางวัล Oscar แม้จะเคยนึกกังขากับมาตรฐานของรางวัล เพราะเมื่อติดตามการประกาศรางวัลทุกปีก็ทำให้คิดว่า ผู้ชนะบางคนก็ไม่ได้แสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เธอก็ปรารถนาจะเป็นเข้ามาเป็นส่วนร่วมด้วย เพราะภูมิใจกับงานแสดงใน Spencerมาก และอยากให้ทุกคนได้ชมหนังเรื่องนี้ สำหรับเธอมันก็เหมือนกับโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว (น่าจะหมายถึงการคว้าบทหนังที่level สูงมากที่ต้องเค้นพลังความสามารถเต็มที่ และก็ประสบความสำเร็จจนถูกยกให้เป็นตัวเก็งผู้คว้ารางวัล Oscar)
ไม่ได้ต่างจากการเมืองการปกครอง เมื่อมีการทุ่มเทหาเสียงเพื่อสร้างสมความนิยมจนได้คะแนนส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ชนะ แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นก็ยังต้องสกัดดาวรุ่งจากฝ่ายคู่แข่ง การโจมตีที่ดูไม่โปร่งใสนี้อาจจะไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นฝีมือของนายทุนที่คาดหวังให้หนังและนักแสดงคว้ารางวัลดัง เพราะหากถูกจับไต๋ขึ้นมาว่าพยายามให้ร้ายผู้แข่ง ก็อาจจะสร้างมลทินจนสลัดไม่ออก แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจคือวัฒนธรรม fandom ที่อาจจะ toxic จนสร้างผลกระทบต่อ Oscar campaign ที่ดาราศิลปินต้องเข้าร่วม สำหรับปีนี้ แรงกดดันที่ชวนหนักใจเกิดขึ้นจากการเกิดศึกโจมตีระหว่างนางเอกตัวเก็ง Lady Gaga แห่ง House Of Gucci, Kristen Stewart แห่ง Spencer
ดราม่าสกัดดาวรุ่ง เมื่อแฟนๆ ของสองนางเอกตัวเก็งกำลังห้ำหั่นกัน
ความคาดหวังที่จะให้นักแสดงในดวงใจคว้ารางวัลชั้นนำทำให้แฟนเดนตายบางคนเลือกใจวิธีสกปรกอย่างการกุข่าวปลอม ใช้ข้อกล่าวหาเรื่อง black face เพื่อใส่ร้ายคู่แข่งให้ตกเป็นจำเลยสังคมด้วยข้อหาเหยียดผิว สำหรับแฟนหนังอาจจะไม่ได้ยินกับเรื่องเหล่านี้กับผู้เข้าชิง Oscar รายอื่นมาก่อน แต่หากเป็นนักแสดงที่มีฐานแฟนที่ขึ้นชื่อลือชาว่าทั้งแข็งแกร่งและแฝงด้วยความ toxic ไปในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้ก็ไม่ได้แหวกแนวแต่อย่างใด
Ernest Owens นักข่าวเชื้อสายแอฟริกันผิวดำเผยว่า เขาได้รับe-mail จำนวนมากจากแฟนๆของ Lady Gaga และ Kristen Stewart ที่พยายามโจมตีอีกฝ่ายว่า มีพฤ๖ิกรรมย่ำแย่ ไม่เหมาะสมกับฐานะนางเอกผู้ครอบครองรางวัลทรงเกียรติ แฟนบางคนกล่าวหาว่าเขาวิจารณ์หนังอย่างลำเอียงไม่เป็นธรรมกับนางเอกผู้เป็นไอดอลในดวงใจ ทั้งๆที่ความจริงก็คือ เขาไม่ยังไม่เคยดูทั้ง House Of Gucci และ Spencerซะด้วยซ้ำ ทั้งยังมีการใช้ชื่อของเขาปลอม account เพื่อโจมตีนางเอกดังจนรีบต้อง report ลบ account ออกไป นักวิจารณ์หนังและนักข่าวรายอื่นๆก็เริ่มแชร์ภาพข้อความที่ได้รับจากแฟน Lady Gaga ที่่เกรี้ยวกราดเมื่อได้เห็นคำวิจารณในแง่ลบต่อ House Of Gucci ซึ่งแทนที่การเคลื่อนไหวพวกนี้จะเป็นแรงสนับสนุนให้เธอกลายมาเป็นผู้ชนะ แต่มันกลับสร้างความรำคาญใจให้กับนักวิจารณ์หนังจนอาจจะไม่อยากแม้แต่จะดูหนังของเธอเลยก็ได้ เรียกว่าผลลัพธ์ของมันอาจจะสวนทางกับวิธีการแบบ Oscar campaign ที่พยายามสร้างความประทับใจให้กับสื่อ
Kristen กำลังหลุดจากรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่ง Oscar จริงหรือ?
ไล่เรียงแล้ว จนถึงตอนนี้ Kristen ได้รับรางวัลการแสดงจากการประกวดของสมาคมนักวิจารณ์ต่างๆไปราวๆ 16 รางวัล (บางคนมาอัพเดทว่า เธอคว้าไปแล้ว 18 รางวัล) นำโด่งจากกลุ่มนางเอกตัวเก็งคนอื่นๆ แม้จะยังพลาดรางวัลใหญ่อย่าง Golden Globe แต่ก็มีชื่อเข้าชิงแบบไม่พลิกโผ แต่เมื่อชื่อของเธอหายไปจากรายชื่อนางเอกผู้เข้าชิง SAG award อย่างค้านสายตานักวิจารณ์และแฟนหนังหลายคนก็ทำให้สื่อร่วมวิเคราะห์ว่า หรือนี่จะเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า เธอจะพลาดจากการเข้าชิง Oscar ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่อง award snub เป็นเรื่องที่เห็นได้ทุกปี เคยมีสถิติของนักแสดงที่เข้าชิง Golden Globe awards มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าชิง Oscar หรือแม้กระทั่งนักแสดงหน้าใหม่ที่ผ่านผลงานมาไม่กี่มากนัก แต่เปล่งประกายจนคว้าใจเหล่าvoter และเอาชนะคู่แข่งที่เก๋าเกมในวงการอย่างเหนือควมคาดหมาย แรงสนับสนุน Kristen จากสมาคมหนังมากมายหลายแห่งอาจจะไม่ใช่เครื่องการันตีการเข้าชิงรางวัลใหญ่ แต่ไม่เพียงแต่การแสดงที่ได้รับการชื่นชมว่าทำลายอคติจากภาพเดิมใน Twilight ไปสิ้นเชิง แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอย่างผู้กำกับ Pablo Larraín ที่เคยพิสูจน์ความสามารถจากผลงานbiopic อย่าง Jackie ที่มีเหตุการณ์ราวกับเดจา วู จากเสียงวิจารณ์ในตัว Natalie Portman ว่า เธอไม่มีทางถ่ายทอดความเป็น Jacqueline Kennedy ได้ แต่หนังเรื่องนี้กลับทำให้เธอได้ชิงรางวัล Oscar ไม่ต่างกับคำปรามาสทักษะการแสดงของ Kristen เมื่อตั้งแต่เริ่มต้นที่มีการประกาศcasting หนัง Spencer แต่ผลงานของเธอกลับโดนใจนักวิจารณ์จนหลายคนรู้สึกอัดอั้นตันใจเมื่อเธอไม่ติดโผ SAG awards
ไม่ได้มีเพียง Kristen และ Lady Gaga เท่านั้น แต่ยังมีนางเอกตัวเก็งอย่าง Nicole Kidman, Olivia Colman, Jennifer Hudsonและ Jessica Chastain ซึ่งแฟนหนังต่างคุ้นเคยกับชื่อของพวกเธอในรายชื่อเข้าชิงรางวัลชั้นนำต่างๆเป็นอย่างดี การฟื้นฟูตัวของวงการหนังที่กำลังกลับมาหลังจากต้องซบเซาระหว่างสถานการณ์โรคระบาดติดต่อกันเป็นปีก็น่าจะบ่งบอกได้ว่าการชิงชัยในปีนี้จะเข้มข้นไม่แพ้ครั้งที่ผ่านมา รออีกเพียงไม่นาน เราก็จะได้ทราบกันทั้งรายชื่อผู้เข้าชิง Oscarและผู้ชนะ